ไบเออร์ ระบุไตรมาสแรกยอดขายกลุ่มแมททีเรียลซายน์วูบ 2 หลัก โอดพิษเศรษฐกิจกระทบอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ควักจุดแข็งนวัตกรรม-สินค้าใหม่ลงตลาด หวังกลุ่มเฮลธ์แคร์-เกษตรมีการเติบโต ประคองผลประกอบการสิ้นปีนี้
นายโดมินิคัส ฟอน เพสดาโทเร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ของไบเออร์ แมททีเรียลซายน์ ซึ่งประกอบด้วยโพลิเมอร์-พลาสติกคุณภาพ สีและกาว ที่เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และ อิเล็กทรอนิคส์ การเติบโตลดลงเป็นตัวเลข 2 หลัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจถดถอย
ส่วนกลุ่มเฮลธ์แคร์ เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว จากการนำมีนวัตกรรมหลากหลายและต่อเนื่อง โดยเฉพาะเวชภัณฑ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพของสตรี โรคฮีโม ฟีเลีย และโรคมะเร็ง รวมทั้งยอดขายของกลุ่มธุรกิจคอนซูเมอร์แคร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากผลิตภัณฑ์หลัก อาทิ ซีดีอาร์ คาเนสเทน แซม-บัค และ วาเป็กซ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้นำอันดับ 1 หรืออันดับ 2ในตลาด
ด้านกลุ่มธุรกิจครอปซายน์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เกษตร ยังคงมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว ซึ่งหากรวมสัดส่วนรายได้ของกลุ่ม แมททีเรียลซายน์และครอปซายน์ 45% จากรายได้รวม ซึ่งใกล้เคียงกับสัดส่วนรายได้ของกลุ่มแมททีเรียลซายน์ ที่มีสัดส่วนรายได้ 51% ที่ลดลง ส่วนที่เหลืออีก 4 % มาจากกลุ่มธุรกิจตัวแทนจำหน่าย ที่ทำให้รายได้รวมของบริษัทปีนี้ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
ทั้งนี้จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทำให้ปีนี้คาดเดาสถานการณ์ได้ยาก จึงไม่สามารถประเมินทิศทางการเติบโตของผลประกอบการในปีนี้ได้ อย่างไรก็ตามบริษัทได้ดำเนินการตลาดต่อเนื่อง โดยเน้นการทำธุรกิจเพื่อการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน ไม่ได้มองแค่ระยะสั้นแบบปีต่อปี แต่สิ่งที่ต้องเข้ามาดำเนินพิเศษ คือ ด้านการตลาดและนวัตกรรมใหม่ๆ ภายใต้จุดแข็งของบริษัท คือ การมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย การนำเสนอนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร เป็นต้น
ปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนการลงทุน หลังจากก่อนหน้านี้ได้ลงทุนในประเทศไทย 4 ปีต่อเนื่อง โดยการลงทุนล่าสุด 14 ล้านยูโร ในการขยายโรงงานผลิตฟิล์ม ที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง เพื่อเป็นฐานการผลิตในการส่งออกในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ยังไม่มีแผนปลดพนักงาน และเมื่อปีที่ผ่านมาได้เพิ่มพนักงาน 10% เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ
สำหรับผลประกอบการปี 2551 ที่ผ่านมา ไบเออร์ไทยมียอดขายรวมทุกกลุ่มธุรกิจ 9,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 4 % เมื่อเทียบกับปี 2550 ที่ 8,600 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วนจากไบเออร์ แมททีเรียลซายน์ 51 % ไบเออร์ เฮลธ์แคร์ 30 % ไบเออร์ ครอปซายน์ 15 % และกลุ่มธุรกิจตัวแทนจำหน่าย 4 %
นายโดมินิคัส ฟอน เพสดาโทเร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ของไบเออร์ แมททีเรียลซายน์ ซึ่งประกอบด้วยโพลิเมอร์-พลาสติกคุณภาพ สีและกาว ที่เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และ อิเล็กทรอนิคส์ การเติบโตลดลงเป็นตัวเลข 2 หลัก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจถดถอย
ส่วนกลุ่มเฮลธ์แคร์ เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว จากการนำมีนวัตกรรมหลากหลายและต่อเนื่อง โดยเฉพาะเวชภัณฑ์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพของสตรี โรคฮีโม ฟีเลีย และโรคมะเร็ง รวมทั้งยอดขายของกลุ่มธุรกิจคอนซูเมอร์แคร์ปรับตัวเพิ่มขึ้น จากผลิตภัณฑ์หลัก อาทิ ซีดีอาร์ คาเนสเทน แซม-บัค และ วาเป็กซ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้นำอันดับ 1 หรืออันดับ 2ในตลาด
ด้านกลุ่มธุรกิจครอปซายน์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เกษตร ยังคงมีอัตราการเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว ซึ่งหากรวมสัดส่วนรายได้ของกลุ่ม แมททีเรียลซายน์และครอปซายน์ 45% จากรายได้รวม ซึ่งใกล้เคียงกับสัดส่วนรายได้ของกลุ่มแมททีเรียลซายน์ ที่มีสัดส่วนรายได้ 51% ที่ลดลง ส่วนที่เหลืออีก 4 % มาจากกลุ่มธุรกิจตัวแทนจำหน่าย ที่ทำให้รายได้รวมของบริษัทปีนี้ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
ทั้งนี้จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทำให้ปีนี้คาดเดาสถานการณ์ได้ยาก จึงไม่สามารถประเมินทิศทางการเติบโตของผลประกอบการในปีนี้ได้ อย่างไรก็ตามบริษัทได้ดำเนินการตลาดต่อเนื่อง โดยเน้นการทำธุรกิจเพื่อการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน ไม่ได้มองแค่ระยะสั้นแบบปีต่อปี แต่สิ่งที่ต้องเข้ามาดำเนินพิเศษ คือ ด้านการตลาดและนวัตกรรมใหม่ๆ ภายใต้จุดแข็งของบริษัท คือ การมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย การนำเสนอนวัตกรรม การพัฒนาบุคลากร เป็นต้น
ปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนการลงทุน หลังจากก่อนหน้านี้ได้ลงทุนในประเทศไทย 4 ปีต่อเนื่อง โดยการลงทุนล่าสุด 14 ล้านยูโร ในการขยายโรงงานผลิตฟิล์ม ที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง เพื่อเป็นฐานการผลิตในการส่งออกในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ยังไม่มีแผนปลดพนักงาน และเมื่อปีที่ผ่านมาได้เพิ่มพนักงาน 10% เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ
สำหรับผลประกอบการปี 2551 ที่ผ่านมา ไบเออร์ไทยมียอดขายรวมทุกกลุ่มธุรกิจ 9,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 4 % เมื่อเทียบกับปี 2550 ที่ 8,600 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วนจากไบเออร์ แมททีเรียลซายน์ 51 % ไบเออร์ เฮลธ์แคร์ 30 % ไบเออร์ ครอปซายน์ 15 % และกลุ่มธุรกิจตัวแทนจำหน่าย 4 %