วานนี้(13 พ.ค.)ที่ห้องควบขังใต้ถุน ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยผ่านระบบวีดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ ในคดีลอบวางระเบิดสังหาร นางปัทมา เฟื่องประยูร อดีตผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 1 ต.เขาบายศรี อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี มารดาของนางคมคาย พลบุตร อดีต ส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ที่พนักงานอัยการจังหวัดจันทบุรี และนายสนิท เฟื่องประยูร อดีต ส.จ.จันทบุรี สามีของนางปัทมา ร่วมกันเป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายประสงค์ แสงจันทร์ หรือ หมู แก่งคอย มือระเบิด ,นายเอกสิทธิ์ อยู่สุข หรือส.จ.รักษ์ อดีต ส.จ.เลย ลูกน้องคนสนิทนายสิทธิพร ขำอาจ , นายสิทธิพร ขำอาจ หรือ จ่ามี อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ผู้จ้างวาน และจ.ส.อ.นิคม จิตรกุล หรือ จ่าเปี๊ยก ซีโฟร์ มือวางระเบิด เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันจ้างวาน ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน และร่วมกันมีวัตถุระเบิดอาวุธ และอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
การอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ ศาลใช้วิธีระบบวีดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ เนื่องจากจ.ส.อ.นิคม จิตรกุล หรือ จ่าเปี๊ยก ซีโฟร์ จำเลยที่ 4 รักษาอาการป่วยเส้นโลหิตในสมองแตก ซึ่งต้องนอนพักอยู่บนเตียง โดยใช้เครื่องออกซิเจนช่วยหายใจตลอดเวลา อยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ขณะที่นายประสงค์ มือระเบิด จำเลยที่ 1 , นายเอกสิทธิ์ อดีตส.จ.เลย ลูกน้องคนสนิทนายสิทธิพร ขำอาจ จำเลยที่ 2 , นายสิทธิพร หรือ จ่ามี อดีตส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ผู้จ้างวาน จำเลยที่ 3 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้เบิกตัวมาจากเรือนจำบางขวางฟังคำพิพากษาอยู่ที่ห้องคุมขังใต้ถุนศาล
สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 พ.ย.49 ว่า จำเลยทั้งสี่ มีความผิดตามฟ้องให้ประหารชีวิต ฐานร่วมกันเป็นผู้จ้างวานฆ่า พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และให้จำคุก นายประสงค์ จำเลยที่ 1 ฐานมีเชื้อปะทุไฟฟ้า เป็นเวลา 6 ปี และ ให้จำคุก 10 ปี จ.ส.อ.นิคม จำเลยที่ 4 ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครอง แต่เมื่อรวมโทษแล้ว ให้ประหารชีวิต นายประสงค์ จำเลยที่ 1 และ จ.ส.อ.นิคม จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นโทษหนักสุด แต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นสอบสวน มีประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง เห็นควรให้ลดโทษ 1 ใน 3 จึงให้จำคุกตลอดชีวิต นายประสงค์ จำเลยที่ 1 และจ.ส.อ.นิคม จำเลยที่ 4 และให้ริบของกลางที่เป็นอุปกรณ์ในการประกอบวัตถุระเบิด
โดยจำเลยที่ 1-3 ยื่นอุทธรณ์ว่า พนักงานสอบสวนซึ่งทำสำนวนคดีนั้น ในอดีตมีพฤติการณ์ปั้นพยานหลักฐานเท็จ ขณะที่บางคนต้องการทำสำนวนเพื่อสร้างชื่อเสียง ประกอบกับพยานโจทก์ ซึ่งเป็นพนักงานสถานบริการอาบ อบ นวด มโนราห์ ที่ฝ่ายโจทก์นำสืบอ้างว่า ได้ยินขณะมีการวางแผนฆ่านั้น จำเลยเห็นว่าไม่อาจเป็นไปได้ว่าการวางแผนสำคัญจะขาดความระมัดระวังจนทำให้บุคคลอื่นได้ยิน นอกจากนี้เกี่ยวกับระเบิด โจทก์ยังไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า เชื้อปะทุที่ใช้จุดชนวนระเบิด เป็นชนิดเดียวกับเชื้อระเบิดที่สังหารนางปัทมาผู้ตาย จึงขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ ประชุมปรึกษาหารือ แล้วเห็นว่าข้ออ้างที่จำเลยที่ 1-3 ยื่นอุทธรณ์ เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ยังไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่า และฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และลดโทษนายประสงค์ จำเลยที่ 1 และ จ.ส.อ.นิคม มือวางระเบิด จำเลยที่ 1 และ 4 เหลือตลอดชีวิต เนื่องจากทั้งสองให้การรับสารภาพ นั้นชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืน
ภายหลังนายรังสฤษฎ์ อยู่สุข ทนายความ จำเลยที่ 2 เปิดเผยว่า เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามไม่เป็นผล จนศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืน ทีมทนายความจะปรึกษากันเพื่อยื่นฎีกาต่อสู้คดีต่อไป ส่วนประเด็นที่ยื่นมีหลายข้อ อาทิ การสอบสวนไม่ชอบ เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 6 ก.ย.40 คนร้ายลอบวางระเบิดไว้ใต้ท้องรถเบนซ์ โดยตั้งใจสังหารนายสนิท อดีต ส.จ.จันทบุรี สามีนางปัทมา แต่ขณะเกิดเหตุวันที่ 6 ก.ย.40 เวลา 10.45 น. นางปัทมาขับรถเบนซ์ ของนายสนิท ออกจากบ้านพัก อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อไปเรียนหนังสือที่สถาบันราชภัฏรำไพพรรณี อ.เมืองจันทบุรี ขณะที่กำลังขับรถเข้าไปที่ลานจอด รถกระแทกกับพื้นซีเมนต์ จึงเกิดเหตุระเบิดทำให้เสียชีวิต โดยการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ความจากคำให้การรับสารภาพของ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ หรือ จ่าฤทธิ์ เทวานุรักษ์ สายสืบ สภ.อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ผู้ต้องหาร่วมกระทำผิด (เสียชีวิตแล้ว)ว่าได้ร่วมกับ นายเอกสิทธิ์ จำเลยที่ 2 และนายสิทธิพร จำเลยที่ 3 และ จ.ส.อ.นิคม จำเลยที่ 4 วางแผนฆ่าสายสนิท ที่ห้องสูท สถานอาบอบนวดมโนราห์ จ.ระยอง ในวันที่ 30 ส.ค. 40 โดยชุดสืบสวนของ พล.ต.ท.ณรงค์วิช ไทยทอง ผช.อ.ตร.ปป. ขณะนั้น เข้ามาควบคุมคลี่คลายคดี จนกระทั่งทราบสาเหตุมาจากความขัดแย้งส่วนตัว และขัดผลประโยชน์ทางการเมือง
การอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ ศาลใช้วิธีระบบวีดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ เนื่องจากจ.ส.อ.นิคม จิตรกุล หรือ จ่าเปี๊ยก ซีโฟร์ จำเลยที่ 4 รักษาอาการป่วยเส้นโลหิตในสมองแตก ซึ่งต้องนอนพักอยู่บนเตียง โดยใช้เครื่องออกซิเจนช่วยหายใจตลอดเวลา อยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ขณะที่นายประสงค์ มือระเบิด จำเลยที่ 1 , นายเอกสิทธิ์ อดีตส.จ.เลย ลูกน้องคนสนิทนายสิทธิพร ขำอาจ จำเลยที่ 2 , นายสิทธิพร หรือ จ่ามี อดีตส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ผู้จ้างวาน จำเลยที่ 3 เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้เบิกตัวมาจากเรือนจำบางขวางฟังคำพิพากษาอยู่ที่ห้องคุมขังใต้ถุนศาล
สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 พ.ย.49 ว่า จำเลยทั้งสี่ มีความผิดตามฟ้องให้ประหารชีวิต ฐานร่วมกันเป็นผู้จ้างวานฆ่า พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และให้จำคุก นายประสงค์ จำเลยที่ 1 ฐานมีเชื้อปะทุไฟฟ้า เป็นเวลา 6 ปี และ ให้จำคุก 10 ปี จ.ส.อ.นิคม จำเลยที่ 4 ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครอง แต่เมื่อรวมโทษแล้ว ให้ประหารชีวิต นายประสงค์ จำเลยที่ 1 และ จ.ส.อ.นิคม จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นโทษหนักสุด แต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นสอบสวน มีประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง เห็นควรให้ลดโทษ 1 ใน 3 จึงให้จำคุกตลอดชีวิต นายประสงค์ จำเลยที่ 1 และจ.ส.อ.นิคม จำเลยที่ 4 และให้ริบของกลางที่เป็นอุปกรณ์ในการประกอบวัตถุระเบิด
โดยจำเลยที่ 1-3 ยื่นอุทธรณ์ว่า พนักงานสอบสวนซึ่งทำสำนวนคดีนั้น ในอดีตมีพฤติการณ์ปั้นพยานหลักฐานเท็จ ขณะที่บางคนต้องการทำสำนวนเพื่อสร้างชื่อเสียง ประกอบกับพยานโจทก์ ซึ่งเป็นพนักงานสถานบริการอาบ อบ นวด มโนราห์ ที่ฝ่ายโจทก์นำสืบอ้างว่า ได้ยินขณะมีการวางแผนฆ่านั้น จำเลยเห็นว่าไม่อาจเป็นไปได้ว่าการวางแผนสำคัญจะขาดความระมัดระวังจนทำให้บุคคลอื่นได้ยิน นอกจากนี้เกี่ยวกับระเบิด โจทก์ยังไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า เชื้อปะทุที่ใช้จุดชนวนระเบิด เป็นชนิดเดียวกับเชื้อระเบิดที่สังหารนางปัทมาผู้ตาย จึงขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ ประชุมปรึกษาหารือ แล้วเห็นว่าข้ออ้างที่จำเลยที่ 1-3 ยื่นอุทธรณ์ เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ยังไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่า และฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และลดโทษนายประสงค์ จำเลยที่ 1 และ จ.ส.อ.นิคม มือวางระเบิด จำเลยที่ 1 และ 4 เหลือตลอดชีวิต เนื่องจากทั้งสองให้การรับสารภาพ นั้นชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษายืน
ภายหลังนายรังสฤษฎ์ อยู่สุข ทนายความ จำเลยที่ 2 เปิดเผยว่า เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามไม่เป็นผล จนศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืน ทีมทนายความจะปรึกษากันเพื่อยื่นฎีกาต่อสู้คดีต่อไป ส่วนประเด็นที่ยื่นมีหลายข้อ อาทิ การสอบสวนไม่ชอบ เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้เกิดเมื่อวันที่ 6 ก.ย.40 คนร้ายลอบวางระเบิดไว้ใต้ท้องรถเบนซ์ โดยตั้งใจสังหารนายสนิท อดีต ส.จ.จันทบุรี สามีนางปัทมา แต่ขณะเกิดเหตุวันที่ 6 ก.ย.40 เวลา 10.45 น. นางปัทมาขับรถเบนซ์ ของนายสนิท ออกจากบ้านพัก อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อไปเรียนหนังสือที่สถาบันราชภัฏรำไพพรรณี อ.เมืองจันทบุรี ขณะที่กำลังขับรถเข้าไปที่ลานจอด รถกระแทกกับพื้นซีเมนต์ จึงเกิดเหตุระเบิดทำให้เสียชีวิต โดยการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ความจากคำให้การรับสารภาพของ จ.ส.ต.ทรงฤทธิ์ หรือ จ่าฤทธิ์ เทวานุรักษ์ สายสืบ สภ.อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ผู้ต้องหาร่วมกระทำผิด (เสียชีวิตแล้ว)ว่าได้ร่วมกับ นายเอกสิทธิ์ จำเลยที่ 2 และนายสิทธิพร จำเลยที่ 3 และ จ.ส.อ.นิคม จำเลยที่ 4 วางแผนฆ่าสายสนิท ที่ห้องสูท สถานอาบอบนวดมโนราห์ จ.ระยอง ในวันที่ 30 ส.ค. 40 โดยชุดสืบสวนของ พล.ต.ท.ณรงค์วิช ไทยทอง ผช.อ.ตร.ปป. ขณะนั้น เข้ามาควบคุมคลี่คลายคดี จนกระทั่งทราบสาเหตุมาจากความขัดแย้งส่วนตัว และขัดผลประโยชน์ทางการเมือง