ASTV ผู้จัดการรายวัน – ดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดตัวแรงเหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ ปิดที่ 466.28 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 10 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นเฉียด 2.2 หมื่นล้านบาท กลุ่มพลังงานนำตลาด แบงก์ทยอยประกาศผลดำเนินงาน เป็นปัจจัยสนับสนุน สมาคมนักวิเคราะห์เชื่อนักลงทุนคลายความวิตกปัญหาการเมือง แต่โบรกเกอร์เห็นพ้องยังต้องติดตามสถานการณ์ รวมทั้งจับตาราคาน้ำมัน และกระดานหุ้นต่างประเทศต่อไป ส่วนวันนี้มี โอกาสยืนระยะในแดนบวกได้ต่อ ขณะที่ บลจ.วรรณ เชื่อแนวโน้มลงทุนหุ้นเริ่มฟื้น มั่นใจไม่ซ้ำรอยปีก่อน
วานนี้ (20 เม.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 466.28 จุด เพิ่มขึ้น 9.48 จุด หรือ 2.08% โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 471.16 จุด ต่ำสุด 456.00 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 21,995.84 ล้านบาท โดยนักลงทุนในประเทศขายสุทธิ 398.86 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ 276.48 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 675.35 ล้านบาท
ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงกว่าที่นักวิเคราะห์ออกมาคาดการณ์ไว้ และขยับตัวสูงตลาดหุ้นภูมิภาคที่แกว่งแคบมีทั้งบวก-ลบ โดยมีกลุ่มปตท.ขึ้นนำตลาด นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากกลุ่มสถาบันการเงิน ที่ช่วงนี้เป็นช่วงประกาศงบการเงินประจำ ไตรมาส 1/2552 โดยมีหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 272 หลักทรัพย์ ลดลง 78 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 94 หลักทรัพย์
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่เริ่มฟื้นตัวนั้นเป็นผลมาจากนักลงทุนส่วนใหญ่คลายความไม่มั่นใจต่อปัญหาการเมืองในประเทศ อีกทั้งเป็นผลมาจากการปรับตัวขึ้นติดต่อกันของตลาดหุ้นต่างประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่นักลงทุนส่วนใหญ่นั้นไม่ได้มีการลงทุน จึงเข้ามาลงทุนในสัปดาห์นี้แทน
ทั้งนี้ นักลงทุนต้องจับตาการวอลุ่มการซื้อขายที่หนาแน่นติดต่อกันหลายวัน ซึ่งจะมีผลทำให้ดัชนีหลักทรัพย์จะมีโอกาสดีดตัวเพิ่มหรือไม่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับนักลงทุนสถาบันไทยว่าจะยังซื้อต่อเนื่องต่อไปอีกหรือไม่ เพราะในส่วนนี้ถือว่าเป็นกำลังหลักสำคัญในการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 9 จุดสอดคล้องกับทิศทางดัชนีดาวโจนส์และตลาดหุ้นเอเชีย จึงประเมินว่าปัจจัยในประเทศเริ่มไม่ค่อยมีผลต่อดัชนีมากนัก หลังนักลงทุนเริ่มคลายความวิตกกังวลต่อปัญหาดังกล่าว รวมถึงปัจจุบันยังไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นตามมาอีก
โดยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้(21เม.ย.)คาดว่าดัชนีฯน่าจะแกว่งตัวในแดนลบ โดยนักลงทุนควรจับตาทิศทางการเมืองในประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และราคาน้ำมันโลก ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรเทขายทำกำไรรเมื่อดัชนีเข้าใกล้ระดับ 470 จุด และให้แนวรับอยู่ที่ 450 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 470-474 จุด
นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. เอเซียพลัส หรือ ASP กล่าวว่า วานนี้บรรยากาศซื้อขายหลักทรัพย์ค่อนข้างหนาแน่น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ เช่น บมจ.ปตท (PTT) และ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์ทางการเมืองเริ่มสงบลงขณะเดียวกันตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่ทยอยประกาศออกมาดีเกินความคาดหมายของนักลงทุนได้กลายเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าปัญหาเศรษฐกิจเริ่มจะชะลอความรุนแรง และถือว่าเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดทุนค่อนข้างมาก
ส่วนตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าแกว่งตัวในกรอบแคบๆ นักลงทุนควรรอดูความชัดเจนของปัญหาการเมืองในประเทศ ราคาน้ำมันโลก และการปรับขึ้นลงของตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งถ้าหากเป็นไปได้แนะนำ ให้นักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยให้กรอบแนวรับ 460 จุด และแนวต้าน 475 จุด
ด้านน.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป กล่าวว่านอกหุ้นในกลุ่มปตท.ขึ้นนำตลาดเพื่อรับผลบวกจากราคาน้ำมันแล้ว ดัชนียังได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มธนาคารที่ช่วงนี้เป็นช่วงของการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/52 และได้มีการประกาศงบฯออกมาแล้ว 2 แห่งซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ปัจจัยจากภายนอกประเทศช่วงนี้ดูดีขึ้น เนื่องจากมีความคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้น ภายหลังจากที่มีการคาดว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว นอกจากนี้ทางตลาดสหรัฐฯเองก็ได้เข้าสู่ ช่วงของการประกาศผลประกอบการของกลุ่มสถาบันการเงิน
ดังนั้นแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีลุ้นบวกต่อได้ แต่ต้องระวังแรงขายในระหว่างเทรดด้วย เพราะตลาดหุ้นไทยยังมีเรื่องการเมืองที่ปกคลุมอยู่ พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 462 จุด แนวต้าน 479 จุด
**บลจ.เชื่อตลาดหุ้นเริ่มสดใส**
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด กล่าวว่า จากข้อมูลของเจพี มอร์แกนพบว่าในช่วงวันที่ 12-18 มีนาคมที่ผ่านมามีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดเงินของสหรัฐฯ เข้าไปลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นมากขึ้น สังเกตได้จากเม็ดเงินที่ลดลงจำนวน 30,404 ล้านเหรียญสหรัฐในตลาดเงินและการไหลของเม็ดเงินไปยังตลาดทุนของสหรัฐฯ มากขึ้นประมาณ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ และตลาดทุนเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่นประมาณ 409 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดย ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้กระแสเงินไหลออกจากตลาดเงินมาจาก 1.อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในขาลงส่งผลให้นักลงทุนพยายามแสวงหาการลงทุนอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 2.มองว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำจึงส่งผลใ ห้ความกังวลการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นลดลง อีกทั้งมองว่าแนวโน้มดังกล่าวน่าจะยังมีต่อไปเนื่องจากภาวะความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงผันผวนต่อไปจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ และสภาพเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ซึ่งคาดว่าสิ่งต่างๆ คงต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนในการทำความเข้าใจและให้โอกาสรัฐบาลในการบริหารงาน ดังนั้น จากภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นในการลงทุนแต่ละครั้งนักลงทุนควรควรต้องประเมินเป้าหมายการลงทุนของตนเองให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ โดยมีหลักสำคัญดังนี้ 1.เพื่อความมั่งคั่ง คือ ลักษณะของเงินที่นำมาลงทุนเป็นนั้นต้องเป็นเงินเย็นหรือมีไว้เพื่อการลงทุนโดยเฉพาะไม่ใช่ต้นทุน โดยจะเน้นเป็นการลงทุนระยะยาว ด้วยการเลือกหุ้นในระดับราคาที่เหมาะสม ส่วนจะเป็นหุ้นตัวใดนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ลงทุนเป็นหลัก และเมื่อเป็นการลงทุนในระยะยาว นักลงทุนต้องสามารถรับความผันผวนของราคาในระยะสั้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน
2.เพื่อสร้างกระแสเงินสด คือ เป็นการลงทุนในกองอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ระดับ 8-10% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่าสามารถสร้างกระแสเงินสดได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ดีการลงทุนนี้ยังมีข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่องที่จำเป็นต้องซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ และ3.รักษาเงินต้นและสภาพคล่อง คือ เลือกลงทุนในตราสารทางการเงิน (มันนี่มาร์เก็ต) เพราะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีในภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ซึ่งหากเปรียบเทียบ กันแล้วจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้ ทางบลจ.วรรณ คาดการณ์ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้คงไม่ปรับตัวลงมาดังเช่นปีที่ผ่านมาและน่าจะมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า จึงไม่น่าจะทำให้มูลค่าของกองทุนหุ้นปรับตัวลดลง
สำหรับในปี 52 บลจ.วรรณ มีแผนจะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการ ส่วนขนาดและรายละเอียดคาดว่าจะได้ความชัดเจนในครึ่งปีหลัง โดยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) ในปีนี้น่าจะยังเติบโตจากปีที่ผ่านมาซึ่งมีมูลทรัพย์สินสุทธิในการบริหาร 71,360.63 ล้านบาท และทางบริษัทฯ เตรียมจะออกกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลี (FIF) ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 4.6% อย่างไรก็ดีปีนี้ยังคงเน้นออกกองประเภท กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และ (RMF) ที่ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำเพื่อเป็นทางเ ลือกให้กับนักลงทุน
วานนี้ (20 เม.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 466.28 จุด เพิ่มขึ้น 9.48 จุด หรือ 2.08% โดยระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 471.16 จุด ต่ำสุด 456.00 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นถึง 21,995.84 ล้านบาท โดยนักลงทุนในประเทศขายสุทธิ 398.86 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ 276.48 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 675.35 ล้านบาท
ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงกว่าที่นักวิเคราะห์ออกมาคาดการณ์ไว้ และขยับตัวสูงตลาดหุ้นภูมิภาคที่แกว่งแคบมีทั้งบวก-ลบ โดยมีกลุ่มปตท.ขึ้นนำตลาด นอกจากนี้ยังได้แรงหนุนจากกลุ่มสถาบันการเงิน ที่ช่วงนี้เป็นช่วงประกาศงบการเงินประจำ ไตรมาส 1/2552 โดยมีหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 272 หลักทรัพย์ ลดลง 78 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 94 หลักทรัพย์
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยที่เริ่มฟื้นตัวนั้นเป็นผลมาจากนักลงทุนส่วนใหญ่คลายความไม่มั่นใจต่อปัญหาการเมืองในประเทศ อีกทั้งเป็นผลมาจากการปรับตัวขึ้นติดต่อกันของตลาดหุ้นต่างประเทศในสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่นักลงทุนส่วนใหญ่นั้นไม่ได้มีการลงทุน จึงเข้ามาลงทุนในสัปดาห์นี้แทน
ทั้งนี้ นักลงทุนต้องจับตาการวอลุ่มการซื้อขายที่หนาแน่นติดต่อกันหลายวัน ซึ่งจะมีผลทำให้ดัชนีหลักทรัพย์จะมีโอกาสดีดตัวเพิ่มหรือไม่นั้น คงต้องขึ้นอยู่กับนักลงทุนสถาบันไทยว่าจะยังซื้อต่อเนื่องต่อไปอีกหรือไม่ เพราะในส่วนนี้ถือว่าเป็นกำลังหลักสำคัญในการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ SYRUS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ วานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 9 จุดสอดคล้องกับทิศทางดัชนีดาวโจนส์และตลาดหุ้นเอเชีย จึงประเมินว่าปัจจัยในประเทศเริ่มไม่ค่อยมีผลต่อดัชนีมากนัก หลังนักลงทุนเริ่มคลายความวิตกกังวลต่อปัญหาดังกล่าว รวมถึงปัจจุบันยังไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นตามมาอีก
โดยแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้(21เม.ย.)คาดว่าดัชนีฯน่าจะแกว่งตัวในแดนลบ โดยนักลงทุนควรจับตาทิศทางการเมืองในประเทศ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และราคาน้ำมันโลก ดังนั้นจึงแนะนำให้นักลงทุนควรเทขายทำกำไรรเมื่อดัชนีเข้าใกล้ระดับ 470 จุด และให้แนวรับอยู่ที่ 450 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 470-474 จุด
นายเตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. เอเซียพลัส หรือ ASP กล่าวว่า วานนี้บรรยากาศซื้อขายหลักทรัพย์ค่อนข้างหนาแน่น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงานขนาดใหญ่ เช่น บมจ.ปตท (PTT) และ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์ทางการเมืองเริ่มสงบลงขณะเดียวกันตัวเลขผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ที่ทยอยประกาศออกมาดีเกินความคาดหมายของนักลงทุนได้กลายเป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าปัญหาเศรษฐกิจเริ่มจะชะลอความรุนแรง และถือว่าเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดทุนค่อนข้างมาก
ส่วนตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าแกว่งตัวในกรอบแคบๆ นักลงทุนควรรอดูความชัดเจนของปัญหาการเมืองในประเทศ ราคาน้ำมันโลก และการปรับขึ้นลงของตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งถ้าหากเป็นไปได้แนะนำ ให้นักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยให้กรอบแนวรับ 460 จุด และแนวต้าน 475 จุด
ด้านน.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป กล่าวว่านอกหุ้นในกลุ่มปตท.ขึ้นนำตลาดเพื่อรับผลบวกจากราคาน้ำมันแล้ว ดัชนียังได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มธนาคารที่ช่วงนี้เป็นช่วงของการประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 1/52 และได้มีการประกาศงบฯออกมาแล้ว 2 แห่งซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ปัจจัยจากภายนอกประเทศช่วงนี้ดูดีขึ้น เนื่องจากมีความคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้น ภายหลังจากที่มีการคาดว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะผ่านจุดต่ำสุดแล้ว นอกจากนี้ทางตลาดสหรัฐฯเองก็ได้เข้าสู่ ช่วงของการประกาศผลประกอบการของกลุ่มสถาบันการเงิน
ดังนั้นแนวโน้มการลงทุนในวันนี้ ตลาดหุ้นไทยยังมีลุ้นบวกต่อได้ แต่ต้องระวังแรงขายในระหว่างเทรดด้วย เพราะตลาดหุ้นไทยยังมีเรื่องการเมืองที่ปกคลุมอยู่ พร้อมให้แนวรับไว้ที่ 462 จุด แนวต้าน 479 จุด
**บลจ.เชื่อตลาดหุ้นเริ่มสดใส**
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด กล่าวว่า จากข้อมูลของเจพี มอร์แกนพบว่าในช่วงวันที่ 12-18 มีนาคมที่ผ่านมามีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดเงินของสหรัฐฯ เข้าไปลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นมากขึ้น สังเกตได้จากเม็ดเงินที่ลดลงจำนวน 30,404 ล้านเหรียญสหรัฐในตลาดเงินและการไหลของเม็ดเงินไปยังตลาดทุนของสหรัฐฯ มากขึ้นประมาณ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ และตลาดทุนเอเชีย รวมทั้งตลาดหุ้นญี่ปุ่นประมาณ 409 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดย ปัจจัยหลักที่ส่งผลให้กระแสเงินไหลออกจากตลาดเงินมาจาก 1.อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในขาลงส่งผลให้นักลงทุนพยายามแสวงหาการลงทุนอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 2.มองว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับต่ำจึงส่งผลใ ห้ความกังวลการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นลดลง อีกทั้งมองว่าแนวโน้มดังกล่าวน่าจะยังมีต่อไปเนื่องจากภาวะความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนตลาดหุ้นไทยน่าจะยังคงผันผวนต่อไปจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในประเทศ และสภาพเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา ซึ่งคาดว่าสิ่งต่างๆ คงต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนในการทำความเข้าใจและให้โอกาสรัฐบาลในการบริหารงาน ดังนั้น จากภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นในการลงทุนแต่ละครั้งนักลงทุนควรควรต้องประเมินเป้าหมายการลงทุนของตนเองให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ โดยมีหลักสำคัญดังนี้ 1.เพื่อความมั่งคั่ง คือ ลักษณะของเงินที่นำมาลงทุนเป็นนั้นต้องเป็นเงินเย็นหรือมีไว้เพื่อการลงทุนโดยเฉพาะไม่ใช่ต้นทุน โดยจะเน้นเป็นการลงทุนระยะยาว ด้วยการเลือกหุ้นในระดับราคาที่เหมาะสม ส่วนจะเป็นหุ้นตัวใดนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ลงทุนเป็นหลัก และเมื่อเป็นการลงทุนในระยะยาว นักลงทุนต้องสามารถรับความผันผวนของราคาในระยะสั้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน
2.เพื่อสร้างกระแสเงินสด คือ เป็นการลงทุนในกองอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ระดับ 8-10% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่าสามารถสร้างกระแสเงินสดได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ดีการลงทุนนี้ยังมีข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่องที่จำเป็นต้องซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ และ3.รักษาเงินต้นและสภาพคล่อง คือ เลือกลงทุนในตราสารทางการเงิน (มันนี่มาร์เก็ต) เพราะให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีในภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ซึ่งหากเปรียบเทียบ กันแล้วจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์
นอกจากนี้ ทางบลจ.วรรณ คาดการณ์ว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้คงไม่ปรับตัวลงมาดังเช่นปีที่ผ่านมาและน่าจะมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า จึงไม่น่าจะทำให้มูลค่าของกองทุนหุ้นปรับตัวลดลง
สำหรับในปี 52 บลจ.วรรณ มีแผนจะออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการ ส่วนขนาดและรายละเอียดคาดว่าจะได้ความชัดเจนในครึ่งปีหลัง โดยมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) ในปีนี้น่าจะยังเติบโตจากปีที่ผ่านมาซึ่งมีมูลทรัพย์สินสุทธิในการบริหาร 71,360.63 ล้านบาท และทางบริษัทฯ เตรียมจะออกกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของประเทศเกาหลี (FIF) ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 4.6% อย่างไรก็ดีปีนี้ยังคงเน้นออกกองประเภท กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และ (RMF) ที่ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำเพื่อเป็นทางเ ลือกให้กับนักลงทุน