ผมตั้งใจจะเขียนที่ซ่อนไว้ประเด็นที่ 3 แต่ดูมันจะขัดข้องไปเสียหมด ถึงกรุงเทพฯ ก็มีนัดสำคัญทันที เป็นสื่อฝรั่ง เพื่อนเก่าพลเอกสายหยุด เกิดผล ชื่อ John Thomson เขารักเมืองไทย รู้ไส้รู้พุงทักษิณ และสื่อฝรั่งดี
เขาอยากจะสัมภาษณ์นายกฯ อภิสิทธิ์ ลง Washington Times กับ National Review แต่ติดต่อยากเย็นเหลือเกิน ตั้งกว่า 3 อาทิตย์ จวนจะถึงวันกลับอยู่แล้ว ทำเนียบยังไม่ตอบ ไม่รู้ว่าไม่สนใจหรือทำงานไม่เป็น
ที่เสียใจสุดซึ้ง คือ ข่าวการจากไปของศาสตราจารย์ ดร.นิพนธ์ ศศิธร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สมัยคึกฤทธิ์เป็นนายกฯ อ.นิพนธ์เป็นเลขาธิการพรรคการเมืองใหญ่ที่สุดใน (2517-18) เป็นผู้ตั้งชื่อพรรคธรรมสังคม ที่ผมชอบชื่อนี้มาก บังเอิญหัวหน้าที่เป็นนายทุนพรรคคือ ทวิช กลิ่นประทุม สอบตก และไม่มีอะไรทัดเทียมอาจารย์นิพนธ์นอกจากเงิน พรรคจึงต้องยอมให้อาจารย์คึกฤทธิ์เป็นนายกฯ ทั้งๆ ที่พรรคกิจสังคมมีแค่ 18 ที่นั่ง ไม่มีหมาที่ไหนประท้วงว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ตำรวจเด็กชื่อทักษิณมานั่งเป็นหน้าห้องของปรีดา พัฒนถาบุตร รมต.ประจำสำนักนายกฯ ของพรรคกิจสังคม เจ้าตำรับ “เงินผัน” ในยุคนี้เอง
พวกเรายุติบทบาททางการเมือง และจากไปก่อน 2 คน คือ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน เลขาธิการพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย กับดำรง ลัทธพิพัฒน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อาจารย์นิพนธ์ถามผมว่า เอ๊ะ! พวกเรา 4 คน ล้วนศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ด้วยกัน แถมรักและสนิทกันแท้ๆ ผมก็เป็นเลขาธิการพรรคพลังใหม่ ทำไมเรา 4 คนจึงไม่คิดตั้งรัฐบาลด้วยกัน 4 พรรคเสียงก็เหลือพอแล้ว
จริงเสียด้วย อาจารย์นิพนธ์เลยอดเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่งั้นการเมืองไทยอาจไปโลดแล้ว ไม่จมปลักอยู่อย่างนี้
แต่ในชีวิตจริง อาจารย์เป็นรัฐมนตรีได้ปีเดียว คึกฤทธิ์ก็ยุบสภา เพราะนับเลขผิด คิดว่าจะแพ้เสียง
พอเลือกตั้งใหม่ นายกฯ คึกฤทธิ์สอบตก เพราะไม่ยอมย้ายจากเขตดุสิต ที่พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา วางแผนจับตายไว้ เพื่อช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาล พล.อ.กฤษณ์ได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมไม่ถึงปีก็ถึงแก่อนิจกรรม ประชาธิปัตย์ถูกรัฐมนตรีกลาโหมรับเชิญของตนเองคือพล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจในเหตุการณ์ 6 ตุลามหาโหด ประชาธิปไตยก็ล่มลงอีก
คึกฤทธิ์ปิดตำนานการเมืองน้ำเน่าไม่สำเร็จ เพราะไม่เชื่อพรรคการเมืองน้ำดีที่สัญญาว่าจะยกมือให้ฟรีๆ โดยไม่รับตำแหน่ง ทั้งๆ ที่พรรคพลังใหม่ก็ยกมือให้ประชาธิปัตย์ฟรีๆ มาก่อนแล้ว1 ครั้ง อาจารย์คึกฤทธิ์กลับคิดมากว่า พลังใหม่จะไปร่วมกับประชาธิปัตย์ล้มรัฐบาลซะอีก
แต่ความจริงพลังใหม่ไม่เห็นด้วยกับประชาธิปัตย์ที่กระสันจะล้มรัฐบาล ทั้งๆ ที่กิจสังคมบริหารไปยังไม่ครบปี และไม่มีข้อผิดพลาดฉกรรจ์เรื่องใด
สมัยนายกฯ คึกฤทธิ์ กองทัพถล่มพลังใหม่กับพรรคสังคมนิยมจนผมจะเอาชีวิตไม่รอด ดร.บุญสนองถูกลอบสังหารจับมือใครดมไม่ได้ทุกรัฐบาลจนหมดอายุความ
การเมืองไทยซึ่งพอจะมีความหวังหลัง 14 ตุลาคม 2516 ก็ล่มสลายลงในมือพรรคประชาธิปัตย์
ถ้าอาจารย์คึกฤทธิ์คำนวณไม่ผิด ไม่หลงยุบสภา หรือหงอทหารจนเกินไป เมืองไทยอาจจะไม่เลวสุดๆ อย่างทุกวันนี้
ผมยกความหลังเรื่องทหาร และการยุบสภามาให้สติ เพราะไม่อยากให้อภิสิทธิ์ตกหลุมประวัติศาสตร์อีก
นายกฯ อภิสิทธิ์จะอยู่ได้ครบเทอม หากไม่เป็นเบี้ยล่างทหารและพรรคร่วมอย่างนี้ จะต้องกล้าหาญ หาทางออก เพิ่มภาวะผู้นำ และความเข้มแข็งให้ตนเอง ด้วยการปฏิรูปการเมือง
นายกฯ เขียนเองมิใช่หรือว่า ปฏิรูปได้ทันทีโดยไม่ต้องรอแก้รัฐธรรมนูญเลย
ผมใบ้ให้ว่า ปฏิวัติประชาธิปไตยเลยก็ยังได้ โดยไม่ต้องละเมิดโครงสร้างและพฤติกรรมประชาธิปไตย ด้วยการพึ่งพระราชอำนาจและพลังของปวงชนชาวไทยตามจารีตและหลักรัฐธรรมนูญ!
ฉบับที่แล้ว ผมพูดถึงการชำระล้างความโสโครกของสภาผู้แทนฯ ไม่ละเอียด
ปลื้มจริงๆ ครับ ผู้อ่านหลายท่านโพสต์มาเติมเต็ม คุณวิบูลย์ คุณคนผ่านทาง คุณทวิช ผมขอบคุณและเชิญให้มาช่วยกันเขียนเร็วๆ ผมจะได้พักเสียที
นักการเมืองและนักวิชาการชอบอ้างว่าเราเหมือนอังกฤษ มาแล้วครับ ตัวอย่างจากอังกฤษ
เรื่องการชำระล้างความโสโครกของสภา ที่เรากำลังพูดกันพอดี!
16 ก.พ. 49 ผมเขียน ทักษิณ แบลร์ : ใครจะไปก่อนกัน ทั้งๆ ที่ได้รับเลือกสมัย 2 มาอย่างท่วมท้นด้วยกัน ผมไม่ได้เขียนอย่างหมอดู ว่าวันเกิดทั้งคู่เลข 6 เป็นทั้งมรณะและกาลกิณี ผมอาศัยหลักวิทยาศาสตร์และหลักอิทัปปจจยตาของพระพุทธเจ้าต่างหาก
ในที่สุดทักษิณก็ไปก่อนเกือบปี แต่แบลร์เขาไปสง่างาม ไม่เผาบ้านเผาเมือง หรือใส่ร้ายประเทศเหมือนของเรา
แต่ผมไม่เคยคาดฝันเลยว่า ประธานสภาล่างหรือ House of Commons ของอังกฤษจะไปก่อนโมเช่ ดา ชัย ชิดชอบ ของเรา
ก่อนเช้าวันพุธ ผมเปิดบีบีซี บนบัลลังก์ในสภาล่าง ณ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ที่คับแคบกว่าสภาของเราเป็นไหนๆ แต่ไม่มีวันจะย้ายไปที่อื่นชั่วกัลปาวสาน ประธาน Michael Martin ลาออกต่อหน้าสมาชิกสภา
เขาประกาศสั้นๆว่า “I have always felt that the House is at its best when it is united. In order that unity can be maintained, I have decided that I will relinquish the office of speaker on Sunday, June 21. This will allow the House to proceed to elect a new Speaker on Monday 22 June. That is all I have to say on this matter ข้าพเจ้าคิดเสมอว่า สภานี้จะมีค่าที่สุดเมื่อมีเอกภาพ เพื่อจะรักษาความสามัคคีให้ดำรงอยู่ ข้าพเจ้าตัดสินใจสละตำแหน่งประธาน มีผลในวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน นี้ฯลฯ”
ทั้งนายกฯ บราวน์ หัวหน้าฝ่ายค้าน และคนอังกฤษ สรรเสริญท่านประธานว่าจิตใจสูง เสียสละเห็นแก่สวัสดิภาพของสภา
วันที่ 22 มิถุนายน 2552 สภาจะเลือกประธานคนใหม่ ใครได้รับเลือกก็จะเป็นกลางอย่างเคร่งครัด เลิกสุงสิง ไม่เข้าประชุมกับพรรค เมื่อสภาหมดอายุ ถึงเวลาเลือกตั้งผู้แทนใหม่ ก็จะไม่มีพรรคใดส่งผู้สมัครลงแข่งขันกับท่านประธานฯ สาธุ
ทั้งหมดนี้ เริ่มจากการกระทำเงียบๆ เล็กๆ ของผู้สื่อข่าวสาวชาวอเมริกันชื่อ Heather Brooke เมื่อเธอไปกรอกแบบฟอร์มขอดูรายจ่ายของสมาชิกสภาล่าง ตามFreedom of Information Act หรือพ.ร.บ.เสรีภาพในการรับรู้และหาข้อมูลซึ่งเพิ่งออกมาไม่นาน ของไทยก็มี มีคณะกรรมการและสำนักงานอยู่ในทำเนียบ แต่หาผู้ใช้ไม่ค่อยจะได้ จึงไร้ประโยชน์อยู่
บัดนั้น ภูเขาน้ำแข็งก็เริ่มละลาย มีการเปิดเผยค่าใช้จ่ายที่ไม่สมควร หมิ่นเหม่ต่อกฎหมายแต่ผิดจริยธรรมแน่ๆ ของผู้แทนทุกพรรค นายกรัฐมนตรีบราวน์ รัฐมนตรี รวมแนวหน้าของฝ่ายค้านก็ไม่เว้น เกิดลุกฮือขึ้นทุกฝ่าย รวมทั้งข่าวเจาะใหม่ๆ ลามไปถึงท่านประธาน แต่ละพรรคมีการลงโทษและคาดโทษ ส.ส.ของตนไปแล้ว ให้พ้นจากตำแหน่งบ้าง จะไม่ให้ลงสมัครในสมัยหน้าบ้าง ฯลฯ (ที่ญี่ปุ่นเอง รัฐมนตรีคนหนึ่งก็เพิ่งลาออกไป เพราะเอาตั๋วรถไฟด่วนตามสิทธิผู้แทนไปให้แฟนสาวใช้)
ผู้นำอังกฤษและสภาล่างเอง ประกาศอย่างกล้าหาญว่า เวลาที่จะปฏิรูปและทำความสะอาดสภามาถึงแล้ว ถึงจะช้าไปหน่อยก็ต้องเริ่มเสียตั้งแต่บัดนี้ และเขาก็มิได้ดีแต่ปากเหมือนอย่างเรา
สภาของเรามิใช่แค่เลอะเทอะแบบเขา แต่สกปรกโสโครกน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก ความสามัคคีไม่ต้องพูดถึง แต่เอกภาพด้านจริยธรรมเสื่อมกลับบริบูรณ์
ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ไมล์บินสะสมให้อีตัว การจ้างผู้ช่วย พฤติกรรมกุ๊ยสิบแปดมงกุฎและโจรห้าร้อยในและนอกสภา ผู้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ประธานลงมาขาดความสง่างาม ถูกฟ้องคดีอาญา ต้องข้อกล่าวหา ถูกชี้มูล ประวิงคดีความ ฯลฯ
สื่อของเราหายไปไหน นักวิชาการของเราหายไปไหน องค์การอิสระที่มีหน้าที่หายไปไหน การเมืองภาคประชาชนหายไปไหน พันธมิตรฯ หายไปไหน จะตั้งพรรคก็ตั้งไป แต่อย่ามัวบ้าเรื่องเดียว ช่วยกันตรวจสอบเดี๋ยวนี้
ผู้นำประเทศ นายกฯ อภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคต่างๆ พูดออกมาเดี๋ยวนี้
นักศึกษารัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ นิเทศศาสตร์ รีบไปกรอกแบบฟอร์มที่ทำเนียบฯ และสำนักงานผู้ตรวจราชการแผ่นดิน สื่อทุกประเภทติดตามเกาะและเจาะข่าวตั้งแต่บัดนี้
ช่วยกันชำระล้างสภาผู้แทนราษฎรอภิมหาโสโครกชุดนี้ เดี๋ยวนี้ ด้วยเถิด จะเป็นกุศลต่อบ้านเมืองหาที่สุดมิได้
เขาอยากจะสัมภาษณ์นายกฯ อภิสิทธิ์ ลง Washington Times กับ National Review แต่ติดต่อยากเย็นเหลือเกิน ตั้งกว่า 3 อาทิตย์ จวนจะถึงวันกลับอยู่แล้ว ทำเนียบยังไม่ตอบ ไม่รู้ว่าไม่สนใจหรือทำงานไม่เป็น
ที่เสียใจสุดซึ้ง คือ ข่าวการจากไปของศาสตราจารย์ ดร.นิพนธ์ ศศิธร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สมัยคึกฤทธิ์เป็นนายกฯ อ.นิพนธ์เป็นเลขาธิการพรรคการเมืองใหญ่ที่สุดใน (2517-18) เป็นผู้ตั้งชื่อพรรคธรรมสังคม ที่ผมชอบชื่อนี้มาก บังเอิญหัวหน้าที่เป็นนายทุนพรรคคือ ทวิช กลิ่นประทุม สอบตก และไม่มีอะไรทัดเทียมอาจารย์นิพนธ์นอกจากเงิน พรรคจึงต้องยอมให้อาจารย์คึกฤทธิ์เป็นนายกฯ ทั้งๆ ที่พรรคกิจสังคมมีแค่ 18 ที่นั่ง ไม่มีหมาที่ไหนประท้วงว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ตำรวจเด็กชื่อทักษิณมานั่งเป็นหน้าห้องของปรีดา พัฒนถาบุตร รมต.ประจำสำนักนายกฯ ของพรรคกิจสังคม เจ้าตำรับ “เงินผัน” ในยุคนี้เอง
พวกเรายุติบทบาททางการเมือง และจากไปก่อน 2 คน คือ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน เลขาธิการพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย กับดำรง ลัทธพิพัฒน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อาจารย์นิพนธ์ถามผมว่า เอ๊ะ! พวกเรา 4 คน ล้วนศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ด้วยกัน แถมรักและสนิทกันแท้ๆ ผมก็เป็นเลขาธิการพรรคพลังใหม่ ทำไมเรา 4 คนจึงไม่คิดตั้งรัฐบาลด้วยกัน 4 พรรคเสียงก็เหลือพอแล้ว
จริงเสียด้วย อาจารย์นิพนธ์เลยอดเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่งั้นการเมืองไทยอาจไปโลดแล้ว ไม่จมปลักอยู่อย่างนี้
แต่ในชีวิตจริง อาจารย์เป็นรัฐมนตรีได้ปีเดียว คึกฤทธิ์ก็ยุบสภา เพราะนับเลขผิด คิดว่าจะแพ้เสียง
พอเลือกตั้งใหม่ นายกฯ คึกฤทธิ์สอบตก เพราะไม่ยอมย้ายจากเขตดุสิต ที่พล.อ.กฤษณ์ สีวะรา วางแผนจับตายไว้ เพื่อช่วยให้พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาล พล.อ.กฤษณ์ได้เป็นรัฐมนตรีกลาโหมไม่ถึงปีก็ถึงแก่อนิจกรรม ประชาธิปัตย์ถูกรัฐมนตรีกลาโหมรับเชิญของตนเองคือพล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจในเหตุการณ์ 6 ตุลามหาโหด ประชาธิปไตยก็ล่มลงอีก
คึกฤทธิ์ปิดตำนานการเมืองน้ำเน่าไม่สำเร็จ เพราะไม่เชื่อพรรคการเมืองน้ำดีที่สัญญาว่าจะยกมือให้ฟรีๆ โดยไม่รับตำแหน่ง ทั้งๆ ที่พรรคพลังใหม่ก็ยกมือให้ประชาธิปัตย์ฟรีๆ มาก่อนแล้ว1 ครั้ง อาจารย์คึกฤทธิ์กลับคิดมากว่า พลังใหม่จะไปร่วมกับประชาธิปัตย์ล้มรัฐบาลซะอีก
แต่ความจริงพลังใหม่ไม่เห็นด้วยกับประชาธิปัตย์ที่กระสันจะล้มรัฐบาล ทั้งๆ ที่กิจสังคมบริหารไปยังไม่ครบปี และไม่มีข้อผิดพลาดฉกรรจ์เรื่องใด
สมัยนายกฯ คึกฤทธิ์ กองทัพถล่มพลังใหม่กับพรรคสังคมนิยมจนผมจะเอาชีวิตไม่รอด ดร.บุญสนองถูกลอบสังหารจับมือใครดมไม่ได้ทุกรัฐบาลจนหมดอายุความ
การเมืองไทยซึ่งพอจะมีความหวังหลัง 14 ตุลาคม 2516 ก็ล่มสลายลงในมือพรรคประชาธิปัตย์
ถ้าอาจารย์คึกฤทธิ์คำนวณไม่ผิด ไม่หลงยุบสภา หรือหงอทหารจนเกินไป เมืองไทยอาจจะไม่เลวสุดๆ อย่างทุกวันนี้
ผมยกความหลังเรื่องทหาร และการยุบสภามาให้สติ เพราะไม่อยากให้อภิสิทธิ์ตกหลุมประวัติศาสตร์อีก
นายกฯ อภิสิทธิ์จะอยู่ได้ครบเทอม หากไม่เป็นเบี้ยล่างทหารและพรรคร่วมอย่างนี้ จะต้องกล้าหาญ หาทางออก เพิ่มภาวะผู้นำ และความเข้มแข็งให้ตนเอง ด้วยการปฏิรูปการเมือง
นายกฯ เขียนเองมิใช่หรือว่า ปฏิรูปได้ทันทีโดยไม่ต้องรอแก้รัฐธรรมนูญเลย
ผมใบ้ให้ว่า ปฏิวัติประชาธิปไตยเลยก็ยังได้ โดยไม่ต้องละเมิดโครงสร้างและพฤติกรรมประชาธิปไตย ด้วยการพึ่งพระราชอำนาจและพลังของปวงชนชาวไทยตามจารีตและหลักรัฐธรรมนูญ!
ฉบับที่แล้ว ผมพูดถึงการชำระล้างความโสโครกของสภาผู้แทนฯ ไม่ละเอียด
ปลื้มจริงๆ ครับ ผู้อ่านหลายท่านโพสต์มาเติมเต็ม คุณวิบูลย์ คุณคนผ่านทาง คุณทวิช ผมขอบคุณและเชิญให้มาช่วยกันเขียนเร็วๆ ผมจะได้พักเสียที
นักการเมืองและนักวิชาการชอบอ้างว่าเราเหมือนอังกฤษ มาแล้วครับ ตัวอย่างจากอังกฤษ
เรื่องการชำระล้างความโสโครกของสภา ที่เรากำลังพูดกันพอดี!
16 ก.พ. 49 ผมเขียน ทักษิณ แบลร์ : ใครจะไปก่อนกัน ทั้งๆ ที่ได้รับเลือกสมัย 2 มาอย่างท่วมท้นด้วยกัน ผมไม่ได้เขียนอย่างหมอดู ว่าวันเกิดทั้งคู่เลข 6 เป็นทั้งมรณะและกาลกิณี ผมอาศัยหลักวิทยาศาสตร์และหลักอิทัปปจจยตาของพระพุทธเจ้าต่างหาก
ในที่สุดทักษิณก็ไปก่อนเกือบปี แต่แบลร์เขาไปสง่างาม ไม่เผาบ้านเผาเมือง หรือใส่ร้ายประเทศเหมือนของเรา
แต่ผมไม่เคยคาดฝันเลยว่า ประธานสภาล่างหรือ House of Commons ของอังกฤษจะไปก่อนโมเช่ ดา ชัย ชิดชอบ ของเรา
ก่อนเช้าวันพุธ ผมเปิดบีบีซี บนบัลลังก์ในสภาล่าง ณ มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ที่คับแคบกว่าสภาของเราเป็นไหนๆ แต่ไม่มีวันจะย้ายไปที่อื่นชั่วกัลปาวสาน ประธาน Michael Martin ลาออกต่อหน้าสมาชิกสภา
เขาประกาศสั้นๆว่า “I have always felt that the House is at its best when it is united. In order that unity can be maintained, I have decided that I will relinquish the office of speaker on Sunday, June 21. This will allow the House to proceed to elect a new Speaker on Monday 22 June. That is all I have to say on this matter ข้าพเจ้าคิดเสมอว่า สภานี้จะมีค่าที่สุดเมื่อมีเอกภาพ เพื่อจะรักษาความสามัคคีให้ดำรงอยู่ ข้าพเจ้าตัดสินใจสละตำแหน่งประธาน มีผลในวันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน นี้ฯลฯ”
ทั้งนายกฯ บราวน์ หัวหน้าฝ่ายค้าน และคนอังกฤษ สรรเสริญท่านประธานว่าจิตใจสูง เสียสละเห็นแก่สวัสดิภาพของสภา
วันที่ 22 มิถุนายน 2552 สภาจะเลือกประธานคนใหม่ ใครได้รับเลือกก็จะเป็นกลางอย่างเคร่งครัด เลิกสุงสิง ไม่เข้าประชุมกับพรรค เมื่อสภาหมดอายุ ถึงเวลาเลือกตั้งผู้แทนใหม่ ก็จะไม่มีพรรคใดส่งผู้สมัครลงแข่งขันกับท่านประธานฯ สาธุ
ทั้งหมดนี้ เริ่มจากการกระทำเงียบๆ เล็กๆ ของผู้สื่อข่าวสาวชาวอเมริกันชื่อ Heather Brooke เมื่อเธอไปกรอกแบบฟอร์มขอดูรายจ่ายของสมาชิกสภาล่าง ตามFreedom of Information Act หรือพ.ร.บ.เสรีภาพในการรับรู้และหาข้อมูลซึ่งเพิ่งออกมาไม่นาน ของไทยก็มี มีคณะกรรมการและสำนักงานอยู่ในทำเนียบ แต่หาผู้ใช้ไม่ค่อยจะได้ จึงไร้ประโยชน์อยู่
บัดนั้น ภูเขาน้ำแข็งก็เริ่มละลาย มีการเปิดเผยค่าใช้จ่ายที่ไม่สมควร หมิ่นเหม่ต่อกฎหมายแต่ผิดจริยธรรมแน่ๆ ของผู้แทนทุกพรรค นายกรัฐมนตรีบราวน์ รัฐมนตรี รวมแนวหน้าของฝ่ายค้านก็ไม่เว้น เกิดลุกฮือขึ้นทุกฝ่าย รวมทั้งข่าวเจาะใหม่ๆ ลามไปถึงท่านประธาน แต่ละพรรคมีการลงโทษและคาดโทษ ส.ส.ของตนไปแล้ว ให้พ้นจากตำแหน่งบ้าง จะไม่ให้ลงสมัครในสมัยหน้าบ้าง ฯลฯ (ที่ญี่ปุ่นเอง รัฐมนตรีคนหนึ่งก็เพิ่งลาออกไป เพราะเอาตั๋วรถไฟด่วนตามสิทธิผู้แทนไปให้แฟนสาวใช้)
ผู้นำอังกฤษและสภาล่างเอง ประกาศอย่างกล้าหาญว่า เวลาที่จะปฏิรูปและทำความสะอาดสภามาถึงแล้ว ถึงจะช้าไปหน่อยก็ต้องเริ่มเสียตั้งแต่บัดนี้ และเขาก็มิได้ดีแต่ปากเหมือนอย่างเรา
สภาของเรามิใช่แค่เลอะเทอะแบบเขา แต่สกปรกโสโครกน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก ความสามัคคีไม่ต้องพูดถึง แต่เอกภาพด้านจริยธรรมเสื่อมกลับบริบูรณ์
ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ไมล์บินสะสมให้อีตัว การจ้างผู้ช่วย พฤติกรรมกุ๊ยสิบแปดมงกุฎและโจรห้าร้อยในและนอกสภา ผู้ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ประธานลงมาขาดความสง่างาม ถูกฟ้องคดีอาญา ต้องข้อกล่าวหา ถูกชี้มูล ประวิงคดีความ ฯลฯ
สื่อของเราหายไปไหน นักวิชาการของเราหายไปไหน องค์การอิสระที่มีหน้าที่หายไปไหน การเมืองภาคประชาชนหายไปไหน พันธมิตรฯ หายไปไหน จะตั้งพรรคก็ตั้งไป แต่อย่ามัวบ้าเรื่องเดียว ช่วยกันตรวจสอบเดี๋ยวนี้
ผู้นำประเทศ นายกฯ อภิสิทธิ์ หัวหน้าพรรคต่างๆ พูดออกมาเดี๋ยวนี้
นักศึกษารัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ นิเทศศาสตร์ รีบไปกรอกแบบฟอร์มที่ทำเนียบฯ และสำนักงานผู้ตรวจราชการแผ่นดิน สื่อทุกประเภทติดตามเกาะและเจาะข่าวตั้งแต่บัดนี้
ช่วยกันชำระล้างสภาผู้แทนราษฎรอภิมหาโสโครกชุดนี้ เดี๋ยวนี้ ด้วยเถิด จะเป็นกุศลต่อบ้านเมืองหาที่สุดมิได้