ASTVผู้จัดการรายวัน – อำพลฟูดส์ฯ ชูนโยบายกระจายความเสี่ยงรับวิกฤตเศรษฐกิจ อัดฉีด 100 ล้านบาท โฟกัส 3 กลุ่มสินค้า เครื่องแกงรอยไทย วี-ฟิท เครื่องปรุงเพื่อสุขภาพ หลังเศรษฐกิจพ่นตลาดกะทิสำเร็จรูป คนไทยกินข้าวนอกบ้านลด ช่องทางโรงแรม-ร้านอาหารวูบ กะทิชาวเกาะเบนเข็มทะลวงกลุ่มผู้บริโภคแทน สิ้นปีโต 30% กวาด 1,800 ล้านบาท
นายเกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซลซิ่ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกะทิชาวเกาะ เครื่องดื่มน้ำข้าวกล้องวี-ฟิท เปิดเผยว่า นโยบายการตลาดบริษัทให้ความสำคัญการขยาย 3 กลุ่มสินค้าหลัก คือ กลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ กลุ่มเครื่องแกง และกลุ่มเครื่องปรุงรสเพื่อสุขภาพ นอกเหนือจากกะทิชาวเกาะซึ่งเป็นสินค้าเรือธงสร้างรายได้หลักสัดส่วน 85%
ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงการพึ่งพารายได้จากธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว จากปีนี้ตลาดกะทิสำเร็จรูปได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะช่องทางร้านอาหาร โรงแรม เติบโตลดลง เนื่องจากท่องเที่ยวลดลงและพฤติกรรมกินข้าวนอกบ้านน้อยลง
สำหรับปีนี้บริษัทได้วางงบการตลาด 100 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาใช้งบ 70 ล้านบาท โดยบริษัทวางเป้าหมายขยายรายได้กลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพวี-ฟิท เพิ่มสัดส่วนรายได้จาก 12% เป็น 20% เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพ จากกระแสสุขภาพที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้บริษัทใช้งบการตลาด 30 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นน้ำนมข้าวกล้องงอกเป็นสินค้าเรือธงในปีนี้
ขณะเดียวกันยังลงทุนสั่งซื้อเครื่องจักร เพื่อขยายกำลังผลิตน้ำนมข้าวกล้องงอกเพิ่มจาก 5 หมื่นหีบต่อเดือน เป็น 1 แสนหีบต่อเดือน คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสสี่หรือไตรมาสแรกปีหน้านี้
ส่วนกลุ่มเครื่องแกงรอยไทย เน้นขยายตลาดส่งออกในเชิงรุก อาทิ อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส อเมริกา ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ฯลฯ และเปิดตัว 2 รสใหม่ ได้แก่ แกงส้ม ต้มข่า จากปัจจุบันสร้างรายได้ 4% ส่วนด้านกลุ่มเครื่องปรุงเพื่อสุขภาพกู๊ดไลฟ์ วางแผนขยายช่องทางจำหน่ายผ่านขายตรง โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการขายตรง ขณะเดียวกันยังวางแผนขยายผ่านช่องทางโรงพยาบาล และจับมือร่วมกับไปรษณีย์ไทย เพื่อช่วยกระจายสินค้าเครื่องดื่มปรุงรสเพื่อสุขภาพ
“การสื่อสารเครื่องปรุงรสเพื่อสุขภาพเกี่ยวกับคุณสมบัติของสินค้าทำได้ยากมาก จึงมีอุปสรรคด้านการสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภค อีกทั้งด้วยราคาจำหน่ายที่สูงถึง 20% เมื่อเทียบกับสินค้าในตลาด และรสชาติที่ยังไม่คล้ายกับออริจินัล ทำให้เป็นกลุ่มที่มีรายได้1% จากรายได้รวม”
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า การทำตลาดกะทิชาวเกาะปีนี้ บริษัททุ่มงบ 20 ล้านบาท เน้นขยายกลุ่มผู้บริโภคในครัวเรือน เพื่อสร้างรายได้ทดแทนกับช่องทางโรงแรม ร้านอาหารที่หดตัวลง ซึ่งพบว่าบรรจุภัณฑ์ 1 ลิตรหดตัวลง แต่ขนาดกลางและเล็กเติบโตขึ้น โดยบริษัทได้เตรียมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาภายใต้คอนเซปต์”ความสุขครอบครัวในการกินข้าวที่บ้าน”
คาดว่าสิ้นปีกลุ่มผู้บริโภคในครัวเรือนเพิ่มจาก 60% เป็น 65% และกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร 40% เป็น 35% และตอกย้ำผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 70% ส่วนอร่อยดี อันดับ 2 มีราว 30-35% จากมูลค่าตลาดกะทิสำเร็จรูป 3,000 ล้านบาท
ล่าสุดทุ่ม 40 ล้านบาท เปิดตัว”กล่องวิเศษ”ภายใต้โครงการรับผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อม (ซีเอสอาร์) โดยนำกล่องผลิตภัณฑ์กะทิชาวเกาะ และกล่องเครื่องปรุงรสรอยไทย ฯลฯ มารีไซเคิลเป็นโต๊ะนักเรียน เพื่อมอบให้กับโรงเรียนละ 100 ชุด ทั้ง 76 จังหวัด หรือราว7,600 ชุด โดยบริษัทได้ทุ่มงบ 10 ล้านบาท สั่งซื้อเครื่องจักรและทำโรงงานรีไซเคิลกล่อง เพื่อผลิตซิปบอร์ด และอีก 30 ล้านบาท เป็นงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมชิงโชคมูลค่า 1.9 ล้านบาท โดยให้ผู้บริโภค ตัดกล่องที่ใช้แล้ว ตั้งเป้าปีแรกลดปริมาณขยะอย่างน้อย 10% ของยอดขาย หรือ 10 ล้านกล่อง
สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัทตั้งเป้า 1,800 ล้านบาท เติบโต 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 1,400 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จาการส่งออก 20% และในประเทศ 80% ซึ่งปีนี้คาดว่า กลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพน้ำนมข้าวกล้อง โต 30% หรือมีรายได้ 300 ล้านบาท ส่วนกลุ่มที่เหลือ กะทิชาวเกาะ เครื่องแกงรอยไทย และเครื่องปรุงรสเพื่อสุขภาพ โต 10%
นายเกรียงศักดิ์ เทพผดุงพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท อำพลฟูดส์ โพรเซลซิ่ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกะทิชาวเกาะ เครื่องดื่มน้ำข้าวกล้องวี-ฟิท เปิดเผยว่า นโยบายการตลาดบริษัทให้ความสำคัญการขยาย 3 กลุ่มสินค้าหลัก คือ กลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ กลุ่มเครื่องแกง และกลุ่มเครื่องปรุงรสเพื่อสุขภาพ นอกเหนือจากกะทิชาวเกาะซึ่งเป็นสินค้าเรือธงสร้างรายได้หลักสัดส่วน 85%
ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงการพึ่งพารายได้จากธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว จากปีนี้ตลาดกะทิสำเร็จรูปได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะช่องทางร้านอาหาร โรงแรม เติบโตลดลง เนื่องจากท่องเที่ยวลดลงและพฤติกรรมกินข้าวนอกบ้านน้อยลง
สำหรับปีนี้บริษัทได้วางงบการตลาด 100 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาใช้งบ 70 ล้านบาท โดยบริษัทวางเป้าหมายขยายรายได้กลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพวี-ฟิท เพิ่มสัดส่วนรายได้จาก 12% เป็น 20% เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพ จากกระแสสุขภาพที่มาแรงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้บริษัทใช้งบการตลาด 30 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นน้ำนมข้าวกล้องงอกเป็นสินค้าเรือธงในปีนี้
ขณะเดียวกันยังลงทุนสั่งซื้อเครื่องจักร เพื่อขยายกำลังผลิตน้ำนมข้าวกล้องงอกเพิ่มจาก 5 หมื่นหีบต่อเดือน เป็น 1 แสนหีบต่อเดือน คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสสี่หรือไตรมาสแรกปีหน้านี้
ส่วนกลุ่มเครื่องแกงรอยไทย เน้นขยายตลาดส่งออกในเชิงรุก อาทิ อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส อเมริกา ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ฯลฯ และเปิดตัว 2 รสใหม่ ได้แก่ แกงส้ม ต้มข่า จากปัจจุบันสร้างรายได้ 4% ส่วนด้านกลุ่มเครื่องปรุงเพื่อสุขภาพกู๊ดไลฟ์ วางแผนขยายช่องทางจำหน่ายผ่านขายตรง โดยอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการขายตรง ขณะเดียวกันยังวางแผนขยายผ่านช่องทางโรงพยาบาล และจับมือร่วมกับไปรษณีย์ไทย เพื่อช่วยกระจายสินค้าเครื่องดื่มปรุงรสเพื่อสุขภาพ
“การสื่อสารเครื่องปรุงรสเพื่อสุขภาพเกี่ยวกับคุณสมบัติของสินค้าทำได้ยากมาก จึงมีอุปสรรคด้านการสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภค อีกทั้งด้วยราคาจำหน่ายที่สูงถึง 20% เมื่อเทียบกับสินค้าในตลาด และรสชาติที่ยังไม่คล้ายกับออริจินัล ทำให้เป็นกลุ่มที่มีรายได้1% จากรายได้รวม”
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า การทำตลาดกะทิชาวเกาะปีนี้ บริษัททุ่มงบ 20 ล้านบาท เน้นขยายกลุ่มผู้บริโภคในครัวเรือน เพื่อสร้างรายได้ทดแทนกับช่องทางโรงแรม ร้านอาหารที่หดตัวลง ซึ่งพบว่าบรรจุภัณฑ์ 1 ลิตรหดตัวลง แต่ขนาดกลางและเล็กเติบโตขึ้น โดยบริษัทได้เตรียมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาภายใต้คอนเซปต์”ความสุขครอบครัวในการกินข้าวที่บ้าน”
คาดว่าสิ้นปีกลุ่มผู้บริโภคในครัวเรือนเพิ่มจาก 60% เป็น 65% และกลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร 40% เป็น 35% และตอกย้ำผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 70% ส่วนอร่อยดี อันดับ 2 มีราว 30-35% จากมูลค่าตลาดกะทิสำเร็จรูป 3,000 ล้านบาท
ล่าสุดทุ่ม 40 ล้านบาท เปิดตัว”กล่องวิเศษ”ภายใต้โครงการรับผิดชอบสังคมและสิ่งแวดล้อม (ซีเอสอาร์) โดยนำกล่องผลิตภัณฑ์กะทิชาวเกาะ และกล่องเครื่องปรุงรสรอยไทย ฯลฯ มารีไซเคิลเป็นโต๊ะนักเรียน เพื่อมอบให้กับโรงเรียนละ 100 ชุด ทั้ง 76 จังหวัด หรือราว7,600 ชุด โดยบริษัทได้ทุ่มงบ 10 ล้านบาท สั่งซื้อเครื่องจักรและทำโรงงานรีไซเคิลกล่อง เพื่อผลิตซิปบอร์ด และอีก 30 ล้านบาท เป็นงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมชิงโชคมูลค่า 1.9 ล้านบาท โดยให้ผู้บริโภค ตัดกล่องที่ใช้แล้ว ตั้งเป้าปีแรกลดปริมาณขยะอย่างน้อย 10% ของยอดขาย หรือ 10 ล้านกล่อง
สำหรับผลประกอบการปีนี้บริษัทตั้งเป้า 1,800 ล้านบาท เติบโต 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 1,400 ล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จาการส่งออก 20% และในประเทศ 80% ซึ่งปีนี้คาดว่า กลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพน้ำนมข้าวกล้อง โต 30% หรือมีรายได้ 300 ล้านบาท ส่วนกลุ่มที่เหลือ กะทิชาวเกาะ เครื่องแกงรอยไทย และเครื่องปรุงรสเพื่อสุขภาพ โต 10%