การพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญได้เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่งแล้ว ในวันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2552 โดยการพระราชพิธีใหญ่คือพิธีแรกนาขวัญจะจัดขึ้นที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวงเหมือนกับทุกๆ ปีที่ผ่านมา
เป็นการส่งสัญญาณหมายให้บรรดาพี่น้องผองไทยโดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้รู้ว่าวันเวลาเริ่มต้นของการไถหว่านในปีการผลิตใหม่นี้มาถึงแล้ว
จะได้เตรียมการลงมือไถหว่านและปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารกันอย่างพร้อมเพรียงกันทั่วพระราชอาณาจักร และพักเรื่องการเมือง เรื่องการชุมนุมของคนเสื้อแดงไว้ชั่วคราว เพราะหากเวลาล่วงพ้นไปแล้วก็จะไม่ทันกาล และจะทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารเสียหายและขาดทุน
การพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้น ประกอบขึ้นด้วย 2 พิธีใหญ่
การพระราชพิธีแรกคือพระราชพิธีพืชมงคล ซึ่งพระมหากษัตริย์จะทรงเป็นประธานในการเฉลิมสมโภชน์พันธุ์พืช โดยเฉพาะพันธุ์ข้าวและธัญญาพืชอื่นๆ ซึ่งจะประกอบพิธีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่อาณาประชาราษฎรและเกษตรกรทั่วพระราชอาณาจักร
การพระราชพิธีที่สองคือพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเดิมทีแต่ครั้งโบราณมาพระเจ้าแผ่นดินจะทรงเป็นประธานในการทำพิธีแรกนาด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเกษตรกรรมอันมีคติสืบเนื่องมาแต่ประเทศอินเดีย และเพื่อเป็นสัญญาณหมายว่าราชอาณาจักรนี้เป็นประเทศเกษตรกรรมที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำในการผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งปวง
ต่อมาเมื่อมีการรวมการพระราชพิธีทั้งสองเข้าเป็นการพระราชพิธีเดียวกันแล้ว ก็ได้ใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารที่ได้ผ่านการพระราชพิธีพืชมงคลส่วนหนึ่งไปใช้หว่านในการพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เพื่อให้ประชาชนที่มาร่วมงานได้เก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อความเป็นสิริมงคลแห่งตน ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็ทรงพระราชทานแก่จังหวัดต่างๆ เพื่อมอบแก่ราษฎรต่อไป
การพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ นอกจากมีความหมายและนัยสำคัญทางการเกษตรของประเทศแล้ว ยังมีความสำคัญที่บ่งบอกความเจริญรุ่งเรืองของวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของประชาชาติไทยอีกด้วย
ในทุกปีการพระราชพิธีดังกล่าวจะถูกถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เผยแพร่ออกไปทั่วโลก เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของชาวโลกว่าราชอาณาจักรอันมีนามว่าประเทศไทยในเอเชียบูรพานี้ช่างมีความเจริญ มีความรุ่งเรือง และมีความสง่างามของความเป็นชาติไทย และเป็นเครื่องดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
หากพูดในเชิงการท่องเที่ยวก็ต้องถือว่าการพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญก็คือทรัพยากรการท่องเที่ยวที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาติ ซึ่งในโลกปัจจุบันนี้แทบไม่สามารถดูได้จากที่ไหนอีกแล้ว นอกจากดินแดนอันศิวิไลซ์และเคยยิ่งใหญ่คือราชอาณาจักรไทยแห่งนี้
จึงเป็นเรื่องที่ผองชนชาวไทยจะได้มีความยินดีและภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่และเจริญงอกงามทางวัฒนธรรมของชาติเราอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วร่วมจิตร่วมใจสมานฉันท์ธำรงรักษาความดีงามและความเจริญนี้ไว้สืบชั่วกัลปาวสาน
ทั้งควรเป็นข้อเตือนจิตสะกิดใจให้กับผู้หลงผิดบางกลุ่มบางพวกที่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมลุ่มหลงไปกับการโฆษณาชวนเชื่อที่หลอกลวง หมายจะเปลี่ยนแปลงราชอาณาจักรแห่งนี้เป็นรัฐไทยใหม่ ที่จะมีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาชี้หน้าบงการคนไทยทั้งประเทศ ว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะนั่นไม่ใช่ความเป็นไทย และเป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ของราชอาณาจักรนี้ไม่มีวันที่จะเห็นดีเห็นงามตามไปด้วยเป็นอันขาด
ความหมายของการเริ่มแรกนาอันเริ่มต้นแต่วันการพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้น นอกจากเป็นการเริ่มต้นของการไถหว่านในฤดูกาลเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้ว ยังหมายความกว้างออกไปถึงการเริ่มต้นการเพาะปลูกพืชพันธุ์ทั้งปวงด้วย
เพราะในวันที่ 11 พฤษภาคม 2552 นี้แม้หลายพื้นที่ยังไม่ย่างเข้าฤดูฝน แต่ฤดูฝนใหม่ก็ตั้งต้นขึ้นแล้วจากภาคเหนือและภาคอีสาน แล้วจะค่อยๆ เคลื่อนคล้อยทยอยมาถึงภาคกลางและภาคใต้โดยลำดับไป
ดังนั้นสัญญาณแห่งฤดูฝนใหม่เมื่อถูกส่งออกไปเช่นนี้แล้ว จึงเป็นเรื่องที่พี่น้องผองไทยจะต้องพร้อมเพรียงน้ำใจกันเตรียมการไถหว่านและปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารทุกชนิดได้แล้ว
โดยเฉพาะการปลูกป่าหรือการปลูกต้นไม้ยืนต้นไม่ว่าชนิดไหนๆ ซึ่งกำลังรณรงค์กันเป็นการใหญ่ในขณะนี้ เพราะมีผลและความหมายต่อการป้องกันแก้ไขปัญหาโลกร้อน ซึ่งกำลังเป็นมหันตภัยใหญ่ที่จะทำลายล้างมนุษยชาติให้สิ้นสูญได้
มนุษยชาติและพี่น้องผองไทยจึงมีหน้าที่ต้องร่วมกันปลูกสร้างพืชพันธุ์ไม้นานาชนิดให้ทั่วถึงทั้งพระราชอาณาจักรโดยเร็วที่สุด
โดยเฉพาะภาครัฐนั้น ควรจะเร่งดำเนินการให้ทันท่วงที ไม่ปล่อยให้โครงการดีๆ เนิ่นช้าไป จนพ้นฤดูฝนไปแล้ว ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ เพราะหากปล่อยเวลาเนิ่นช้าไปถึงเวลานั้น เมื่อเข้าฤดูแล้งแล้ว ถึงจะเพาะปลูกประการใดก็ไร้ผล เสียทั้งของ เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ และจะไม่มีวันเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันโลกร้อนได้เลย
เนื่องจากหลักการทางชีววิทยานั้น เซลล์ของพืชทุกชนิดจะขยายตัวเติบโตในฤดูฝนและจะหยุดการเจริญเติบโตในฤดูแล้ง หากปล่อยเวลาจนเข้าหน้าแล้งแล้ว ถึงจะเพาะปลูกไป พันธุ์ไม้ก็ไม่เจริญเติบโต และคงจะแห้งตายหรือไม่ก็โดนไฟป่าไหม้หมด
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ตลอดจนผู้นำทางความคิดของสังคมทุกภาคส่วนจึงควรทุ่มเทรณรงค์เรื่องการปลูกต้นไม้อย่างแข็งขัน ให้ทันท่วงที อย่าได้ปล่อยให้เวลาเนิ่นช้าไปเป็นอันขาด
และเมื่อจะปลูกพันธุ์ไม้กันแล้วก็ใช่สักแต่ว่าปลูกไปแค่ขอไปที หรือแค่ที่จะได้ใช้จ่ายงบประมาณให้หมดสิ้นไป แต่ควรจะได้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดอันจะพึงมีพึงได้โดยเฉพาะคือต้องตั้งความประสงค์ให้แน่ชัดว่าการปลูกต้นไม้ในแต่ละพื้นที่แต่ละชนิดนั้นหวังในผลสิ่งใด
เพราะในการปลูกพืชพันธุ์ไม้นั้นย่อมต้องมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน ไม่อย่างใดอย่างหนึ่งในประการดังต่อไปนี้คือ
ประการแรก เป็นการปลูกเพื่อหวังกำหนดหรือเปลี่ยนเส้นทางน้ำไหลใต้ดิน ว่าจะกำหนดหรือเปลี่ยนเส้นทางน้ำใต้ดินหรือไม่ จากพื้นที่ไหนไปพื้นที่ไหน เพราะแนวของการปลูกต้นไม้นั้นมีผลต่อการเคลื่อนตัวของน้ำใต้ดินด้วย
ประการที่สอง เป็นการปลูกเพื่อหวังเอาเนื้อไม้มาใช้ประโยชน์ในวันหนึ่งข้างหน้าซึ่งต้องเป็นไม้ยืนต้น เป็นไม้เนื้อดีมีราคา ซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิด ไม่ใช่สักแต่ปลูกต้นประดู่กิ่งอ่อนดะหน้าไปดังที่เป็นอยู่ การปลูกตามวัตถุประสงค์ชนิดนี้เหมาะสมที่จะปลูกในพื้นที่อุทยานหรือป่าเสื่อมโทรมหรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์หรือเขตต้นน้ำลำธาร ซึ่งต้องไม่ลืมว่าจะต้องมีพันธุ์ไม้ที่ให้ลูกให้ผลสำหรับเป็นอาหารของสัตว์และนกนานาชนิดด้วย นั่นคือต้องคำนึงถึงความสมบูรณ์ทางนิเวศน์ควบคู่กันไปด้วย
ประการที่สาม เป็นการปลูกเพื่อหวังเอาผลไม้สำหรับบริโภคของประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยวัตถุประสงค์นี้เหมาะสมสำหรับใช้ในพื้นที่สาธารณะในและนอกชุมชน เพื่ออำนวยประโยชน์และความสุขแก่ประชาชนในท้องถิ่นอย่างถ้วนทั่ว ซึ่งจะต้องคำนึงถึงความหลากหลายของพันธุ์ไม้ผลและความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ไปพร้อมกัน
ประการที่สี่ เป็นการปลูกเพื่อหวังความสวยงามอันเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นการปลูกในลักษณะเป็นทุ่งเป็นดง เพื่อให้เกิดความสวยงามและการดึงดูดใจในการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมีที่หมายปลายทางคือการส่งเสริมรายได้ของราษฎร
ประการที่ห้า เป็นการปลูกเพื่อป้องกันลมฟ้าอากาศ ซึ่งเหมาะสมสำหรับพื้นที่สูงที่ชันหรือที่ชายทะเลเพื่อป้องกันภัยให้กับชุมชน ซึ่งสำหรับประเทศไทยก็จะเป็นภัยจากลมพายุหรือน้ำท่วม ผิดกับบางประเทศที่เขามีพายุทราย เขาก็ปลูกไม้ต้นสูงๆ เป็นดงเป็นป่าเพื่อให้เป็นม่านหรือกำแพงกั้นพายุทรายนั้นไว้
ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะได้ตั้งวัตถุประสงค์ในการปลูกป่าหรือปลูกต้นไม้ไว้เป็นประการใด และได้บ่มเพาะกล้าพันธุ์ไม้ไว้อย่างหลากหลาย อย่างเพียงพอ และอย่างเหมาะสมกับพื้นที่ต่างๆ บ้างหรือไม่เพียงใด
หากเตรียมความคิด เตรียมวัตถุประสงค์ เตรียมการและทันการอย่างสอดคล้องต้องกันแล้ว ก็จะทำให้วันพืชมงคลมหาสมัยในปีนี้เกิดประโยชน์และความสุขแก่พี่น้องผองไทยโดยถ้วนหน้ากัน.
เป็นการส่งสัญญาณหมายให้บรรดาพี่น้องผองไทยโดยเฉพาะผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้รู้ว่าวันเวลาเริ่มต้นของการไถหว่านในปีการผลิตใหม่นี้มาถึงแล้ว
จะได้เตรียมการลงมือไถหว่านและปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารกันอย่างพร้อมเพรียงกันทั่วพระราชอาณาจักร และพักเรื่องการเมือง เรื่องการชุมนุมของคนเสื้อแดงไว้ชั่วคราว เพราะหากเวลาล่วงพ้นไปแล้วก็จะไม่ทันกาล และจะทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารเสียหายและขาดทุน
การพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้น ประกอบขึ้นด้วย 2 พิธีใหญ่
การพระราชพิธีแรกคือพระราชพิธีพืชมงคล ซึ่งพระมหากษัตริย์จะทรงเป็นประธานในการเฉลิมสมโภชน์พันธุ์พืช โดยเฉพาะพันธุ์ข้าวและธัญญาพืชอื่นๆ ซึ่งจะประกอบพิธีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่อาณาประชาราษฎรและเกษตรกรทั่วพระราชอาณาจักร
การพระราชพิธีที่สองคือพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเดิมทีแต่ครั้งโบราณมาพระเจ้าแผ่นดินจะทรงเป็นประธานในการทำพิธีแรกนาด้วยพระองค์เอง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศเกษตรกรรมอันมีคติสืบเนื่องมาแต่ประเทศอินเดีย และเพื่อเป็นสัญญาณหมายว่าราชอาณาจักรนี้เป็นประเทศเกษตรกรรมที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำในการผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งปวง
ต่อมาเมื่อมีการรวมการพระราชพิธีทั้งสองเข้าเป็นการพระราชพิธีเดียวกันแล้ว ก็ได้ใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารที่ได้ผ่านการพระราชพิธีพืชมงคลส่วนหนึ่งไปใช้หว่านในการพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เพื่อให้ประชาชนที่มาร่วมงานได้เก็บเมล็ดพันธุ์เพื่อความเป็นสิริมงคลแห่งตน ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งก็ทรงพระราชทานแก่จังหวัดต่างๆ เพื่อมอบแก่ราษฎรต่อไป
การพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ นอกจากมีความหมายและนัยสำคัญทางการเกษตรของประเทศแล้ว ยังมีความสำคัญที่บ่งบอกความเจริญรุ่งเรืองของวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของประชาชาติไทยอีกด้วย
ในทุกปีการพระราชพิธีดังกล่าวจะถูกถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์เผยแพร่ออกไปทั่วโลก เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของชาวโลกว่าราชอาณาจักรอันมีนามว่าประเทศไทยในเอเชียบูรพานี้ช่างมีความเจริญ มีความรุ่งเรือง และมีความสง่างามของความเป็นชาติไทย และเป็นเครื่องดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
หากพูดในเชิงการท่องเที่ยวก็ต้องถือว่าการพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญก็คือทรัพยากรการท่องเที่ยวที่สำคัญอย่างหนึ่งของชาติ ซึ่งในโลกปัจจุบันนี้แทบไม่สามารถดูได้จากที่ไหนอีกแล้ว นอกจากดินแดนอันศิวิไลซ์และเคยยิ่งใหญ่คือราชอาณาจักรไทยแห่งนี้
จึงเป็นเรื่องที่ผองชนชาวไทยจะได้มีความยินดีและภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่และเจริญงอกงามทางวัฒนธรรมของชาติเราอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วร่วมจิตร่วมใจสมานฉันท์ธำรงรักษาความดีงามและความเจริญนี้ไว้สืบชั่วกัลปาวสาน
ทั้งควรเป็นข้อเตือนจิตสะกิดใจให้กับผู้หลงผิดบางกลุ่มบางพวกที่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมลุ่มหลงไปกับการโฆษณาชวนเชื่อที่หลอกลวง หมายจะเปลี่ยนแปลงราชอาณาจักรแห่งนี้เป็นรัฐไทยใหม่ ที่จะมีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้มาชี้หน้าบงการคนไทยทั้งประเทศ ว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะนั่นไม่ใช่ความเป็นไทย และเป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ของราชอาณาจักรนี้ไม่มีวันที่จะเห็นดีเห็นงามตามไปด้วยเป็นอันขาด
ความหมายของการเริ่มแรกนาอันเริ่มต้นแต่วันการพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนั้น นอกจากเป็นการเริ่มต้นของการไถหว่านในฤดูกาลเพาะปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้ว ยังหมายความกว้างออกไปถึงการเริ่มต้นการเพาะปลูกพืชพันธุ์ทั้งปวงด้วย
เพราะในวันที่ 11 พฤษภาคม 2552 นี้แม้หลายพื้นที่ยังไม่ย่างเข้าฤดูฝน แต่ฤดูฝนใหม่ก็ตั้งต้นขึ้นแล้วจากภาคเหนือและภาคอีสาน แล้วจะค่อยๆ เคลื่อนคล้อยทยอยมาถึงภาคกลางและภาคใต้โดยลำดับไป
ดังนั้นสัญญาณแห่งฤดูฝนใหม่เมื่อถูกส่งออกไปเช่นนี้แล้ว จึงเป็นเรื่องที่พี่น้องผองไทยจะต้องพร้อมเพรียงน้ำใจกันเตรียมการไถหว่านและปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารทุกชนิดได้แล้ว
โดยเฉพาะการปลูกป่าหรือการปลูกต้นไม้ยืนต้นไม่ว่าชนิดไหนๆ ซึ่งกำลังรณรงค์กันเป็นการใหญ่ในขณะนี้ เพราะมีผลและความหมายต่อการป้องกันแก้ไขปัญหาโลกร้อน ซึ่งกำลังเป็นมหันตภัยใหญ่ที่จะทำลายล้างมนุษยชาติให้สิ้นสูญได้
มนุษยชาติและพี่น้องผองไทยจึงมีหน้าที่ต้องร่วมกันปลูกสร้างพืชพันธุ์ไม้นานาชนิดให้ทั่วถึงทั้งพระราชอาณาจักรโดยเร็วที่สุด
โดยเฉพาะภาครัฐนั้น ควรจะเร่งดำเนินการให้ทันท่วงที ไม่ปล่อยให้โครงการดีๆ เนิ่นช้าไป จนพ้นฤดูฝนไปแล้ว ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ เพราะหากปล่อยเวลาเนิ่นช้าไปถึงเวลานั้น เมื่อเข้าฤดูแล้งแล้ว ถึงจะเพาะปลูกประการใดก็ไร้ผล เสียทั้งของ เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ และจะไม่มีวันเป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันโลกร้อนได้เลย
เนื่องจากหลักการทางชีววิทยานั้น เซลล์ของพืชทุกชนิดจะขยายตัวเติบโตในฤดูฝนและจะหยุดการเจริญเติบโตในฤดูแล้ง หากปล่อยเวลาจนเข้าหน้าแล้งแล้ว ถึงจะเพาะปลูกไป พันธุ์ไม้ก็ไม่เจริญเติบโต และคงจะแห้งตายหรือไม่ก็โดนไฟป่าไหม้หมด
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ตลอดจนผู้นำทางความคิดของสังคมทุกภาคส่วนจึงควรทุ่มเทรณรงค์เรื่องการปลูกต้นไม้อย่างแข็งขัน ให้ทันท่วงที อย่าได้ปล่อยให้เวลาเนิ่นช้าไปเป็นอันขาด
และเมื่อจะปลูกพันธุ์ไม้กันแล้วก็ใช่สักแต่ว่าปลูกไปแค่ขอไปที หรือแค่ที่จะได้ใช้จ่ายงบประมาณให้หมดสิ้นไป แต่ควรจะได้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดอันจะพึงมีพึงได้โดยเฉพาะคือต้องตั้งความประสงค์ให้แน่ชัดว่าการปลูกต้นไม้ในแต่ละพื้นที่แต่ละชนิดนั้นหวังในผลสิ่งใด
เพราะในการปลูกพืชพันธุ์ไม้นั้นย่อมต้องมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน ไม่อย่างใดอย่างหนึ่งในประการดังต่อไปนี้คือ
ประการแรก เป็นการปลูกเพื่อหวังกำหนดหรือเปลี่ยนเส้นทางน้ำไหลใต้ดิน ว่าจะกำหนดหรือเปลี่ยนเส้นทางน้ำใต้ดินหรือไม่ จากพื้นที่ไหนไปพื้นที่ไหน เพราะแนวของการปลูกต้นไม้นั้นมีผลต่อการเคลื่อนตัวของน้ำใต้ดินด้วย
ประการที่สอง เป็นการปลูกเพื่อหวังเอาเนื้อไม้มาใช้ประโยชน์ในวันหนึ่งข้างหน้าซึ่งต้องเป็นไม้ยืนต้น เป็นไม้เนื้อดีมีราคา ซึ่งมีอยู่มากมายหลายชนิด ไม่ใช่สักแต่ปลูกต้นประดู่กิ่งอ่อนดะหน้าไปดังที่เป็นอยู่ การปลูกตามวัตถุประสงค์ชนิดนี้เหมาะสมที่จะปลูกในพื้นที่อุทยานหรือป่าเสื่อมโทรมหรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์หรือเขตต้นน้ำลำธาร ซึ่งต้องไม่ลืมว่าจะต้องมีพันธุ์ไม้ที่ให้ลูกให้ผลสำหรับเป็นอาหารของสัตว์และนกนานาชนิดด้วย นั่นคือต้องคำนึงถึงความสมบูรณ์ทางนิเวศน์ควบคู่กันไปด้วย
ประการที่สาม เป็นการปลูกเพื่อหวังเอาผลไม้สำหรับบริโภคของประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยวัตถุประสงค์นี้เหมาะสมสำหรับใช้ในพื้นที่สาธารณะในและนอกชุมชน เพื่ออำนวยประโยชน์และความสุขแก่ประชาชนในท้องถิ่นอย่างถ้วนทั่ว ซึ่งจะต้องคำนึงถึงความหลากหลายของพันธุ์ไม้ผลและความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ไปพร้อมกัน
ประการที่สี่ เป็นการปลูกเพื่อหวังความสวยงามอันเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นการปลูกในลักษณะเป็นทุ่งเป็นดง เพื่อให้เกิดความสวยงามและการดึงดูดใจในการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยมีที่หมายปลายทางคือการส่งเสริมรายได้ของราษฎร
ประการที่ห้า เป็นการปลูกเพื่อป้องกันลมฟ้าอากาศ ซึ่งเหมาะสมสำหรับพื้นที่สูงที่ชันหรือที่ชายทะเลเพื่อป้องกันภัยให้กับชุมชน ซึ่งสำหรับประเทศไทยก็จะเป็นภัยจากลมพายุหรือน้ำท่วม ผิดกับบางประเทศที่เขามีพายุทราย เขาก็ปลูกไม้ต้นสูงๆ เป็นดงเป็นป่าเพื่อให้เป็นม่านหรือกำแพงกั้นพายุทรายนั้นไว้
ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะได้ตั้งวัตถุประสงค์ในการปลูกป่าหรือปลูกต้นไม้ไว้เป็นประการใด และได้บ่มเพาะกล้าพันธุ์ไม้ไว้อย่างหลากหลาย อย่างเพียงพอ และอย่างเหมาะสมกับพื้นที่ต่างๆ บ้างหรือไม่เพียงใด
หากเตรียมความคิด เตรียมวัตถุประสงค์ เตรียมการและทันการอย่างสอดคล้องต้องกันแล้ว ก็จะทำให้วันพืชมงคลมหาสมัยในปีนี้เกิดประโยชน์และความสุขแก่พี่น้องผองไทยโดยถ้วนหน้ากัน.