ASTVผู้จัดการรายวัน – เอกชนท่องเที่ยวอัดม็อบเสื้อแดงยับ เห็นแค่ประโยชน์ของคนเพียงคนเดียว ทำประเทศย่อยยับ นายกฯแอตต้าย้ำถ้าเป็นเช่นนี้ผู้ร่วมชุมนุมอาจตกงานได้ แต่คนต้นเหตุไม่สะเทือนเพราะมีเงินกว่าหมื่นล้าน ประธานสทท.ระบุพิษการเมืองและเศรษฐกิจโลกทำรายได้ท่องเที่ยววูบ 25% ภาพเหตุการณ์ทุบรถนายกรัฐมนตรี ถ้าเกิดซ้ำอีกในช่วงประชุมผู้นำอาเซียน มีหวังอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยพังทั้งหมด วอดทุกฝ่ายยุติด่วน
นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กรณีภาพเหตุการณ์ม็อบเสื้อแดงทุบรถนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เม.ย.52 ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกนั้นย่อมส่งผลกระทบด้านความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยให้ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่รู้จักหรือทราบข้อมูลของประเทศไทยอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ที่จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างดีที่สุด บนพื้นฐานความเป็นจริง และยังคงเดินหน้าทำภารกิจส่งเสริมให้ชาวต่างชาติและคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
นายสุรพล เศวตเศรนี รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน ททท. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฎิบัติการวางแผนการท่องเที่ยวและศูนย์ปฎิบัติการในภาวะวิกฤต กล่าวว่า ขณะนี้ ททท.ยังไม่มีการตั้งวอลรูม เพราะสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นร้ายแรง แต่ก็เฝ้าจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อ รายงานไปยังสำนักงานททท.ในต่างประเทศได้รับทราบ เพื่อนำไปบอกกล่าวแก่นักท่องเที่ยวและบริษัททัวร์ไม่ให้วิตกกังวล อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งถือว่ามีความสำคัญกับคนไทย ที่จะใช้ช่วงเวลานี้เดินทางพบปะญาติพี่น้อง ทำบุญ รื่นเริงต่างๆ ดังนั้นจึงมองว่าการชุมนุมคงไม่ยืดเยื้อ นอกจากนั้นช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์นี้ ททท.ก็จัดทีมคอยให้ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว รวมถึงเฝ้าระวังหากเกิดสถานการณ์ที่จะกระทบต่อท่องเที่ยวด้วย
ท่องเที่ยวฉะม็อบทำเพื่อคนเพียงคนเดียว
ทางด้านภาคเอกชน นายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ในฐานะกรรมการสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟตต้า) กล่าวว่า ในวันนี้(9 เม.ย.52) เฟสต้า ซึ่งประกอบด้วย 8 สมาคมด้านการท่องเที่ยวจะเปิดแถลงจุดยืนและผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองที่กระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพราะจากภาพการชุมนุมที่เกิดขึ้นมาช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทย บางรายยกเลิกแบบไม่มีกำหนด ยิ่งมีภาพการบุกทุบรถผู้ประประเทศออกมาเผยแพร่เช่นนี้ ยิ่งทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติขาดความเชื่อมั่นประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ล่าสุดชาร์เตอร์ไฟล์จากประเทศจีน ที่จะเดินทางเข้ามาช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ มีบางกลุ่มบอกยกเลิกการเดินทางมาแล้ว ส่วนบริษัทนำเที่ยวในจีนก็ไม่กล้าที่จะขายทัวร์ประเทศไทยในช่วงวันแรงงานที่กำลังจะมาถึงนี้ เพราะไม่ทราบว่าสถานการณ์จะบานปลายหรือไม่ หากรัฐบาลปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อาจมีผลให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องถึงขั้นปิดกิจการ
“ความจริงนักท่องเที่ยวต่างชาติยังอยากที่จะมาเที่ยวประเทศไทย เพราะคุ้มค่าเงินแต่เมื่อเกิดความวุ่นวายเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าคงไม่ปลอดภัยถ้าจะเดินทางเข้ามา จึงต้องการเตือนสติผู้ชุมนุมว่าหากเป็นเช่นนี้ คนที่จะเจ็บตัวมากที่สุดคือผู้ชุมนุม เพราะอาจถึงขั้นตกงานได้ เพียงแค่ออกมาเรียกร้องให้แก่บุคคลเพียงคนเดียว เพราะแม้ว่าเขาจะแพ้หรือชนะ เขาก็มีเงินเป็น 10,000 ล้านบาท คงไม่เดือดร้อนเท่ากับมนุษย์เงินเดือนหรือผู้ใช้แรงงานอย่างเรา”
ด้านนายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.) กล่าวว่า ความวุ่นวายทางการเมืองของไทย ทำให้หลายตลาดที่ซบเซาอยู่ขณะนี้ยิ่งฟื้นตัวช้าออกไปอีก เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน และ จีน จากที่ สทท.คาดว่าจะฟื้นได้ในไตรมาส 2-3 ปีนี้ ก็อาจจะเลยไปถึงปีหน้าได้ ภาพการรุมทุบรถนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะหากเกิดขึ้นอีกครั้งในการประชุมผู้นำจากประเทศอาเซียนบวก 3 และบวก 6 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยคงพังไป เลยอย่างไรก็ตาม สำหรับตัวเลขนักท่องเที่ยวถึงสิ้นปีนี้ สทท.ยังคงตั้งไว้ที่ 12.8 ล้านคน ลดลง 13 %จากปีก่อน แต่ในส่วนของรายได้น่าจะลดลงไปกว่า 25% หรือเหลือเพียง 440,000 ล้านบาทเท่านั้น โดย หลังสงกรานต์ สทท.นัดประชุมสมาชิกในวันที่ 21 เม.ย. 52 เพื่อประเมินผลกระทบจากสถานการณ์อีกครั้งหนี่ง
นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กรณีภาพเหตุการณ์ม็อบเสื้อแดงทุบรถนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เม.ย.52 ได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วโลกนั้นย่อมส่งผลกระทบด้านความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยให้ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่รู้จักหรือทราบข้อมูลของประเทศไทยอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ที่จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างดีที่สุด บนพื้นฐานความเป็นจริง และยังคงเดินหน้าทำภารกิจส่งเสริมให้ชาวต่างชาติและคนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
นายสุรพล เศวตเศรนี รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน ททท. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ปฎิบัติการวางแผนการท่องเที่ยวและศูนย์ปฎิบัติการในภาวะวิกฤต กล่าวว่า ขณะนี้ ททท.ยังไม่มีการตั้งวอลรูม เพราะสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นร้ายแรง แต่ก็เฝ้าจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อ รายงานไปยังสำนักงานททท.ในต่างประเทศได้รับทราบ เพื่อนำไปบอกกล่าวแก่นักท่องเที่ยวและบริษัททัวร์ไม่ให้วิตกกังวล อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งถือว่ามีความสำคัญกับคนไทย ที่จะใช้ช่วงเวลานี้เดินทางพบปะญาติพี่น้อง ทำบุญ รื่นเริงต่างๆ ดังนั้นจึงมองว่าการชุมนุมคงไม่ยืดเยื้อ นอกจากนั้นช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลสงกรานต์นี้ ททท.ก็จัดทีมคอยให้ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว รวมถึงเฝ้าระวังหากเกิดสถานการณ์ที่จะกระทบต่อท่องเที่ยวด้วย
ท่องเที่ยวฉะม็อบทำเพื่อคนเพียงคนเดียว
ทางด้านภาคเอกชน นายอภิชาติ สังฆอารี นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ในฐานะกรรมการสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟตต้า) กล่าวว่า ในวันนี้(9 เม.ย.52) เฟสต้า ซึ่งประกอบด้วย 8 สมาคมด้านการท่องเที่ยวจะเปิดแถลงจุดยืนและผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองที่กระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพราะจากภาพการชุมนุมที่เกิดขึ้นมาช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติชะลอที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวประเทศไทย บางรายยกเลิกแบบไม่มีกำหนด ยิ่งมีภาพการบุกทุบรถผู้ประประเทศออกมาเผยแพร่เช่นนี้ ยิ่งทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติขาดความเชื่อมั่นประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ล่าสุดชาร์เตอร์ไฟล์จากประเทศจีน ที่จะเดินทางเข้ามาช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ มีบางกลุ่มบอกยกเลิกการเดินทางมาแล้ว ส่วนบริษัทนำเที่ยวในจีนก็ไม่กล้าที่จะขายทัวร์ประเทศไทยในช่วงวันแรงงานที่กำลังจะมาถึงนี้ เพราะไม่ทราบว่าสถานการณ์จะบานปลายหรือไม่ หากรัฐบาลปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้อาจมีผลให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องถึงขั้นปิดกิจการ
“ความจริงนักท่องเที่ยวต่างชาติยังอยากที่จะมาเที่ยวประเทศไทย เพราะคุ้มค่าเงินแต่เมื่อเกิดความวุ่นวายเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าคงไม่ปลอดภัยถ้าจะเดินทางเข้ามา จึงต้องการเตือนสติผู้ชุมนุมว่าหากเป็นเช่นนี้ คนที่จะเจ็บตัวมากที่สุดคือผู้ชุมนุม เพราะอาจถึงขั้นตกงานได้ เพียงแค่ออกมาเรียกร้องให้แก่บุคคลเพียงคนเดียว เพราะแม้ว่าเขาจะแพ้หรือชนะ เขาก็มีเงินเป็น 10,000 ล้านบาท คงไม่เดือดร้อนเท่ากับมนุษย์เงินเดือนหรือผู้ใช้แรงงานอย่างเรา”
ด้านนายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สทท.) กล่าวว่า ความวุ่นวายทางการเมืองของไทย ทำให้หลายตลาดที่ซบเซาอยู่ขณะนี้ยิ่งฟื้นตัวช้าออกไปอีก เช่น เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน และ จีน จากที่ สทท.คาดว่าจะฟื้นได้ในไตรมาส 2-3 ปีนี้ ก็อาจจะเลยไปถึงปีหน้าได้ ภาพการรุมทุบรถนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะหากเกิดขึ้นอีกครั้งในการประชุมผู้นำจากประเทศอาเซียนบวก 3 และบวก 6 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยคงพังไป เลยอย่างไรก็ตาม สำหรับตัวเลขนักท่องเที่ยวถึงสิ้นปีนี้ สทท.ยังคงตั้งไว้ที่ 12.8 ล้านคน ลดลง 13 %จากปีก่อน แต่ในส่วนของรายได้น่าจะลดลงไปกว่า 25% หรือเหลือเพียง 440,000 ล้านบาทเท่านั้น โดย หลังสงกรานต์ สทท.นัดประชุมสมาชิกในวันที่ 21 เม.ย. 52 เพื่อประเมินผลกระทบจากสถานการณ์อีกครั้งหนี่ง