อาร์ซี โคล่า ไม่หวั่นตลาดชูกำลัง 1.5 หมื่นล้านบาท ซบ แตกไลน์เครื่องดื่มชูกำลัง “ขุนศึกอัศวิน” ชูกลยุทธ์ราคา 10 บาท ส่งขนาด 180 มล. ขวดใหญ่ปริมาณมากกว่า M-150-กระทิงแดง 30 มล.ล่อใจกลุ่มผู้ใช้แรงงานเจอมรสุมวิกฤตเศรษฐกิจกระทบกำลังซื้อหด ลุยจำหน่ายผ่านโชวห่วย ตู้แช่
แหล่งข่าววงการเครื่องดื่มชูกำลัง กล่าวว่า ขณะนี้ บริษัท สากลบอตตลิ่ง จำกัด ได้แตกไลน์เครื่องดื่มชูกำลังภายใต้แบรนด์ “ขุนศึกอัศวิน” ลงสู่ตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว จากปัจจุบันบริษัทดังกล่าวดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มน้ำอัดลม ยี่ห้อ “อาร์ซี” และเครื่องดื่มอัดลมรสส้มและองุ่นยี่ห้อ “รอยัลคราวน์” นอกจากนี้ ยังรับจ้างผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลม น้ำผลไม้ และอื่นๆ ให้แก่โมเดิร์นเทรด อย่างไรก็ตาม ม การทำตลาดน้ำอัดลมที่ผานมาของบริษัทจะใช้กลยุทธ์ราคาเป็นหลัก อย่างน้ำอัดลม ตั้งราคาถูกกว่า 2 แบรนด์ใหญ่ เช่น กระป๋อง 325 มล. ราคา 11 บาท ขณะที่โค้ก-เป๊ปซี่ ราคา 14-15 บาท
สำหรับการทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังขุนศึกอัศวิน ใช้โมเดลเดียวกับกลุ่มน้ำอัดลม โดยมุ่งใช้กลยุทธ์ราคาและเพิ่มปริมาณ โดยตั้งราคาสินค้า 10 บาท เท่ากับเครื่องดื่มชูกำลัง M-150 และกระทิงแดง แต่เพิ่มปริมาณจากปกติ 150 มิลลิลิตร เป็น 180 มิลลิลิตร หรือเครื่องดื่มขุนศึกอัศวินมีปริมาณมากกว่าสินค้าในตลาด 30 มิลลิลิตร โดยสินค้าดังกล่าววางตลาดผ่านทางช่องทางเทรดิชันนัลเทรด หรือร้านค้าปลีกรายย่อยตามตู้แช่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เป็นหลัก
สภาพตลาดเครื่องดื่มชูกำลังที่ผ่านมาเติบโตน้อยมาก และปีนี้คาดว่าตลาดมูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 1% หรือไม่มีการเติบโต เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยพบว่าฐานลูกค้าหลักซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานถูกปลดงานเป็นจำนวนมาก จากการปิดตัวของโรงงาน และขณะเดียวกันยังลดปริมาณการดื่มลง ส่งผลให้ตลาดแข่งขันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะการจัดชิงโชค เพื่อช่วงชิงกำลังซื้อที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม จากสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย ประกอบกับผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ทำให้ความภักดีต่อตราสินค้าไม่มี อีกทั้งการตัดสินใจซื้อยังคำนึงถึงด้านราคา หรือการเพิ่มปริมาณที่มากขึ้น ดังนั้น มีโอกาสที่คนจะไปซื้อสินค้าแบรนด์ที่วางสินค้าราคาถูกหรือให้มูลค่าที่เพิ่มขึ้นได้มีสูง จึงมองว่าเป็นโอกาสทางการตลาด
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา การทำตลาดทั้งน้ำอัดลมอาร์ซี ซึ่งปัจจุบันมีทั้งน้ำอัดลมไดเอท และน้ำอัดลมสีอยู่ในตลาดลาดมานาน โดยมีหน่วยรถกระจายสินค้าภายใต้ของบริษัทเอง สามารถกระจายสินค้าทั่วกรุงเทพและปริมณฑล และต่างจังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะต่างจังหวัดถือว่าเป็นตลาดหลัก เนื่องจากการวางราคาสอดคล้องกับกำลังซื้อของกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังสอดรับกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยในขณะนี้
สำหรับตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง มีผู้ประกอบการ 4 รายหลัก ได้แก่ เครื่องดื่มชูกำลัง M-150 ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่งกว่า 50% ที่เหลือถูกแชร์โดย 3 ค่าย ได้แก่ กระทิงแดง คาราบาวแดง และแรงเยอร์ นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์เล็กอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก อาทิ ซันสปาร์ค ทักษิณสู้ หมีคอมมานโด เป็นต้น
ด้าน นายสานิต หวังวิชา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด ผู้ดำเนินการด้านตลาด เครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง กล่าวว่า โลว์คอสต์โปรดักส์ มองว่า เป็นราคาที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดี โดยเฉพาะท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้ นอกจากนี้ยังเป็นสินค้าที่มีต้นทุนการตลาดไม่มากนัก โดยอาศัยสินค้าแบรนด์หลักอยู่ในตลาดเป็นตัวขับเคลื่อน เพราะโลว์คอสต์โปรดักส์ วางโพซิชันนิงเป็นสินค้าที่ใช้กลยุทธ์ราคา และเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มองหาสินค้าที่สามารถทดแทนกันได้ภายใต้ราคาที่ถูกกว่า
แหล่งข่าววงการเครื่องดื่มชูกำลัง กล่าวว่า ขณะนี้ บริษัท สากลบอตตลิ่ง จำกัด ได้แตกไลน์เครื่องดื่มชูกำลังภายใต้แบรนด์ “ขุนศึกอัศวิน” ลงสู่ตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว จากปัจจุบันบริษัทดังกล่าวดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มน้ำอัดลม ยี่ห้อ “อาร์ซี” และเครื่องดื่มอัดลมรสส้มและองุ่นยี่ห้อ “รอยัลคราวน์” นอกจากนี้ ยังรับจ้างผลิตเครื่องดื่มน้ำอัดลม น้ำผลไม้ และอื่นๆ ให้แก่โมเดิร์นเทรด อย่างไรก็ตาม ม การทำตลาดน้ำอัดลมที่ผานมาของบริษัทจะใช้กลยุทธ์ราคาเป็นหลัก อย่างน้ำอัดลม ตั้งราคาถูกกว่า 2 แบรนด์ใหญ่ เช่น กระป๋อง 325 มล. ราคา 11 บาท ขณะที่โค้ก-เป๊ปซี่ ราคา 14-15 บาท
สำหรับการทำตลาดเครื่องดื่มชูกำลังขุนศึกอัศวิน ใช้โมเดลเดียวกับกลุ่มน้ำอัดลม โดยมุ่งใช้กลยุทธ์ราคาและเพิ่มปริมาณ โดยตั้งราคาสินค้า 10 บาท เท่ากับเครื่องดื่มชูกำลัง M-150 และกระทิงแดง แต่เพิ่มปริมาณจากปกติ 150 มิลลิลิตร เป็น 180 มิลลิลิตร หรือเครื่องดื่มขุนศึกอัศวินมีปริมาณมากกว่าสินค้าในตลาด 30 มิลลิลิตร โดยสินค้าดังกล่าววางตลาดผ่านทางช่องทางเทรดิชันนัลเทรด หรือร้านค้าปลีกรายย่อยตามตู้แช่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เป็นหลัก
สภาพตลาดเครื่องดื่มชูกำลังที่ผ่านมาเติบโตน้อยมาก และปีนี้คาดว่าตลาดมูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท เติบโต 1% หรือไม่มีการเติบโต เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยพบว่าฐานลูกค้าหลักซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงานถูกปลดงานเป็นจำนวนมาก จากการปิดตัวของโรงงาน และขณะเดียวกันยังลดปริมาณการดื่มลง ส่งผลให้ตลาดแข่งขันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะการจัดชิงโชค เพื่อช่วงชิงกำลังซื้อที่ลดลง
อย่างไรก็ตาม จากสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย ประกอบกับผู้บริโภคระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอย ทำให้ความภักดีต่อตราสินค้าไม่มี อีกทั้งการตัดสินใจซื้อยังคำนึงถึงด้านราคา หรือการเพิ่มปริมาณที่มากขึ้น ดังนั้น มีโอกาสที่คนจะไปซื้อสินค้าแบรนด์ที่วางสินค้าราคาถูกหรือให้มูลค่าที่เพิ่มขึ้นได้มีสูง จึงมองว่าเป็นโอกาสทางการตลาด
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา การทำตลาดทั้งน้ำอัดลมอาร์ซี ซึ่งปัจจุบันมีทั้งน้ำอัดลมไดเอท และน้ำอัดลมสีอยู่ในตลาดลาดมานาน โดยมีหน่วยรถกระจายสินค้าภายใต้ของบริษัทเอง สามารถกระจายสินค้าทั่วกรุงเทพและปริมณฑล และต่างจังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะต่างจังหวัดถือว่าเป็นตลาดหลัก เนื่องจากการวางราคาสอดคล้องกับกำลังซื้อของกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังสอดรับกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยในขณะนี้
สำหรับตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง มีผู้ประกอบการ 4 รายหลัก ได้แก่ เครื่องดื่มชูกำลัง M-150 ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่งกว่า 50% ที่เหลือถูกแชร์โดย 3 ค่าย ได้แก่ กระทิงแดง คาราบาวแดง และแรงเยอร์ นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์เล็กอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก อาทิ ซันสปาร์ค ทักษิณสู้ หมีคอมมานโด เป็นต้น
ด้าน นายสานิต หวังวิชา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด ผู้ดำเนินการด้านตลาด เครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง กล่าวว่า โลว์คอสต์โปรดักส์ มองว่า เป็นราคาที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดี โดยเฉพาะท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้ นอกจากนี้ยังเป็นสินค้าที่มีต้นทุนการตลาดไม่มากนัก โดยอาศัยสินค้าแบรนด์หลักอยู่ในตลาดเป็นตัวขับเคลื่อน เพราะโลว์คอสต์โปรดักส์ วางโพซิชันนิงเป็นสินค้าที่ใช้กลยุทธ์ราคา และเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มองหาสินค้าที่สามารถทดแทนกันได้ภายใต้ราคาที่ถูกกว่า