ASTVผู้จัดการรายวัน – เอกชนท่องเที่ยวฉะม็อบเสื้อแดงทำพัง สภาฯท่องเที่ยว เผยตัวเลขประมาณการณ์นักท่องเที่ยวปีนี้เหลือ 12 ล้านคน ส่วนเฟสต้าให้อย่างดีแค่ 10 ล้านคน สูญรายได้ 2 แสนล้านบาท จี้รัฐยกเลิก พรก.เมื่อพร้อม
นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.) เปิดเผยว่า สทท.ได้หารือร่วมกับสมาชิกเพื่อประเมินสถานการณ์การท่องเที่ยวภายใต้วิกฤตความขัดแย้งขั้นรุนแรง โดยมีมติเห็นตรงกันว่า จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ,การบุกยึดสถานที่ประชุมผู้นำอาเซียนบวก3บวก6 ที่พัทยา และภาพการทำร้ายรถนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุให้รัฐบาลต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว จึงทำให้ สทท.ปรับลดประมาณการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวและรายได้ในปีนี้ลงไปอีก จากที่เคยประเมินไว้ตั้งแต่ต้นปีว่าจะอยู่ที่ 12.8 ล้านคน
**ท่องเที่ยวสูญ2แสนล้าน**
โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจะลดเหลือ 10.862 ล้านคน โดยลดลง 22.86% จากตัวเลขของททท.ที่รายงานว่าปี 2551 มีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 14.081 ล้านคน ขณะที่รายได้ สทท.ประเมินว่าปีนี้จะเหลืออยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท ลดลง 35% จากปีก่อน ที่ททท.รายงานว่ามีรายได้ราว 5.4 แสนล้านบาท และเป็นการลดลงที่มากกว่าเมื่อต้นปีที่ สทท.ประเมินว่ารายได้จะลดจากปีก่อนราว 25% ทั้งนี้เพราะเป็นการลดลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงและจากการที่ผู้ประกอบการจัดโปรโมชั่นลดแจกแถม เพื่อแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอื่นๆ
จากตัวเลขที่ลดลงทั้งด้านจำนวนและรายได้ ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการจ้างงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเลิกจ้างงานไม่ต่ำกว่า 10% หรือประมาณ 2.57 แสนคน ของแรงงานทางตรงในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบที่มีอยู่ราว 2.57 ล้านคน ยังไม่รวมแรงงานทางอ้อมที่มีอยู่อีกราว 2 ล้านคน ที่อาจถูกเลิกจ้างงานด้วย
อย่างไรก็ตาม สทท.เตรียมยื่นเสนอแนวทางการเยียวยาต่อนายกรัฐมนตรี โดยได้ติดต่อไปยังนายชุมพล ศิลปอาชา รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวฯให้ช่วยเป็นผู้ประสานงานในการขอเข้าพบเพื่อยื่นขอเสนอต่อนายกรัฐมนตรี
**หวั่นแอร์ไชน์ยกเลิกบินเข้าไทย
ทั้งนี้มาตรการที่จะใช้เยียวยาสถานการณ์ท่องเที่ยวในครั้งนี้ ได้แก่ เร่งงานด้านการประชาสัมพันธ์ไปยังตลาดสำคัญเช่น เอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง เพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมาโดยเร็ว โดยชะลอการโรดโชว์ออกไปก่อน เพราะไม่มีประโยชน์ถ้าความเชื่อมั่นยังไม่มี
ให้รัฐบาลร่วมสทท.เจรจากับทุกสายการบินให้คงเส้นทางการบินมายังประเทศไทย พร้อมร่วมจัดแพกเกจอะเมซิ่งไทยแลนด์แกรนด์เซล เพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาสู่ประเทศไทยโดยเร็ว เนื่องจากมีแนวโน้มว่าหลายสายการบินจะยกเลิกบินเข้ามาประเทศไทยเพราะไม่คุ้มทุนและไม่มั่นใจในความปลอดภัยของประเทศไทย โดยเฉพาะเส้นทางจากฮ่องกง และหลายประเทศในเอเชีย อย่าง ดราก้อนแอร์ โอเรียนด์แอร์ และฮ่องกงเอ็กซ์เพรส เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีมาตรการอื่นๆที่ต้องการให้รัฐบาลให้การช่วยเหลือ เช่น ขยายระยะเวลามาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว เช่น ลดค่าแลนด์ดิ้งฟรี, เว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า เป็นต้น การใช้เวทีการจัดงานไทยแลนด์ทราเวลมาร์ทในเดือนมิ.ย. สร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ การประกันภัยให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา เนื่องจากการที่ประเทศประกาศ พรก.ฉุกเฉิน และ มีการจารจล เกิดขึ้นทำให้ บริษัทประกันภัยไม่ให้ความคุ้มครองด้วย ที่เหลือก็เป็นมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ เช่น การช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การกระตุ้นโดเมสติกไมซ์ การยกเว้นการเก็บเงินเข้าประกันสังคม การอนุญาตให้ผ่อนชำระค่าภาษีต่างๆ เป็นต้น
“แม้ว่า พรก.ฉุกเฉินจะกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยตรง แต่ก็ต้องการให้รัฐบาลประกาศยกเลิกเมื่อแน่ใจว่าประเทศกลับสู่ความสงบจริง มิฉะนั้นอาจมีเรื่องวุ่นวายเข้ามาอีกได้ ตอนนี้ท่องเที่ยวไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้ว”
นายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ในฐานะกรรมการในสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟสต้า) กล่าวว่า รู้สึกเห็นใจนายกรัฐมนตรีในเรื่องการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้นอำนาจก็จะตกไปอยู่กับบุคลลอื่น ขณะที่ ทหาร ตำรวจก็มีความแตกแยกกัน แต่เมื่อมี พรก.ฉุกเฉิน นายกจะมีอำนาจสั่งการได้เพียงคนเดียว แต่ทั้งนี้ก็ต้องการให้ยกเลิกประกาศพรก.ฉุกเฉินโดยเร็ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็รับปากว่าจะเร่งเคลียร์ปัญหาให้สู่ปกติโดยเร็วใน 7-10 วันนี้ เพราะรู้สึกเห็นใจภาคเอกชนท่องเที่ยวเช่นกัน
นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.) เปิดเผยว่า สทท.ได้หารือร่วมกับสมาชิกเพื่อประเมินสถานการณ์การท่องเที่ยวภายใต้วิกฤตความขัดแย้งขั้นรุนแรง โดยมีมติเห็นตรงกันว่า จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ,การบุกยึดสถานที่ประชุมผู้นำอาเซียนบวก3บวก6 ที่พัทยา และภาพการทำร้ายรถนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุให้รัฐบาลต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว จึงทำให้ สทท.ปรับลดประมาณการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวและรายได้ในปีนี้ลงไปอีก จากที่เคยประเมินไว้ตั้งแต่ต้นปีว่าจะอยู่ที่ 12.8 ล้านคน
**ท่องเที่ยวสูญ2แสนล้าน**
โดยจำนวนนักท่องเที่ยวจะลดเหลือ 10.862 ล้านคน โดยลดลง 22.86% จากตัวเลขของททท.ที่รายงานว่าปี 2551 มีจำนวนนักท่องเที่ยวประมาณ 14.081 ล้านคน ขณะที่รายได้ สทท.ประเมินว่าปีนี้จะเหลืออยู่ที่ 3.5 แสนล้านบาท ลดลง 35% จากปีก่อน ที่ททท.รายงานว่ามีรายได้ราว 5.4 แสนล้านบาท และเป็นการลดลงที่มากกว่าเมื่อต้นปีที่ สทท.ประเมินว่ารายได้จะลดจากปีก่อนราว 25% ทั้งนี้เพราะเป็นการลดลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงและจากการที่ผู้ประกอบการจัดโปรโมชั่นลดแจกแถม เพื่อแข่งขันกับประเทศคู่แข่งอื่นๆ
จากตัวเลขที่ลดลงทั้งด้านจำนวนและรายได้ ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการจ้างงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเลิกจ้างงานไม่ต่ำกว่า 10% หรือประมาณ 2.57 แสนคน ของแรงงานทางตรงในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบที่มีอยู่ราว 2.57 ล้านคน ยังไม่รวมแรงงานทางอ้อมที่มีอยู่อีกราว 2 ล้านคน ที่อาจถูกเลิกจ้างงานด้วย
อย่างไรก็ตาม สทท.เตรียมยื่นเสนอแนวทางการเยียวยาต่อนายกรัฐมนตรี โดยได้ติดต่อไปยังนายชุมพล ศิลปอาชา รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวฯให้ช่วยเป็นผู้ประสานงานในการขอเข้าพบเพื่อยื่นขอเสนอต่อนายกรัฐมนตรี
**หวั่นแอร์ไชน์ยกเลิกบินเข้าไทย
ทั้งนี้มาตรการที่จะใช้เยียวยาสถานการณ์ท่องเที่ยวในครั้งนี้ ได้แก่ เร่งงานด้านการประชาสัมพันธ์ไปยังตลาดสำคัญเช่น เอเชีย ยุโรป และตะวันออกกลาง เพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมาโดยเร็ว โดยชะลอการโรดโชว์ออกไปก่อน เพราะไม่มีประโยชน์ถ้าความเชื่อมั่นยังไม่มี
ให้รัฐบาลร่วมสทท.เจรจากับทุกสายการบินให้คงเส้นทางการบินมายังประเทศไทย พร้อมร่วมจัดแพกเกจอะเมซิ่งไทยแลนด์แกรนด์เซล เพื่อดึงนักท่องเที่ยวกลับเข้ามาสู่ประเทศไทยโดยเร็ว เนื่องจากมีแนวโน้มว่าหลายสายการบินจะยกเลิกบินเข้ามาประเทศไทยเพราะไม่คุ้มทุนและไม่มั่นใจในความปลอดภัยของประเทศไทย โดยเฉพาะเส้นทางจากฮ่องกง และหลายประเทศในเอเชีย อย่าง ดราก้อนแอร์ โอเรียนด์แอร์ และฮ่องกงเอ็กซ์เพรส เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีมาตรการอื่นๆที่ต้องการให้รัฐบาลให้การช่วยเหลือ เช่น ขยายระยะเวลามาตรการกระตุ้นท่องเที่ยว เช่น ลดค่าแลนด์ดิ้งฟรี, เว้นการเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า เป็นต้น การใช้เวทีการจัดงานไทยแลนด์ทราเวลมาร์ทในเดือนมิ.ย. สร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยให้ฟื้นขึ้นมาใหม่ การประกันภัยให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา เนื่องจากการที่ประเทศประกาศ พรก.ฉุกเฉิน และ มีการจารจล เกิดขึ้นทำให้ บริษัทประกันภัยไม่ให้ความคุ้มครองด้วย ที่เหลือก็เป็นมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ เช่น การช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การกระตุ้นโดเมสติกไมซ์ การยกเว้นการเก็บเงินเข้าประกันสังคม การอนุญาตให้ผ่อนชำระค่าภาษีต่างๆ เป็นต้น
“แม้ว่า พรก.ฉุกเฉินจะกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยตรง แต่ก็ต้องการให้รัฐบาลประกาศยกเลิกเมื่อแน่ใจว่าประเทศกลับสู่ความสงบจริง มิฉะนั้นอาจมีเรื่องวุ่นวายเข้ามาอีกได้ ตอนนี้ท่องเที่ยวไม่มีอะไรจะเสียไปมากกว่านี้แล้ว”
นายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ในฐานะกรรมการในสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟสต้า) กล่าวว่า รู้สึกเห็นใจนายกรัฐมนตรีในเรื่องการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉิน เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้นอำนาจก็จะตกไปอยู่กับบุคลลอื่น ขณะที่ ทหาร ตำรวจก็มีความแตกแยกกัน แต่เมื่อมี พรก.ฉุกเฉิน นายกจะมีอำนาจสั่งการได้เพียงคนเดียว แต่ทั้งนี้ก็ต้องการให้ยกเลิกประกาศพรก.ฉุกเฉินโดยเร็ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็รับปากว่าจะเร่งเคลียร์ปัญหาให้สู่ปกติโดยเร็วใน 7-10 วันนี้ เพราะรู้สึกเห็นใจภาคเอกชนท่องเที่ยวเช่นกัน
