รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯ ออกมาปกป้องยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของเขาอย่างกระตือรือร้นเมื่อวันอังคาร (14) โดยกล่าวว่าตอนนี้มีสัญญาณของความก้าวหน้าในการต่อสู้กับภาวะเศรษฐกิจถดถอยแล้ว แต่ "ยังไม่ได้หมายความว่าเรากำลังก้าวพ้นพงหนามแล้ว"
ในการกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ของสหรัฐฯ ซึ่งให้ภาพหลากแง่หลายด้านที่สุดของประธานาธิบดีโอบามาคราวนี้ มิได้มีการนำเสนอนโยบายใหม่ ๆ หากแต่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนต่าง ๆที่เขาใช้ในการกอบกู้เศรษฐกิจ รวมทั้งตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์ที่บอกว่าเขาใช้จ่ายเงินอย่าง "สุรุ่ยสุร่าย"
"ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเมื่อประเทศชาติละเลยมิได้ลงมืออย่างแข็งขันเพื่อให้สินเชื่อกลับมามีสภาพคล่องอีกครั้งโดยเร็ว จะทำให้วิกฤตนั้นคงอยู่ไปนานนับปีหรือหลายปี แทนที่จะเป็นเดือนหรือหลายเดือน เศรษฐกิจจะอยู่ภาวการณ์เติบโตต่ำ ภาวการณ์จ้างงานต่ำ และการลงทุนก็พลอยต่ำไปด้วย และสิ่งที่ทำให้ประเทศชาติเหล่านี้ตกอยู่ในสถานะเช่นนี้ ก็เพราะขาดความกล้าหาญที่จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว" โอบามาประกาศกร้าว
"ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตอนนี้สถานการณ์ก็ยังคงยากลำบาก ยังไม่ได้หมายความว่าเรากำลังก้าวพ้นพงหนามแล้ว แต่จากที่เรายืนอยู่ในขณะนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่เราเริ่มจะมองเห็นประกายแห่งความหวัง" โอบามากล่าวในสุนทรพจน์ที่กินเวลาราว 45 นาทีของเขา ณ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน
เขากล่าวด้วยว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 787,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งมีเป้าหมายที่การอัดฉีดเม็ดเงินให้แก่ธนาคาร, ตลาดสินเชื่อ รวมทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์นั้น "เริ่มที่จะทำให้เกิดสัญญาณต่างๆ ของความคืบหน้าทางเศรษฐกิจแล้ว"
โอบามาชี้ว่าโรงเรียนจำนวนมาก รวมทั้งกรมตำรวจของหลายเมือง ต่างยกเลิกแผนปลดพนักงานออก ส่วนบริษัทพลังงานทางเลือกและก่อสร้าง ต่างกลับมาจ้างงานใหม่อีกครั้ง ในขณะนี้เจ้าของบ้านก็สามารถที่จะรีไฟแนนซ์ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงกว่าเดิม
"เหล่านี้เป็นข่าวที่น่ายินดีทั้งสิ้น แต่มิได้หมายความเวลายากลำบากสิ้นสุดไปแล้ว ปี 2009 ยังคงเป็นปีที่สาหัสสำหรับเศรษฐกิจอเมริกาต่อไป" โอบาม่ฃากล่าวและเตือนว่าจำนวนคนตกงานและผู้ที่ถูกยึดบ้านเพราะผ่อนต่อไม่ได้ก็จะยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อไป
ทั้งนี้ โฆษกทำเนียบขาว โรเบิร์ต กิบส์ กล่าวว่า รัฐบาลคาดว่าคนจะตกงานเพิ่มขึ้นอีกหลายแสนตำแหน่งในช่วงหลายๆ เดือนข้างหน้า
ในมีนาคม มีคนว่างงานเพิ่มขึ้น 663,000 ตำแหน่ง ทำให้อัตราว่างงานของประเทศแตะระดับ 8.5% ของแรงงานทั้งหมด นับเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 25 ปี ส่วนเศรษฐกิจหดตัวในอัตรา 6.3% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2008 อันเป็นการหดตัวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 1982 เป็นต้นมา
ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์คราวนี้ โอบามาได้ตอบโต้ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลของเขาใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย โดยเขาบอกว่า ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ หากรัฐบาลของเขาลดการใช้จ่ายภาครัฐลง นั่นแหละคือการทำเรื่องเลวร้ายที่สุดเท่าที่สามารถทำกันได้ นอกจากนั้นเขายังระบุว่าเพียงแค่รวมศูนย์มุ่งแก้ไขวิกฤตเฉพาะหน้าเท่านั้น ยังไม่ใช่เป็นเรื่องเพียงพอแล้ว แต่รัฐบาลยังจะต้องเดินหน้าการปฏิรูปต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว
เขายังกล่าวตำหนิผู้ที่ออกมาวิจารณ์ว่า มาตรการต่างๆ ของรัฐบาลนั้นเป็นการโอ๋พวกสถาบันการเงิน โดยเขายืนยันว่าการทำให้ภาคการเงินกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่งนั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯสามารถฟื้นตัวได้อีกครั้ง
อนึ่ง เมื่อวันอังคารตลาดหุ้นในสหรัฐพากันปิดร่วงลงมา สืบเนื่องจากตัวเลขยอดค้าปลีกในเดือนมีนาคมที่หล่นลง ซึ่งผิดจากที่นักวิเคราะห์คาดเอาไว้ โดยยอดค้าปลีกร่วงลงถึง 1.1% หลังจากที่เพิ่มขึ้นติดกันสองเดือนก่อน นอกจากนี้ราคาผู้ผลิตก็ทรุดลงด้ว ยเพราะผู้ผลิตไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าของตนเองได้จากความต้องการสินค้าที่ลดลง
ในการกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่ของสหรัฐฯ ซึ่งให้ภาพหลากแง่หลายด้านที่สุดของประธานาธิบดีโอบามาคราวนี้ มิได้มีการนำเสนอนโยบายใหม่ ๆ หากแต่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับขั้นตอนต่าง ๆที่เขาใช้ในการกอบกู้เศรษฐกิจ รวมทั้งตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์ที่บอกว่าเขาใช้จ่ายเงินอย่าง "สุรุ่ยสุร่าย"
"ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเมื่อประเทศชาติละเลยมิได้ลงมืออย่างแข็งขันเพื่อให้สินเชื่อกลับมามีสภาพคล่องอีกครั้งโดยเร็ว จะทำให้วิกฤตนั้นคงอยู่ไปนานนับปีหรือหลายปี แทนที่จะเป็นเดือนหรือหลายเดือน เศรษฐกิจจะอยู่ภาวการณ์เติบโตต่ำ ภาวการณ์จ้างงานต่ำ และการลงทุนก็พลอยต่ำไปด้วย และสิ่งที่ทำให้ประเทศชาติเหล่านี้ตกอยู่ในสถานะเช่นนี้ ก็เพราะขาดความกล้าหาญที่จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว" โอบามาประกาศกร้าว
"ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตอนนี้สถานการณ์ก็ยังคงยากลำบาก ยังไม่ได้หมายความว่าเรากำลังก้าวพ้นพงหนามแล้ว แต่จากที่เรายืนอยู่ในขณะนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่เราเริ่มจะมองเห็นประกายแห่งความหวัง" โอบามากล่าวในสุนทรพจน์ที่กินเวลาราว 45 นาทีของเขา ณ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน
เขากล่าวด้วยว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 787,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯซึ่งมีเป้าหมายที่การอัดฉีดเม็ดเงินให้แก่ธนาคาร, ตลาดสินเชื่อ รวมทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์นั้น "เริ่มที่จะทำให้เกิดสัญญาณต่างๆ ของความคืบหน้าทางเศรษฐกิจแล้ว"
โอบามาชี้ว่าโรงเรียนจำนวนมาก รวมทั้งกรมตำรวจของหลายเมือง ต่างยกเลิกแผนปลดพนักงานออก ส่วนบริษัทพลังงานทางเลือกและก่อสร้าง ต่างกลับมาจ้างงานใหม่อีกครั้ง ในขณะนี้เจ้าของบ้านก็สามารถที่จะรีไฟแนนซ์ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงกว่าเดิม
"เหล่านี้เป็นข่าวที่น่ายินดีทั้งสิ้น แต่มิได้หมายความเวลายากลำบากสิ้นสุดไปแล้ว ปี 2009 ยังคงเป็นปีที่สาหัสสำหรับเศรษฐกิจอเมริกาต่อไป" โอบาม่ฃากล่าวและเตือนว่าจำนวนคนตกงานและผู้ที่ถูกยึดบ้านเพราะผ่อนต่อไม่ได้ก็จะยังมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อไป
ทั้งนี้ โฆษกทำเนียบขาว โรเบิร์ต กิบส์ กล่าวว่า รัฐบาลคาดว่าคนจะตกงานเพิ่มขึ้นอีกหลายแสนตำแหน่งในช่วงหลายๆ เดือนข้างหน้า
ในมีนาคม มีคนว่างงานเพิ่มขึ้น 663,000 ตำแหน่ง ทำให้อัตราว่างงานของประเทศแตะระดับ 8.5% ของแรงงานทั้งหมด นับเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 25 ปี ส่วนเศรษฐกิจหดตัวในอัตรา 6.3% ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2008 อันเป็นการหดตัวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 1982 เป็นต้นมา
ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์คราวนี้ โอบามาได้ตอบโต้ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลของเขาใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย โดยเขาบอกว่า ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ หากรัฐบาลของเขาลดการใช้จ่ายภาครัฐลง นั่นแหละคือการทำเรื่องเลวร้ายที่สุดเท่าที่สามารถทำกันได้ นอกจากนั้นเขายังระบุว่าเพียงแค่รวมศูนย์มุ่งแก้ไขวิกฤตเฉพาะหน้าเท่านั้น ยังไม่ใช่เป็นเรื่องเพียงพอแล้ว แต่รัฐบาลยังจะต้องเดินหน้าการปฏิรูปต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว
เขายังกล่าวตำหนิผู้ที่ออกมาวิจารณ์ว่า มาตรการต่างๆ ของรัฐบาลนั้นเป็นการโอ๋พวกสถาบันการเงิน โดยเขายืนยันว่าการทำให้ภาคการเงินกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่งนั้นเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯสามารถฟื้นตัวได้อีกครั้ง
อนึ่ง เมื่อวันอังคารตลาดหุ้นในสหรัฐพากันปิดร่วงลงมา สืบเนื่องจากตัวเลขยอดค้าปลีกในเดือนมีนาคมที่หล่นลง ซึ่งผิดจากที่นักวิเคราะห์คาดเอาไว้ โดยยอดค้าปลีกร่วงลงถึง 1.1% หลังจากที่เพิ่มขึ้นติดกันสองเดือนก่อน นอกจากนี้ราคาผู้ผลิตก็ทรุดลงด้ว ยเพราะผู้ผลิตไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าของตนเองได้จากความต้องการสินค้าที่ลดลง
