เสริมสุข ปรับตัวฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ รับพฤติกรรมผู้บริโภครัดเข็มขัด เดินเกมกระชับ อัดกลยุทธ์ 3P มุ่งรักษาฐานตลาดน้ำอัดลมพร้อมขยายตลาดเครื่องดื่มไม่อัดลม ปรับลอจิสติกส์ –แพกเกจจิ้ง ระดมลงทุนเพิ่มขึ้นเท่าตัว ทุ่ม 1,150 ล้านบาท เพิ่มไลน์ผลิตขวดเพทรับสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มฟื้น สิ้นปีรายได้โต 5% จาก 19,420 ล้านบาท
นายสมชาย บุลสุข ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำอัดลมเป๊ปซี่ เปิดเผยว่า ปีนี้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวหลังจากผู้ประกอบการต้องเผชิญกับคลื่นอุปสรรค ( Perfect Storm) อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก การเมือง ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง สำหรับบริษัทเสริมสุขก็ต้องผจญกับภาระต้นทุนที่ปรับสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำตาล เพิ่มขึ้น 34% ราคาน้ำมันผันผวนตลอด ซึ่งปีนี้มีแนวโน้มว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้น ตลอดจนข้อบังคับของภาครัฐ โดยน้ำอัดลมเป็นสินค้าคาบเกี่ยวระหว่าง สินค้าเฝ้าระวังหรือสินค้าฟุ่มเฟือย ขณะเดียวกันก็มีการบังคับใช้ระเบียบภาษีสรรพสามิตซึ่งใช้กับสินค้าฟุ่มเฟือย
อีกทั้งยังมีอุปสรรคการทำตลาด จากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิม คือ 1. ต้องการรัดเข็มขัดมากขึ้น โดยเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาถูก หรือลดราคา หรือมีขนาดเล็กลง 2. ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยหันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพมากขึ้น เพื่อความแข็งแรง ดูดี และฉลาด และ 3.ต้องการความสะดวกสบาย ผู้บริโภครุ่นใหม่นิยมเดินซื้อสินค้าหลากหลายในซูเปอร์มาร์เก็ตแบบ one-stop shopping ที่ใกล้บ้าน เพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง ขณะที่สภาพการแข่งขันของตลาดมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ในช่วงที่ผ่านมาเสริมสุข ได้ปรับกลยุทธ์เจาะตลาดทุกเซกเมนต์ ที่บริษัทเข้าไปทำตลาด เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในด้านความคุ้มค่าและความสะดวกสบาย อาทิ การออกบรรจุภัณฑ์ขนาดใหม่ เช่น เป๊ปซี่ 480 มล.ลิปตันและเกเตอเรด 350 มล. และ มิรินด้า 6.5 ออนซ์ตลอดจนปรับบรรจุภัณฑ์ขนาด multi-serveที่เน้นความประหยัดตอบโจทย์ผู้บริโภค
**ปรับกลยุทธ์ชู 3Pเดิมเกมกระชับ***
นายสมชาย กล่าวว่า นโยบายการตลาดปีนี้ บริษัทได้ปรับทิศทางธุรกิจให้คมชัดขึ้นและกระชับมากขึ้น จากปีที่ผ่านมาดำเนินกลยุทธ์ FOCUS 5 มิติ แต่สำหรับปีนี้ดำเนินกลยุทธ์ P3 ได้แก่ P1. คือ Portfolio การขับเคลื่อนธุรกิจบนฐานผลิตภัณฑ์ที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับเสริมสุขด้วย 4 เสาหลัก ได้แก่ น้ำอัดลม น้ำดื่มคริสตัล ชาพร้อมดื่ม น้ำส้มทวิสเตอร์ และยังมีเครื่องดื่มอื่นๆ อาทิ เกเตอเรด คาราบาวแดง และโออิชิ โดยจะยังคงยึดการทำตลาดกลุ่มน้ำอัดลม สินค้าเรือธงสร้างรายได้ 75% และเครื่องดื่มไม่อัดลม 25%
ตามด้วยกลยุทธ์ P.2 คือ Performance มุ่งเน้นผลการทำงานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ใน 3 ด้านหลัก 1.ระบบลอจิสติกส์และการขนส่ง มีการบริหารจัดการระบบการกระจายสินค้า แบบใหม่ โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ UPS ช่วยวิเคราะห์การทำงาน การเพิ่มสายการผลิตน้ำดื่มคริสตัลที่โรงงานสุราษฎร์ธานีเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพื่อการจัดจำหน่ายในเขตภาคใต้
2.นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ ได้พัฒนาขวด PET ดีไซน์ใหม่ น้ำหนักเบา ช่วยลดปริมาณการใช้เม็ดพลาสติก 600 ตัน หรือ 25ล้านบาทต่อปี และยังเปลี่ยนหีบห่อมาเป็นถาดกระดาษห่อฟิล์ม ซึ่งลดค่าใช้จ่ายได้50%และ3.จิตสำนึกสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และกลยุทธ์ P.3 คือ People บุคลากรเน้นรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ และฝึกอบรมทักษะความรู้ต่างๆ ให้เพิ่มแต้มต่อทางการตลาดและขาย รองรับกับการแข่งขัน
***อัดงบลงทุนเท่าตัวรับเศรษฐกิจฟื้น***
นายสมชาย กล่าวว่า ปีนี้บริษัทได้ทุ่มงบลงทุน 1,150ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเท่าตัว แบ่งเป็นงบลงทุนปกติในแต่ละปี 600ล้านบาท เพื่อปรับปรุงการผลิต ส่วนอีก 550ล้านบาท ได้ซื้อเครื่องจักรเพื่อตั้งไลน์การผลิตขวด PET เพื่อรองรับกับสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีหน้า และรองรับการเติบโตของธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มไม่อัดลม
สำหรับผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมาของเสริมสุข มีกำไรสุทธิ 123ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31 บาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกำไร 92 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมลดลง 11 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้5,032 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 5,043 ล้านบาท คาดว่า สิ้นปีนี้รายได้รวมเพิ่มขึ้น 5 % จาก 19,420 ล้านบาท
นายสมชาย บุลสุข ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำอัดลมเป๊ปซี่ เปิดเผยว่า ปีนี้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวหลังจากผู้ประกอบการต้องเผชิญกับคลื่นอุปสรรค ( Perfect Storm) อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก การเมือง ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง สำหรับบริษัทเสริมสุขก็ต้องผจญกับภาระต้นทุนที่ปรับสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ราคาน้ำตาล เพิ่มขึ้น 34% ราคาน้ำมันผันผวนตลอด ซึ่งปีนี้มีแนวโน้มว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้น ตลอดจนข้อบังคับของภาครัฐ โดยน้ำอัดลมเป็นสินค้าคาบเกี่ยวระหว่าง สินค้าเฝ้าระวังหรือสินค้าฟุ่มเฟือย ขณะเดียวกันก็มีการบังคับใช้ระเบียบภาษีสรรพสามิตซึ่งใช้กับสินค้าฟุ่มเฟือย
อีกทั้งยังมีอุปสรรคการทำตลาด จากพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปจากเดิม คือ 1. ต้องการรัดเข็มขัดมากขึ้น โดยเลือกซื้อสินค้าที่มีราคาถูก หรือลดราคา หรือมีขนาดเล็กลง 2. ต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยหันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพมากขึ้น เพื่อความแข็งแรง ดูดี และฉลาด และ 3.ต้องการความสะดวกสบาย ผู้บริโภครุ่นใหม่นิยมเดินซื้อสินค้าหลากหลายในซูเปอร์มาร์เก็ตแบบ one-stop shopping ที่ใกล้บ้าน เพื่อประหยัดเวลาในการเดินทาง ขณะที่สภาพการแข่งขันของตลาดมีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ในช่วงที่ผ่านมาเสริมสุข ได้ปรับกลยุทธ์เจาะตลาดทุกเซกเมนต์ ที่บริษัทเข้าไปทำตลาด เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในด้านความคุ้มค่าและความสะดวกสบาย อาทิ การออกบรรจุภัณฑ์ขนาดใหม่ เช่น เป๊ปซี่ 480 มล.ลิปตันและเกเตอเรด 350 มล. และ มิรินด้า 6.5 ออนซ์ตลอดจนปรับบรรจุภัณฑ์ขนาด multi-serveที่เน้นความประหยัดตอบโจทย์ผู้บริโภค
**ปรับกลยุทธ์ชู 3Pเดิมเกมกระชับ***
นายสมชาย กล่าวว่า นโยบายการตลาดปีนี้ บริษัทได้ปรับทิศทางธุรกิจให้คมชัดขึ้นและกระชับมากขึ้น จากปีที่ผ่านมาดำเนินกลยุทธ์ FOCUS 5 มิติ แต่สำหรับปีนี้ดำเนินกลยุทธ์ P3 ได้แก่ P1. คือ Portfolio การขับเคลื่อนธุรกิจบนฐานผลิตภัณฑ์ที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับเสริมสุขด้วย 4 เสาหลัก ได้แก่ น้ำอัดลม น้ำดื่มคริสตัล ชาพร้อมดื่ม น้ำส้มทวิสเตอร์ และยังมีเครื่องดื่มอื่นๆ อาทิ เกเตอเรด คาราบาวแดง และโออิชิ โดยจะยังคงยึดการทำตลาดกลุ่มน้ำอัดลม สินค้าเรือธงสร้างรายได้ 75% และเครื่องดื่มไม่อัดลม 25%
ตามด้วยกลยุทธ์ P.2 คือ Performance มุ่งเน้นผลการทำงานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ใน 3 ด้านหลัก 1.ระบบลอจิสติกส์และการขนส่ง มีการบริหารจัดการระบบการกระจายสินค้า แบบใหม่ โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ UPS ช่วยวิเคราะห์การทำงาน การเพิ่มสายการผลิตน้ำดื่มคริสตัลที่โรงงานสุราษฎร์ธานีเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเพื่อการจัดจำหน่ายในเขตภาคใต้
2.นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ ได้พัฒนาขวด PET ดีไซน์ใหม่ น้ำหนักเบา ช่วยลดปริมาณการใช้เม็ดพลาสติก 600 ตัน หรือ 25ล้านบาทต่อปี และยังเปลี่ยนหีบห่อมาเป็นถาดกระดาษห่อฟิล์ม ซึ่งลดค่าใช้จ่ายได้50%และ3.จิตสำนึกสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน และกลยุทธ์ P.3 คือ People บุคลากรเน้นรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ และฝึกอบรมทักษะความรู้ต่างๆ ให้เพิ่มแต้มต่อทางการตลาดและขาย รองรับกับการแข่งขัน
***อัดงบลงทุนเท่าตัวรับเศรษฐกิจฟื้น***
นายสมชาย กล่าวว่า ปีนี้บริษัทได้ทุ่มงบลงทุน 1,150ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเท่าตัว แบ่งเป็นงบลงทุนปกติในแต่ละปี 600ล้านบาท เพื่อปรับปรุงการผลิต ส่วนอีก 550ล้านบาท ได้ซื้อเครื่องจักรเพื่อตั้งไลน์การผลิตขวด PET เพื่อรองรับกับสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปีหน้า และรองรับการเติบโตของธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มเครื่องดื่มไม่อัดลม
สำหรับผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ผ่านมาของเสริมสุข มีกำไรสุทธิ 123ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31 บาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกำไร 92 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมลดลง 11 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้5,032 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 5,043 ล้านบาท คาดว่า สิ้นปีนี้รายได้รวมเพิ่มขึ้น 5 % จาก 19,420 ล้านบาท