xs
xsm
sm
md
lg

หวัดพันธุ์ใหม่ลามหนัก 40 ชาติยอดติดเชื้อทั่วโลกเกินหมื่นราย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รอยเตอร์/ เอเอฟพี – เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ยังลามไม่เลิก ล่าสุดมีผู้ติดเชื้อแล้วใน 40ประเทศทั่วโลก ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อมรณะทะลุหลักหมื่นเป็น 10,243 คนแล้ว ด้านสธ.วางแผนรับมือนักเตะลิเวอร์พูลดวลแข้งในไทย 22 ก.ค.นี้ เหตุอังกฤษเป็นประเทศเสี่ยง ขณะเดียวกันเตรียมปรับแผนตรวจคัดกรองผู้ป่วยบนเครื่องบินเข้มขึ้น แย้มอาจให้มีการตรวจคัดกรองบนเครื่องบิน เจ้าหน้าที่สวมชุดอวกาศและนำเครื่องมือวัดไข้แตะหน้าผากผู้โดยสาร ระบุสั่งซื้อต้านไวรัสชนิดพ่นที่ปาก"ซานามีเวียร์" ล็อตแรกแล้ว 1 หมื่นชุด พร้อมเผยสามีหญิงชาวเยอรมันที่เสียชีวิตเริ่มมีไข้ เข้ารับการรักษาที่ร.พ.หัวหินแล้ว ชี้ผลแล็บออกวันนี้ ด้านองค์การอนามัยโลกหนุนงบ 70 ล้านบาทให้ไทยวิจัยผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่

องค์การอนามัยโลกแถลงที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์วานนี้ (20) โดยยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทั่วโลกแล้วใน 40 ประเทศ โดยผู้ติดเชื้อได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนมี 10,243 ราย ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 80 ราย
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดขององค์การอนามัยโลก ยังไม่ได้นับรวมข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขของไต้หวันที่ออกมายืนยันเมื่อวานนี้ว่า พบชายชาวต่างชาติ วัย 52 ปี คนหนึ่งที่เดินทางโดยเครื่องบินมาจากฮ่องกงเมื่อต้นสัปดาห์นี้ เป็นผู้ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่เป็นรายแรกของดินแดนแห่งนี้
โฆษกศูนย์ควบคุมโรคไต้หวันแถลงว่า ชายคนดังกล่าวเป็นแพทย์ประจำบนเรือสำราญซึ่งเดินทางจากฮ่องกงมาถึงท่าอากาศยานเถาหยวนเมื่อวันจันทร์(18) ที่ผ่านมา แต่ไม่ได้เปิดเผยสัญชาติของชายคนนี้แต่อย่างใด
ด้านมาร์กาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กล่าวในระหว่างการประชุมประจำปีสมัยที่ 62 ขององค์การอนามัยโลกที่เจนีวา โดยแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก หลังจากมีการพบผู้ติดเชื้อในภูมิภาคนี้แล้ว 9 ประเทศคือ ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ จีนและเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ไทย มาเลเซีย ออสเตรเลีย อินเดีย ฟิลิปปินส์ และล่าสุดคือ ไต้หวัน ซึ่งถือเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีน
ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกยอมรับว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดในเอเชีย-แปซิฟิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่น ถือว่ามีความรุนแรงไม่แตกต่างจากการแพร่ระบาดในทวีปอเมริกาเหนือแต่อย่างใด แต่ยืนยันว่าจะยังไม่ประกาศเพิ่มระดับการเตือนภัยเป็นขั้นที่ 6 หรือขั้นสูงสุด เนื่องจากต้องการผลการพิสูจน์ที่แน่ชัดทางวิทยาศาสตร์ก่อนในหลายประเด็น เช่น ประเด็นที่พบผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้ที่ไม่เคยเดินทางไปยังประเทศที่มีการแพร่ระบาดมาก่อน แต่กลับได้รับเชื้อ
ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นเปิดเผยวานนี้(20)ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในญี่ปุ่นพุ่งแตะระดับ 250 รายแล้ว นอกจากนั้นยังพบผู้ติดเชื้อรายแรกในเมืองหลวงโตเกียว ซึ่งเป็นนักเรียนหญิงวัย 16 ปี อาศัยอยู่ในย่านฮาชิโอจิ ที่เป็นย่านชานเมืองทางด้านตะวันตกของโตเกียว เธอเพิ่งกลับจากการไปเยือนนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อเร็วๆ นี้
การพบเชื้อไวรัสในโตเกียวนับเป็นเรื่องที่ชวนวิตก เนื่องจากโตเกียวมีผู้คนอาศัยอยู่เกือบ 36 ล้านคน ถือเป็นพื้นที่เขตเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของโลก
ก่อนหน้านี้ ญี่ปุ่นพบผู้ติดเชื่อในจังหวัดเฮียวโงะ และโอซากา ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนักศึกษา และวานนี้เพิ่งพบผู้ติดเชื้อรายแรกในจังหวัดชิงะ ทั้ง 3 จังหวัดนี้ต่างอยู่ทางภาคตะวันตกของแดนอาทิตย์อุทัย

ทางด้านสหรัฐฯ แคธลีน เซเบเลียส รัฐมนตรีสาธารณสุข ออกมาวิจารณ์องค์การอนามัยโลกที่กำลังเจรจากับบรรดาบริษัทผู้ผลิตยารายใหญ่ของโลกราว 30 แห่ง ให้เร่งเดินหน้าผลิตวัคซีนสำหรับใช้รับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่
เซเบเลียสระบุว่า ดร.มาร์กาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก และบันคีมุน เลขาธิการสหประชาชาติ กำลังจะทำให้โลกตกอยู่ในความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เนื่องจากทั้ง 2 คน ต้องการให้มีการเร่งพัฒนาวัคซีนทั้งที่ยังไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัดของเชื้อไวรัสชนิดนี้ และยังไม่คำนึงถึงประเด็นเรื่องการกลายพันธุ์ของเชื้อ ซึ่งอาจทำให้วัคซีนที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างรีบร้อนนี้ใช้ไม่ได้ผล หากเชื้อไวรัสมีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต แม้ว่าบริษัทยาอย่างน้อย 6 แห่งจะออกมาให้สัญญากลางที่ประชุมประจำปีขององค์การอนามัยโลกเมื่อวันอังคาร (19) ว่าจะเร่งเดินหน้าผลิตวัคซีนให้ได้ 4,900 ล้านโดสภายใน 1 ปี โดยไม่รอผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่แน่นอนก็ตาม
ขณะเดียวกัน ดร. แอนน์ ชิวแชท ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ ซีดีซี ออกมาเปิดเผยเมื่อวันอังคาร (19) โดยระบุว่า ในขณะนี้บริษัทผู้ผลิตวัคซีนยังไม่มีความพร้อมที่จะผลิตวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่อย่างแท้จริง แม้ว่าหลายบริษัทจะอ้างว่าสามารถเริ่มผลิตได้อย่างเร็วที่สุดกลางเดือนกรกฎาคมนี้ก็ตาม  เนื่องจากผลการศึกษาของซีดีซีและกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ พบว่า ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่สามารถชี้ชัดว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทั่วไปที่ทางองค์การอนามัยโลกต้องการให้บริษัทยาต่างๆ เร่งผลิตนั้น จะสามารถป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ได้จริง
****สามีหญิงชาวเยอรมันเริ่มมีไข้
นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้สามีของหญิงชาวเยอรมันวัย 65 ปี ที่เสียชีวิตเมื่อคืนวันที่ 18 พ.ค. มีอาการป่วยเป็นไข้ อุณหภูมิ 38 องศาเซลเซียส แพทย์ได้รับตัวมาดูแลรักษาอาการที่โรงพยาบาลหัวหินและส่งเชื้อไปตรวจแล้ว ซึ่งจะแจ้งผลตรวจให้ทราบในวันนี้(21 พ.ค.)
ส่วนหญิงชาวเยอรมันนั้น ชัดเจนว่าผู้ตายไม่ได้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ แต่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบเชื้อที่ทำให้ปอดอักเสบ โดยได้ส่งชิ้นเนื้อที่บริเวณปอดของผู้ตายไปให้กับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาลตรวจสอบแล้ว ทั้งนี้ ได้หารือกับนพ.คำนวณ อึ้งชูศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยา เห็นว่าไม่จำเป็นต้องกักตัวเจ้าหน้าที่ที่ทำการตรวจศพ แพทย์ ผู้ช่วยแพทย์ และนักศึกษาแพทย์ทั้ง 14 คนอีกต่อไป

**เตรียมรับมือลิเวอร์พูลเยือนไทย
นพ.ไพจิตร์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการการเฝ้าระวังโรคกรณีทีมฟุตบอลลิเวอร์พูล จากประเทศอังกฤษ จะเดินทางมาแข่งขันกับนักฟุตบอลทีมชาติไทยในวันที่ 22 ก.ค.นี้ สธ.ได้เตรียมการประสานกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพื่อจัดระบบเฝ้าระวังและดูแลสุขภาพนักฟุตบอลทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เดินทางถึงประเทศไทยจนเดินทางกลับ ทั้งนี้ ประเทศอังกฤษ ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้เป็น 1 ใน 5 ของประเทศกลุ่มเสี่ยงของการแพร่ระบาด ดังนั้น จึงต้องเตรียมความพร้อมในมาตรการการเฝ้าระวังโรค โดยจะหารือร่วมกันว่าจำเป็นจะต้องใช้มาตรการใดเป็นพิเศษนอกเหนือจากมาตรการที่กระทรวงฯดำเนินการอยู่แล้วกับกลุ่มนักฟุตบอลและทีมงานหรือไม่ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับแฟนฟุตบอลทั่วประเทศ
  ด้านนพ.มล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่าที่ประชุมย่อยของศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข เตรียมเสนอที่ประชุมให้เพิ่มความเข้มข้นในการตรวจคัดกรองผู้ป่วยที่ท่าอากาศยานนานาชาติทุกพื้นที่ ทั้งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ,เชียงใหม่ และภูเก็ต  โดยอาจให้มีการตรวจคัดกรองบนเครื่องบิน เจ้าหน้าที่สวมชุดอวกาศและนำเครื่องมือวัดไข้แตะหน้าผากผู้โดยสาร ซึ่งการใช้มาตรการนี้ถือเป็นเรื่องปกติในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่นก็มีการใช้มาตรการนี้เช่นกัน ทั้งนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากท่าอากาศยาน การสายบิน และเตรียมเรื่องของอุปกรณ์การแพทย์ และเจ้าหน้าที่

**สั่งซื้อต้านไวรัสชนิดพ่นหมื่นชุด
นพ.มล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการสั่งซื้อยาซานามิเวียร์ล็อตแรกแล้ว จำนวน 1 หมื่นชุด โดยสามารถเจรจาต่อรองราคากับบริษัทยา ทำให้สามารถซื้อได้ในราคาชุดละ 450 บาท จากเดิมราคาชุดละ 900 บาท ใช้งบประมาณของกรมควบคุมโรคทั้งหมด 4.5 ล้านบาท คาดว่าบริษัทยาจะส่งมอบยาได้ในอีก 1 เดือนข้างหน้า แต่หากมีการสั่งซื้อยาดังกล่าวในล็อตที่ 2 บริษัทยาจะขายให้ในราคาที่ไม่มีการลด คือ 900 บาทต่อชุด
“ยาซานามิเวียร์เป็นยาต้านไวรัสชนิดพ่นทางปากที่ใช้รักษาโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009ได้เช่นเดียวกับยาต้านไวรัสโอเซลทามิเวียร์ แต่ยังไม่มีรายงานเชื้อไวรัสดื้อยาชนิดนี้ จึงจำเป็นต้องสั่งซื้อยามาเก็บไว้เป็นสำรอง สำหรับใช้เมื่อเชื้อไวรัสดื้อยาโอเซลทามิเวียร์ จะได้มียาสำรองใช้ในการรักษาผู้ป่วยทันที ทำให้ประชาชนอุ่นใจ ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้องค์การอนามัยโลกได้ส่งสัญญาณเกรงว่าเชื้อไวรัสจะดื้อยาโอเซลทามิเวียร์”นพ.มล.สมชายกล่าว
         
** สธ. เตรียมแถลงร่วมศิริราช-นิติเวช
          นพ.ไพจิตร์ วราชิต รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)กล่าวว่า ในเร็วๆนี้จะเชิญคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล สถาบันนิติเวช สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาแถลงข่าวร่วมกันถึงสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียดของหญิงชาวเยอรมันที่เสียชีวิตในประเทศไทยเนื่องจากปอดอักเสบ หลังทราบผลอย่างเป็นทางการทางห้องปฏิบัติการแต่คงไม่ทันวันที่ 21 พ.ค. เพื่อชี้แจงให้สาธารณชนคลายความสงสัย และประเด็นที่ไม่ตรงกัน อีกทั้งเป็นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานดีขึ้นและประชาชนมีความสบายใจ
         
** งงไม่รับส่งใบต.8 ด่านตม.
          รายงานข่าวแจ้งว่ามี เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศเดินทางกลับจากประเทศเยอรมัน ซึ่งได้รับแจกใบกรอกประวัติสุขภาพสำหรับผู้โดยสารขาเข้า(ต.8)แต่ปรากฏว่าไม่มีเจ้าหน้าที่รับคืนใบดังกล่าว อีกทั้งไม่พบเจ้าหน้าที่ของด่านควบคุมโรครับใบดังกล่าวเลยทำให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนดังกล่าวส่งใบต.8กลับมายังผู้บริหารของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) พร้อมแจ้งเรื่องดังกล่าวให้ทราบ
นายมานิต นพอมรบดี รมช.สาธารณสุข กล่าวว่า โดยปกติแล้วผู้โดยสารขาเข้าจะต้องยื่นใบต.8ให้กับเจ้าหน้าที่ของด่านตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)พร้อมกับหนังสือเดินทาง แต่จากข้อมูลที่ได้รับรายงานเบื้องต้นพบว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงต่างประเทศอาจเดินทางผ่านช่องทางพิเศษ ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่กล้าไล่เก็บใบ ซึ่งกำลังเช็คข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมอยู่ว่าเกิดจากสาเหตุใด
“ผมได้ประสานงานกับทางตม.ให้ดำเนินการเข้มงวดกับด่านตม.ทุกด่าน รวมถึงด่านวีไอพีด้วยเช่นกัน ไม่มีละเว้น ซึ่งขณะนี้กำลังเช็ครายละเอียดอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ได้กำชับให้ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งเท่าเทียมกันทุกราย”นายมานิต กล่าว

**WHOให้ไทย 70 ล. ผลิตวัคซีนหวัดใหญ่
วานนี้ (20 พ.ค.) เวลา 13.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย ที่องค์การสหประชาชาติ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และพญ.มาร์กาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก เป็นสักขีพยานการลงนามความร่วมมือระหว่างนพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม นพ.ศิริวัฒน์ ทิพธราดล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายไทย กับ ดร.แมรี่ พอล คีนีย์ ผู้อำนวยการด้านการวิจัยวัคซีน และ ดร.เดซี่ มาฟูบีลู รองผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ผู้แทนองค์การอนามัยโลก เพื่อให้องค์การเภสัชกรรมสามารถใช้สายพันธุ์เชื้อเป็น และข้อมูลในการพัฒนาการวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากเชื้อเป็น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากบริษัทโนบีลอน (Nobilon-Schering-Plough) ที่ได้รับจากประเทศรัสเซีย ซึ่งมอบให้องค์การอนามัยโลกเมื่อ 15 ม.ค. เพื่อทำประโยชน์แก่ประเทศกำลังพัฒนาเป็นครั้งแรก โดยสามารถผลิตได้จำนวนมากในระยะเวลาอันสั้น
นายวิทยากล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับองค์การอนามัยโลกครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่จะได้อาวุธสำคัญในการต่อสู้กับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ทำให้ระบบการสาธารณสุขของไทย มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยสามารถผลิตวัคซีนขึ้นใช้ได้เองในประเทศ และผลิตให้องค์การอนามัยโลกนำไปช่วยเหลือประเทศที่ประสบปัญหา ซึ่งทยได้รับการสนับสนุนจากองค์การอนามัยโลกจำนวน 2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 70 ล้านบาท ตั้งแต่เดือนเม.ย.52 สิ้นสุดโครงการวันที่ 30 เมษายน 2553 เพื่อให้องค์การเภสัชกรรมผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดเชื้อเป็น หลังจากที่ได้ผลิตวัคซีนตัวอย่างชนิดเชื้อตายของโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลในปีแรกแล้ว เป็นโอกาสดีที่จะผลิตสายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ที่กำลังระบาด ด้วยเทคโนโลยีชนิดเชื้อเป็นในประเทศได้คราวละจำนวนมาก และเป็นความหวังที่จะสามารถรับมือได้ทัน หากโรคนี้เกิดการระบาดอีกในอนาคต

**อภ.ปรับโรงงานรับหวัด2009
ด้านนพ.วิทิตกล่าวว่า ในการวิจัยเพื่อการผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 ครั้งนี้ องค์การอนามัยโลกได้ให้เชื้อเป็นที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์ลงมาผลิตวัคซีน (live-attenuated influenza vaccine : LAIV) มาดำเนินการที่ห้องปฏิบัติการซึ่งมีความปลอดภัยในระดับห้องปฏิบัติการตามมาตรฐานสากล
นอกจากนี้ เพื่อเตรียมรับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1 องค์การเภสัชกรรมได้ตัดสินใจปรับโครงการผลิตวัคซีนที่องค์การอนามัยโลกให้การสนับสนุน เพื่อรองรับการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ด้วย การดำเนินการโครงการต่อเนื่องนี้ จะทำให้ประเทศไทยสามารถผลิตวัคซีนจากเชื้อเป็นได้ถึง 2-3 ล้านโดสต่อเดือน ในกรณีที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่ฉุกเฉิน ถึงแม้ว่าจำนวนการผลิตดังกล่าวอาจไม่พอเพียงต่อประชาชนชาวไทย แต่จะเพียงพอสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว รวมถึงผู้ให้บริการต่อสาธารณชน

**พิษหวัด2009อัดท่องเที่ยวซบยาวถึงสิ้นปี*******

นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยว่า สทท.ได้ร่วมกับสมาชิก ในการประเมินสถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งพบว่าสถานการณ์การระบาดของไข้หวัดใหญ๋สายพันธ์ใหม่ 2009 เริ่มมีผลกระทบกับตลาดนักท่องเที่ยวเอเชียแล้ว ทั้งนี้เพราะการพบผู้ติดเชื้อในประเทศจีนและญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นนักท่องเที่ยวตลาดใหญ่ของไทย ซึ่งเป็นไปได้ที่นักท่องเที่ยวจาก 2 ประเทสดังกล่าวจะยกเลิกการเดินทางท่องเที่ยวในช่วงนี้ออกไปจนถึงสิ้นปี เพราะเกรงว่าการเดินทางจะทำให้เกิดการติดต่อ หรืออาจถูกกักตัวและตรวจสอบจากประเทศปลายทางเป็นกรณีพิเศษมากขึ้น ซึ่งทำให้หมดอารมณ์ในการท่องเที่ยว
สำหรับประเด็นที่รัฐบาลเลื่อนการประชุมอาเซียนซัมมิท ออกไปอย่างไปมีกำหนด จากเดิมที่คาดว่าจะจัดที่ภูเก็นในเดือนมิ.ย.52 เหมือนเป็นการตอกย้ำว่าประเทศไทยยังไม่มีความปลอดภัยเพียงพอที่จะต้อนรับระดับผู้นำประเทศก็เป็นได้ ยิ่งสร้างความไม่มั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว
"จากที่มีความหวังว่าเมื่อการเมืองในประเทศสงบจะทำให้ภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทยเริ่มดีขึ้นได้ในครึ่งปีหลัง แต่ก็มาเกิดการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 และยังมีประเทศในเอเชียซึ่งเป็นตลาดความหวังสุดท้ายของไทยก็พบผู้ติดเชื้อแล้วนั้น เหมือนเป็นการซ้ำเติมให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอาจทรุดหนักกว่าที่คิดไว้"
อย่างไรก็ตาม สทท.ยังยืนยันตัวเลขจำนวนนักท่องเที่ยวที่ได้ประเมินไว้ตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมาว่าปีนี้นักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลง 22%จากปีก่อน คือทำได้อย่างดีก็เพียง 11 ล้านคน จากที่ ททท.ตั้งเป้าหมายว่าจะได้ราว 14 ล้านคน ส่วนรายได้คาดว่าจะหายไปประมาณ 35% หรือกว่า 1 แสนล้านบาท โดยทั้งปีจะมีรายได้ประมาณ 4 แสนล้านบาท ลดจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5.4 แสนล้านบาท ดังนั้นจึงขอยืนยันตามข้อเรียกร้องเดิมที่ต้องการให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกระตุ้นตลาดประชุมสัมมนาภายในประเทศ หรือ โดเมสติกไมซ์ โดยเน้นให้เดินทางสัมมนาช่วงนอกฤดูการท่องเที่ยว เพื่อเป็นการสร้างรายได้เข้ามาหมุนเวียนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้ประคองตัวให้รอดในช่วงโลว์ซีซั่นปีนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น