มนุษย์ที่อยู่รวมกันเป็นสังคมจนเป็นปึกแผ่น ส่วนใหญ่ต้องผ่านอุปสรรคและปัญหาต่างๆ มามากมาย ประเทศที่ตั้งขึ้นมาได้จะต้องสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อของบรรพบุรุษเป็นจำนวนไม่น้อย บางแห่งก็ได้สิทธิเสรีภาพมาจากการต่อสู้กับมหาอำนาจที่ใช้ลัทธิล่าอาณานิคมเข้ามายึดครอง บางแห่งก็ต่อสู้กันมาในสงครามกลางเมือง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประวัติศาสตร์และความทรงจำที่จะเป็นเครื่องเตือนใจแ ละเตือนสติให้รำลึกถึงความยากลำบากของการสร้างรัฐและสร้างชาติ
แต่เมื่อความเป็นปึกแผ่นบังเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ บางครั้งมนุษย์ก็เริ่มลืมความหลังและมุ่งเน้นหาผลประโยชน์และอำนาจจนเกิดความขัดแย้ง ทั้งในแง่อำนาจ ผลประโยชน์ อุดมการณ์ จนนำไปสู่ความแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคม ลืมอดีตที่ต่อสู้มาด้วยกันหรือร่วมกันสร้างชาติมาด้วยกัน จนมีทีท่าว่าสิ่งที่ได้มาด้วยเลือดเนื้อ ชีวิต และน้ำตาของบรรพชน อาจจะถูกทำลายโดยคนรุ่นนี้ โดยเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัวและไม่แน่ใจว่าการกระทำดังกล่าวถูกต้องหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าถูกครอบงำด้วยมิจฉาทิฐิ
การศึกษาประวัติศาสตร์ การสร้างอนุสาวรีย์ การประกอบพิธีกรรมที่รำลึกถึงอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งวีรชน การร้องเพลงที่เป็นเพลงเตือนสติให้ระลึกถึงชาติและบ้านเมือง และให้รู้จักความรักใคร่ปรองดองและรู้รักสามัคคี ให้คิดหน้าคิดหลัง ให้รู้จักระวังภัยจากภายในและภายนอก จึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่บ่อยครั้งมนุษย์ในสังคมมักจะลืมสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง มองเห็นปัญหาเฉพาะหน้าที่มีความขัดแย้ง จึงน่าจะเป็นประโยชน์ถ้าหากจะนำเอาเนื้อเพลงซึ่งหลายคนคงเคยร้องตอนเด็กๆ มาเตือนสติอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะได้ระลึกถึงภยันตรายที่อาจจะนำไปสู่ความหายนะต่อบ้านเมือง หรือการสิ้นสลายของชาติ
บทเพลงที่ยกมานี้เป็นบทเพลงที่ผู้เขียนเคยถูกสอนให้ร้องและเคยร้องเมื่อตอนเรียนชั้นมัธยม และเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินและเคยร้องมาด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบุคคลที่กำลังหมกมุ่นอยู่ในความขัดแย้งซึ่งจะไม่ขอบอกว่าใครถูกใครผิด แต่บางครั้งก็จะขอชี้ให้เห็นว่าเมื่ออยู่ใกล้กับเหตุการณ์ความขัดแย้งและเกี่ยวพันโดยตรง อาจจะทำให้ลืมนึกถึงสิ่งที่เหนือกว่า นั่นคือ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ การอยู่รอดของประเทศชาติ และอนาคตของเยาวชนรุ่นลูกรุ่นหลาน
เพลงที่จะยกมาเตือนความทรงจำมีดังนี้
เพลงสร้อยเพลง
จากพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ 6
...ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง
คงจะต้องบังคับขับไส
เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป
ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
...เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ
จะนับถือพงษ์พันธุ์ นั้นอย่าหมาย
ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย
ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา
เพลงสยามานุสติ
สยามานุสติ เป็นคำโคลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2461 ต่อมาได้นำมาเป็นเพลงปลุกใจ ประพันธ์ทำนองโดยนารถ ถาวรบุตร
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์โคลงสยามานุสติมาจากคำขวัญปลุกใจของอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่ว่า “Who lives if England dies, who dies if England lives?”
“หากสยามยังอยู่ยั้ง ยืนยง
เราก็เหมือนอยู่คง ชีพด้วย
หากสยามพินาศลงไทยอยู่ ได้ฤา
เราก็เหมือนมอดม้วย หมดสิ้น สกุลไทย
ใครรานใครลุกด้าว แดนไทย
ไทยรบจนสุดใจ ขาดดิ้น
เสียเลือดเนื้อหลั่งไหล ยอมสละสิ้นแล
เสียชีพไปเสียสิ้น ชื่อก้องเกียรติงาม”
เพลงเกียรติศักดิ์ทหารเสือ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้เมื่อครั้งที่หนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต นำโคลงนี้ไปตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2461 ว่า “นักรบฝรั่งเศสโบราณมีภาษิตอยู่อันหนึ่งสำหรับเป็นบรรทัดฐานแห่งความประพฤติของเขา เป็นภาษิตที่จับใจข้าพเจ้ายิ่งนัก จึ่งได้นิพนธ์เทียบเป็นคำโคลงภาษาไทยขึ้นไว้ว่า”
“มโนมอบพระผู้ เสวยสวรรค์
แขนมอบถวายทรงธรรม์ เทอดหล้า
ดวงใจมอบเมียขวัญ และแม่
เกียรติศักดิ์รักข้า มอบไว้แก่ตัว
มโนมอบพระผู้ สถิตอยู่ยอดสวรรค์
แขนถวายให้ทรงธรรม์ พระผ่านเผ้าเจ้าชีวา
ดวงใจให้ขวัญจิต ยอดชีวิตและมารดา
เกียรติศักดิ์รักของข้า ชาติชายแท้แก่ตนเอง”
นอกจากพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ในยุคที่ไทยเผชิญกับอันตรายรอบด้าน พร้อมๆ กับความคิดที่จะปลุกระดมประชาชนให้เกิดความฮึกเหิมและรักชาติจนถึงกับคิดจะสร้างมหาอาณาจักรไทย หลวงวิจิตรวาทการก็ได้แต่งเพลงปลุกใจขึ้นหลายเพลงเพื่อให้เกิดความสามัคคีในบ้านเมือง แต่ก็น่าเสียดายที่นำไปสู่นโยบายที่มีเป้าหมายเกินสมรรถนะของประเทศ
อย่างไรก็ตาม เนื้อเพลงต่างๆ นั้นก็อาจจะเป็นการเตือนสติให้รำลึกถึงความรักชาติและการทะนุถนอมบำรุงชาติ โดยขจัดผลประโยชน์ส่วนตัวออกไป เพลง “มาด้วยกันเลือดสุพรรณ” ก็มิได้จำกัดเฉพาะชาวสุพรรณบุรี หากแต่หมายถึงคนไทย ทำนองเดียวกับคำพูดที่ว่า “อยุธยาไม่ได้สิ้นคนดี” มิได้หมายความว่าราชธานีกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น หากหมายถึงสังคมไทย
เพลงตื่นเถิดชาวไทย
คำร้อง พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ
ตื่นเถิดชาวไทยอย่ามัวหลับใหลลุ่มหลง
ชาติจะเรืองดำรง ก็เพราะเราทั้งหลาย
ถ้ามัวหลับมัวหลง เราก็คงละลาย
เราต้องเร่งขวนขวาย ตื่นเถิดชาวไทย
บ้านเมือง ยามเฟื่องฟุ้งรุ่งเรือง ก็อย่าลืมขวนขวาย
เผลอตัวศึกมา เราจะพากันตาย
จำไว้เถอะสหาย ตื่นเถิดชาวไทย
ชาติไทย เราไม่น้อมยอมใคร จะสู้จนชีพสลาย
หวังผดุงแหลมทอง เราพี่น้องหญิงชาย
อย่าให้ชาติสูญหาย ตื่นเถิดชาวไทย
เพลงรักชาติ
คำร้อง พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ
ความรักอันใด แม้รักเท่าไหน ยังไม่ยั่งยืน
เช่นรักคู่รัก แม้รักดั่งกลืน ยังอาจขมขื่น ขึ้นได้ภายหลัง
แต่ความรักชาติ รักแสนพิศวาส รักสุดกำลัง
ก่อเกิดมานะ ยอมสละชีวัง รักจนกระทั่ง หมดเลือดเนื้อเรา
ชีวิตร่างกาย เราไม่เสียดาย ตายแล้วก็เผา ทุกสิ่งยอมคลาด
เว้นแต่ชาติของเรา ไม่ให้ใครเข้า เหยียบย่ำทำลาย
เพลงรักเมืองไทย
คำร้อง พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ
รักเมืองไทย ชูชาติไทย
ทะนุบำรุงให้รุ่งเรือง สมเป็นเมืองของไทย (ซ้ำ)
เราชาวไทย เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย (ซ้ำ)
ไม่เคยอ่อนน้อม เราไม่ยอมแพ้ใคร
ศัตรูใจกล้า มาแต่ทิศใด
ถ้าข่มเหงไทย คงได้เห็นดี
รักเมืองไทย .......................
เราชาวไทย เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย (ซ้ำ)
เรารักเพื่อนบ้าน เราไม่รานรุกใคร
แต่รักษาสิทธิ์ อิสระของไทย
ใครทำช้ำใจ ไทยจะไม่ถอยเลย
รักเมืองไทย .............................
เราชาวไทย เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย (ซ้ำ)
ถ้าถูกข่มเหง แล้วไม่เกรงผู้ใด
ดั่งงูตัวนิด มีพิษเหลือใจ
เรารักเมืองไทย ยิ่งชีพเราเอย
รักเมืองไทย ............................
เพลงเลือดสุพรรณ
คำร้อง-ทำนอง หลวงวิจิตรวาทการ
*มาด้วยกัน มาด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย
เลือดสุพรรณ เข้าประจัญ อย่าได้พรั่นเลย
มาด้วยกัน มาด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย
เลือดสุพรรณ เข้าประจัญ อย่าได้พรั่นเลย
เลือดสุพรรณเหยหาญในการศึก
เหี้ยมฮึก กล้าสู้ไม่รู้หนี
ไม่ครั่นคร้ามขามใจต่อไพรี
ผู้ใดมีมีดพร้าคว้ามารบ (*)
อยู่ไม่สุขเขามารุก แดนตระหน่ำ
ให้ชอกช้ำ แสนอนาถชาติไทยเอ๋ย
เขาเฆี่ยนฆ่าเพราะว่าเห็นเป็นเชลย
จะนิ่งเฉยอยู่ทำไมพวกไทยเรา (*)
อันเมืองไทยเป็นของไทยใช่ของอื่น
มาต่อสู้ กู้คืนเถอะเราเอ๋ย
ถึงตัวตายอย่าเสียดายชีวิตเลย
มาเถอะเหวยพวกเรามา กล้าประจัญ (*)
นอกจากนี้ก็มีเพลงที่แต่งโดย หลวงรณสิทธิ์พิชัย คือ
เพลงรักชาติยิ่งชีพ
คำร้อง หลวงรณสิทธิ์พิชัย ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
เกิดเป็นไทยเป็นไทยดังนาม
เพียบด้วยความรักชาติยิ่ง
ทั้งใจทั้งกายทุกสิ่ง
อีกวาจาจริงทุกสิ่งไป
ชาติที่รักของไทย
เราควรเทิดไว้บูชา
มีคุณล้นเหลือล้นค่า
สุดจะพรรณนานับได้
เราเป็นไทย
ต้องใจมีความภักดิ์ชาติ
เราต้องพลีชีวาตม์
สละให้ชาติด้วยความหวังดี
มาเถิดพงษ์วงศ์วานของไทย
เรารวมใจดำรงคงชาติด้วยดี
รักชาติเรานี้ยิ่งชีพ
เพลงที่ยกมาให้เห็นทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงเจตนาของบรรพบุรุษไทยที่ต้องการให้คนไทยตื่นตัว มีจิตสำนึกถึงเอกลักษณ์ของตน และความผูกพันสมัครสมานสามัคคี และความรักชาติ ซึ่งมีข้อคิดคำนึงว่า ถ้าชาติมิได้ถูกรุกรานจากต่างชาติ หากแต่คนในชาติมีความขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งกันเอง จนไม่สามารถจะออมชอมปรองดองอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ชาติอาจจะล่มสลายได้ เพราะความขัดแย้งของคนในชาติจะเป็นจุดอ่อนให้ต่างชาติที่ไม่หวังดีเข้ามาฉกฉวยประโยชน์เนื่องจากโอกาสเปิดให้ การแก้ความขัดแย้งนั้นจึงต้องนึกถึงชาติและสังคมเป็นหลัก และนึกถึงอนาคตของเยาวชนรุ่นลูกรุ่นหลาน แม้จะมีความไม่พอใจบ้างแต่ก็ต้องพยายามกล้ำกลืนความขมขื่นดังกล่าว
ขณะเดียวกัน การหาข้อยุตินั้นก็ต้องให้เกิดความเป็นธรรมและยุติธรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ และพอที่จะรับได้โดยทั้งสองฝ่าย จุดสำคัญก็คือ เมื่อบ้านเมืองแตกแยกล่มสลายผู้แพ้และผู้ชนะต่างก็จะไม่ได้อะไร และต้องอยู่บนความทุกข์ทั้งสิ้น มีคนเคยกล่าวว่า เพลงชาติที่เราร้องกันอยู่ตั้งแต่เล็กจนโต คือ ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย.....เป็นเพลงของคนไทยและของชาติไทย แต่มีคำถามง่ายๆ คือ “เมื่อคนไทยทะเลาะต่อสู้กันเอง เราจะร้องเพลงชาติให้ใครฟัง”
แต่เมื่อความเป็นปึกแผ่นบังเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ บางครั้งมนุษย์ก็เริ่มลืมความหลังและมุ่งเน้นหาผลประโยชน์และอำนาจจนเกิดความขัดแย้ง ทั้งในแง่อำนาจ ผลประโยชน์ อุดมการณ์ จนนำไปสู่ความแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคม ลืมอดีตที่ต่อสู้มาด้วยกันหรือร่วมกันสร้างชาติมาด้วยกัน จนมีทีท่าว่าสิ่งที่ได้มาด้วยเลือดเนื้อ ชีวิต และน้ำตาของบรรพชน อาจจะถูกทำลายโดยคนรุ่นนี้ โดยเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัวและไม่แน่ใจว่าการกระทำดังกล่าวถูกต้องหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าถูกครอบงำด้วยมิจฉาทิฐิ
การศึกษาประวัติศาสตร์ การสร้างอนุสาวรีย์ การประกอบพิธีกรรมที่รำลึกถึงอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งวีรชน การร้องเพลงที่เป็นเพลงเตือนสติให้ระลึกถึงชาติและบ้านเมือง และให้รู้จักความรักใคร่ปรองดองและรู้รักสามัคคี ให้คิดหน้าคิดหลัง ให้รู้จักระวังภัยจากภายในและภายนอก จึงเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง แต่บ่อยครั้งมนุษย์ในสังคมมักจะลืมสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง มองเห็นปัญหาเฉพาะหน้าที่มีความขัดแย้ง จึงน่าจะเป็นประโยชน์ถ้าหากจะนำเอาเนื้อเพลงซึ่งหลายคนคงเคยร้องตอนเด็กๆ มาเตือนสติอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะได้ระลึกถึงภยันตรายที่อาจจะนำไปสู่ความหายนะต่อบ้านเมือง หรือการสิ้นสลายของชาติ
บทเพลงที่ยกมานี้เป็นบทเพลงที่ผู้เขียนเคยถูกสอนให้ร้องและเคยร้องเมื่อตอนเรียนชั้นมัธยม และเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินและเคยร้องมาด้วยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบุคคลที่กำลังหมกมุ่นอยู่ในความขัดแย้งซึ่งจะไม่ขอบอกว่าใครถูกใครผิด แต่บางครั้งก็จะขอชี้ให้เห็นว่าเมื่ออยู่ใกล้กับเหตุการณ์ความขัดแย้งและเกี่ยวพันโดยตรง อาจจะทำให้ลืมนึกถึงสิ่งที่เหนือกว่า นั่นคือ ผลประโยชน์ของประเทศชาติ การอยู่รอดของประเทศชาติ และอนาคตของเยาวชนรุ่นลูกรุ่นหลาน
เพลงที่จะยกมาเตือนความทรงจำมีดังนี้
เพลงสร้อยเพลง
จากพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ 6
...ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง
คงจะต้องบังคับขับไส
เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป
ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
...เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ
จะนับถือพงษ์พันธุ์ นั้นอย่าหมาย
ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย
ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา
เพลงสยามานุสติ
สยามานุสติ เป็นคำโคลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2461 ต่อมาได้นำมาเป็นเพลงปลุกใจ ประพันธ์ทำนองโดยนารถ ถาวรบุตร
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์โคลงสยามานุสติมาจากคำขวัญปลุกใจของอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่ว่า “Who lives if England dies, who dies if England lives?”
“หากสยามยังอยู่ยั้ง ยืนยง
เราก็เหมือนอยู่คง ชีพด้วย
หากสยามพินาศลงไทยอยู่ ได้ฤา
เราก็เหมือนมอดม้วย หมดสิ้น สกุลไทย
ใครรานใครลุกด้าว แดนไทย
ไทยรบจนสุดใจ ขาดดิ้น
เสียเลือดเนื้อหลั่งไหล ยอมสละสิ้นแล
เสียชีพไปเสียสิ้น ชื่อก้องเกียรติงาม”
เพลงเกียรติศักดิ์ทหารเสือ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตรัสไว้เมื่อครั้งที่หนังสือพิมพ์ดุสิตสมิต นำโคลงนี้ไปตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2461 ว่า “นักรบฝรั่งเศสโบราณมีภาษิตอยู่อันหนึ่งสำหรับเป็นบรรทัดฐานแห่งความประพฤติของเขา เป็นภาษิตที่จับใจข้าพเจ้ายิ่งนัก จึ่งได้นิพนธ์เทียบเป็นคำโคลงภาษาไทยขึ้นไว้ว่า”
“มโนมอบพระผู้ เสวยสวรรค์
แขนมอบถวายทรงธรรม์ เทอดหล้า
ดวงใจมอบเมียขวัญ และแม่
เกียรติศักดิ์รักข้า มอบไว้แก่ตัว
มโนมอบพระผู้ สถิตอยู่ยอดสวรรค์
แขนถวายให้ทรงธรรม์ พระผ่านเผ้าเจ้าชีวา
ดวงใจให้ขวัญจิต ยอดชีวิตและมารดา
เกียรติศักดิ์รักของข้า ชาติชายแท้แก่ตนเอง”
นอกจากพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ในยุคที่ไทยเผชิญกับอันตรายรอบด้าน พร้อมๆ กับความคิดที่จะปลุกระดมประชาชนให้เกิดความฮึกเหิมและรักชาติจนถึงกับคิดจะสร้างมหาอาณาจักรไทย หลวงวิจิตรวาทการก็ได้แต่งเพลงปลุกใจขึ้นหลายเพลงเพื่อให้เกิดความสามัคคีในบ้านเมือง แต่ก็น่าเสียดายที่นำไปสู่นโยบายที่มีเป้าหมายเกินสมรรถนะของประเทศ
อย่างไรก็ตาม เนื้อเพลงต่างๆ นั้นก็อาจจะเป็นการเตือนสติให้รำลึกถึงความรักชาติและการทะนุถนอมบำรุงชาติ โดยขจัดผลประโยชน์ส่วนตัวออกไป เพลง “มาด้วยกันเลือดสุพรรณ” ก็มิได้จำกัดเฉพาะชาวสุพรรณบุรี หากแต่หมายถึงคนไทย ทำนองเดียวกับคำพูดที่ว่า “อยุธยาไม่ได้สิ้นคนดี” มิได้หมายความว่าราชธานีกรุงศรีอยุธยาเท่านั้น หากหมายถึงสังคมไทย
เพลงตื่นเถิดชาวไทย
คำร้อง พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ
ตื่นเถิดชาวไทยอย่ามัวหลับใหลลุ่มหลง
ชาติจะเรืองดำรง ก็เพราะเราทั้งหลาย
ถ้ามัวหลับมัวหลง เราก็คงละลาย
เราต้องเร่งขวนขวาย ตื่นเถิดชาวไทย
บ้านเมือง ยามเฟื่องฟุ้งรุ่งเรือง ก็อย่าลืมขวนขวาย
เผลอตัวศึกมา เราจะพากันตาย
จำไว้เถอะสหาย ตื่นเถิดชาวไทย
ชาติไทย เราไม่น้อมยอมใคร จะสู้จนชีพสลาย
หวังผดุงแหลมทอง เราพี่น้องหญิงชาย
อย่าให้ชาติสูญหาย ตื่นเถิดชาวไทย
เพลงรักชาติ
คำร้อง พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ
ความรักอันใด แม้รักเท่าไหน ยังไม่ยั่งยืน
เช่นรักคู่รัก แม้รักดั่งกลืน ยังอาจขมขื่น ขึ้นได้ภายหลัง
แต่ความรักชาติ รักแสนพิศวาส รักสุดกำลัง
ก่อเกิดมานะ ยอมสละชีวัง รักจนกระทั่ง หมดเลือดเนื้อเรา
ชีวิตร่างกาย เราไม่เสียดาย ตายแล้วก็เผา ทุกสิ่งยอมคลาด
เว้นแต่ชาติของเรา ไม่ให้ใครเข้า เหยียบย่ำทำลาย
เพลงรักเมืองไทย
คำร้อง พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ
รักเมืองไทย ชูชาติไทย
ทะนุบำรุงให้รุ่งเรือง สมเป็นเมืองของไทย (ซ้ำ)
เราชาวไทย เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย (ซ้ำ)
ไม่เคยอ่อนน้อม เราไม่ยอมแพ้ใคร
ศัตรูใจกล้า มาแต่ทิศใด
ถ้าข่มเหงไทย คงได้เห็นดี
รักเมืองไทย .......................
เราชาวไทย เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย (ซ้ำ)
เรารักเพื่อนบ้าน เราไม่รานรุกใคร
แต่รักษาสิทธิ์ อิสระของไทย
ใครทำช้ำใจ ไทยจะไม่ถอยเลย
รักเมืองไทย .............................
เราชาวไทย เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย (ซ้ำ)
ถ้าถูกข่มเหง แล้วไม่เกรงผู้ใด
ดั่งงูตัวนิด มีพิษเหลือใจ
เรารักเมืองไทย ยิ่งชีพเราเอย
รักเมืองไทย ............................
เพลงเลือดสุพรรณ
คำร้อง-ทำนอง หลวงวิจิตรวาทการ
*มาด้วยกัน มาด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย
เลือดสุพรรณ เข้าประจัญ อย่าได้พรั่นเลย
มาด้วยกัน มาด้วยกัน เลือดสุพรรณเอ๋ย
เลือดสุพรรณ เข้าประจัญ อย่าได้พรั่นเลย
เลือดสุพรรณเหยหาญในการศึก
เหี้ยมฮึก กล้าสู้ไม่รู้หนี
ไม่ครั่นคร้ามขามใจต่อไพรี
ผู้ใดมีมีดพร้าคว้ามารบ (*)
อยู่ไม่สุขเขามารุก แดนตระหน่ำ
ให้ชอกช้ำ แสนอนาถชาติไทยเอ๋ย
เขาเฆี่ยนฆ่าเพราะว่าเห็นเป็นเชลย
จะนิ่งเฉยอยู่ทำไมพวกไทยเรา (*)
อันเมืองไทยเป็นของไทยใช่ของอื่น
มาต่อสู้ กู้คืนเถอะเราเอ๋ย
ถึงตัวตายอย่าเสียดายชีวิตเลย
มาเถอะเหวยพวกเรามา กล้าประจัญ (*)
นอกจากนี้ก็มีเพลงที่แต่งโดย หลวงรณสิทธิ์พิชัย คือ
เพลงรักชาติยิ่งชีพ
คำร้อง หลวงรณสิทธิ์พิชัย ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน
เกิดเป็นไทยเป็นไทยดังนาม
เพียบด้วยความรักชาติยิ่ง
ทั้งใจทั้งกายทุกสิ่ง
อีกวาจาจริงทุกสิ่งไป
ชาติที่รักของไทย
เราควรเทิดไว้บูชา
มีคุณล้นเหลือล้นค่า
สุดจะพรรณนานับได้
เราเป็นไทย
ต้องใจมีความภักดิ์ชาติ
เราต้องพลีชีวาตม์
สละให้ชาติด้วยความหวังดี
มาเถิดพงษ์วงศ์วานของไทย
เรารวมใจดำรงคงชาติด้วยดี
รักชาติเรานี้ยิ่งชีพ
เพลงที่ยกมาให้เห็นทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นถึงเจตนาของบรรพบุรุษไทยที่ต้องการให้คนไทยตื่นตัว มีจิตสำนึกถึงเอกลักษณ์ของตน และความผูกพันสมัครสมานสามัคคี และความรักชาติ ซึ่งมีข้อคิดคำนึงว่า ถ้าชาติมิได้ถูกรุกรานจากต่างชาติ หากแต่คนในชาติมีความขัดแย้งทะเลาะเบาะแว้งกันเอง จนไม่สามารถจะออมชอมปรองดองอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ชาติอาจจะล่มสลายได้ เพราะความขัดแย้งของคนในชาติจะเป็นจุดอ่อนให้ต่างชาติที่ไม่หวังดีเข้ามาฉกฉวยประโยชน์เนื่องจากโอกาสเปิดให้ การแก้ความขัดแย้งนั้นจึงต้องนึกถึงชาติและสังคมเป็นหลัก และนึกถึงอนาคตของเยาวชนรุ่นลูกรุ่นหลาน แม้จะมีความไม่พอใจบ้างแต่ก็ต้องพยายามกล้ำกลืนความขมขื่นดังกล่าว
ขณะเดียวกัน การหาข้อยุตินั้นก็ต้องให้เกิดความเป็นธรรมและยุติธรรมให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ และพอที่จะรับได้โดยทั้งสองฝ่าย จุดสำคัญก็คือ เมื่อบ้านเมืองแตกแยกล่มสลายผู้แพ้และผู้ชนะต่างก็จะไม่ได้อะไร และต้องอยู่บนความทุกข์ทั้งสิ้น มีคนเคยกล่าวว่า เพลงชาติที่เราร้องกันอยู่ตั้งแต่เล็กจนโต คือ ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย.....เป็นเพลงของคนไทยและของชาติไทย แต่มีคำถามง่ายๆ คือ “เมื่อคนไทยทะเลาะต่อสู้กันเอง เราจะร้องเพลงชาติให้ใครฟัง”