อย่าเสี่ยงกับโชค เพราะกว่าจะรู้ว่า โชคไม่เข้าข้างก็พินาศไปแล้ว
นช.ทักษิณ ชินวัตร เป่านกหวีดให้กองกำลังคนเสื้อแดงออกมาก่อวินาศกรรมประเทศไทย และในวันนี้เขาและคนเสื้อแดงถูกรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปราบปรามพ่ายแพ้ไปหมดรูป ตกอยู่ในชะตากรรมของกบฏ
ปฏิบัติการยุทธการยึดประเทศไทยของนช.ทักษิณ เป็นอีกบทสรุปหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์การต่อสู้ที่ “เสี่ยงกับโชค แต่โชคไม่เข้าข้าง”
เมื่อนช.ทักษิณ ตัดสินใจออกคำสั่งกองกำลัง“คนเสื้อแดง” ออกมาเผาบ้านเผาเมือง อาจมองได้ว่าเป็นการเดินทัพบนพื้นฐานแผนการที่กำหนดมาก่อนเป็นอย่างดี เคลื่อนพล และยุทธวิธีมาตามลำดับขั้นตอนของแผนทุกประการ
“แผนตากสิน” แผนยุทธศาสตร์ที่ถูกแฉออกมารู้กันไปทั้งเมืองก่อนหน้านี้
นช.ทักษิณสั่งรวมพลครั้งใหญ่ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 26 มีนาคม เปิดตัวเปิดหน้า เป็นผู้นำการต่อสู้ผ่านวิดีโอลิงก์เข้ามาปลุกเร้าม็อบทุกค่ำคืน พร้อมประกาศความมุ่งหมายออกมาชัดเจน จะจะ
ล้มระบบอำมาตยธิปไตย และเอาประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืน
โจมตีองคมนตรีเป็นกลยุทธ์เปิดศึก แฉชื่อให้หายสงสัยกันเลย ใครเป็น “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”-พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยไม่กลัวเกรงที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์กระทบกระเทือน และยังสอยเอา พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ร่วงลงมาคลุกกับความชั่วที่ นช.ทักษิณ พยายามขุดเรื่องมาป้ายสี รวมทั้งองคมนตรีอีกหลายท่านอย่าง พลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ก็ถูกใส่ร้ายว่า อยู่ในขบวนการจ้องพิฆาตทักษิณ
นช.ทักษิณ กล่าวหา “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ปล้นอำนาจโดยมีกองทัพจับมือนักการเมืองที่เนรคุณต่อเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เปิดประเด็นนี้ปลุกปั่นให้คนไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เพื่อมุ่งหวังให้เกิด “อนาธิปไตย”ในแผ่นดินไทย
ถึงตัวจะอยู่ต่างแดน บางวันไกลไปถึง ดูไบ แต่บางวันขยับมาใกล้แค่เกาะกง หรือเกาะช้าง แต่หูตาของนช.ทักษิณ ก็สามารถส่องเข้ามาตรวจสอบความเคลื่อนไหว และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในระหว่างการศึกยุทธการยึดประเทศไทยวันต่อวัน ได้อย่างละเอียด
จาก“วอร์รูม”อยู่ที่ “อาคารชินวัตร” ที่มีขุนพลที่เขาเชื่อใจ อย่าง “มิ้ง-อ้วน–เกรียง–จา” เกาะกลุ่มกับ “พวกซ้ายอกหัก” ทำงานการข่าว และวางแผนรบกันทุกนาที
กรองข่าวรอบด้านอย่างไม่มีเล็ดลอด จับวัดกระแสการตอบรับของสังคม กำหนดประเด็นที่จะทิ่มแทงฝ่ายรัฐบาล และกลุ่มบุคคลเป้าหมายในแต่ละวัน รายงานให้ “นายใหญ่” ก่อนจะโผล่เงามาปลุกปั่นยุยงคนเสื้อแดงให้ฮึกเหิม
วิดีโอลิงก์ของนช.ทักษิณ จึงเป็นสิ่งที่เรียกคนเข้ามาร่วมชุมนุมได้มาก ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะสดใหม่ในประเด็นวันต่อวัน และเร้าใจในเนื้อหา จะเท็จหรือจริงเป็นอีกเรื่อง แต่ม็อบเชื่อได้ทุกเรื่อง เนื่องจากคนอยู่ในม็อบเป็นกลุ่มที่หลงใหลคลั่งไคล้ในตัวทักษิณชนิด “นายเจ็บเราเจ็บด้วย” กับอีกพวกคือ พวกที่ไม่เอาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัริย์ทรงเป็นประมุข หนุนทักษิณ เป็นหัวขบวน
อย่างไรก็ตาม มวลชนคนคลั่งทักษิณกลุ่มใหม่ ที่เสนอตัวเข้าร่วมชุมนุมหน้าทำเนียบฯ อย่างเหนียวแน่นทุกคืน คือ มวลชนจากตำรวจ และครอบครัว ที่มีการจัดตั้งเตรียมไว้ก่อน โดยตัวเลขที่คิดตามทะเบียนประชากรตำรวจในกทม.มีมากกว่า 2 หมื่นครอบครัว นช.ทักษิณ รู้ความจริงตรงนี้ เลยส่งเสียเงินให้กับตำรวจระดับผู้กำกับคนละ 5หมื่นบาท ต่อเดือน เอาไปดูแลลูกน้อง
พอถึงวันชุมนุมจึงมีตำรวจทุกระดับชั้นและครอบครัว ตบเท้าเข้าร่วมจำนวนมาก และเติมเต็มให้กับม็อบทุกคืน และยังปรากฏว่าตำรวจต่างจังหวัดจากภาคอีสาน และเหนือ ก็ขนลูกเมียมาร่วมด้วย จนบางแห่งโรงพักแทบร้าง
ม็อบขาพื้นที่ส่งมาจาก “สำนักสงฆ์จานบิน” จัดว่าเป็นกำลังหลัก นับได้เรือนหมื่น และเป็นหน่วยขนเสบียงกรังมาอุดหนุนไม่ให้ขาด เมื่อรวมกับ “ม็อบเติมเงิน” จากที่ ส.ส.เพื่อไทยและกลุ่มบ้านเลขที่ 111 และ109 ช่วยกันขนมาจากทั่วประเทศแล้ว
จึงปรากฏจำนวนม็อบหน้าทำเนียบฯ หนาตากว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงทุกครั้ง
จำนวนม็อบประมาณนี้ทุกวัน ทีมกุนซือ นช.ทักษิณประเมินว่า มีพลังพอแล้วที่จะนำเข้าสู่สถานการณ์ “ปฏิวัติประชาชน” ตามความมุ่งหมายที่ได้วางกันไว้
อีกทั้ง เมื่อพิจารณากำลังของฝ่ายรัฐบาล ที่จะเป็นแนวต้านการปฏิวัติประชาชนของคนเสื้อแดง นช.ทักษิณรับรู้ด้วยตัวเองแล้วว่าไม่มีปัญหา ปันใจให้คนเสื้อแดงทั้งตำรวจ และกองทัพ
ในวงการตำรวจ มีสมาคมบางแห่งที่เป็นศูนย์รวมของ “ตำรวจแก่” ที่ยังไม่ปล่อยวางจากอำนาจถูกซื้อไปทั้งก๊ก ทำงานเคลื่อนไหวไปในทางที่ลดความเชื่อถือรัฐบาล และทำลายความเชื่อถือของหน่วยงานอิสระบางหน่วยเสมอมา เช่น ออกมาจัดสัมมนาแล้วล่ารายชื่อตำรวจ เพื่อแสดงพลังกดดันหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและยังทำงานใต้ดิน ให้ความคิดยุยงให้ตำรวจรุ่นหลังแข็งขืนต่ออำนาจรัฐของรัฐบาลปัจจุบัน
ทั้งหลายทั้งปวงในการเคลื่อนไหวของตำรวจแก่ ยังมีตำรวจใหญ่ที่มีอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติคอยหนุนอยู่ทุกระยะ นช.ทักษิณ จึงมั่นใจว่า หากเขาเคลื่อนพลออกมาหก่อเหตุ จลาจลเมือง จะไม่มีการต่อต้านจากคนสีกากีอย่างแน่นอน ซึ่งก็ได้เห็นประจักษ์แล้วว่า ความคิดของนช.ทักษิณ ในเรื่องนี้ถูกเกินร้อย
ส่วนกองทัพ ที่ต้องโฟกัสไปที่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการกองทัพบก ถึงแม้จะไม่อาจไว้วางได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จุดหนึ่งของผบ.ทบ. คนนี้ นช.ทักษิณ รู้ดี ตีโจทย์แตกว่า อย่างไรก็ไม่จัดทัพออกมาต้านแผนการของเขาแน่
แม้หากไม่นับเอาความเป็นเพื่อน ตท.10 มาวัดเป็นสายใยความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน ก็ยังเชื่อมั่นว่าผบ.ทบ.อนุพงษ์ จะไม่นำทหารออกมาต้านการปฏิวัติของเขาแน่ เพราะกองทัพท่องคาถาที่ว่า จะต้องรักษาความเป็น Gentleman จะไม่ปราบปรามประชาชน ไม่ว่าจะฆ่าฟันกันล้มตายเท่าไร
นช.ทักษิณ รู้ และหยิบท่าทีเรื่องนี้เป็นความมั่นใจ ในเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับผบ.ทบ. ซึ่งนช.ทักษิณรับรู้ ก็มีอีกหลายเรื่อง
เช่น เรื่องการร่วมงานกันระหว่างนายกฯอภิสิทธิ์กับกองทัพในโครงสร้างอำนาจประเทศนั้น มีสภาพเหมือน“น้ำกับน้ำตาล” ที่ตอนนี้น้ำตาลได้ตกตะกอนนอนก้นแล้ว รัฐบาลกับผู้นำกองทัพ ไม่ได้เห็นสอดคล้องกันไปในทุกเรื่อง แต่มักจะขัดแย้งกัน
อาทิ การจัดประชุมผู้นำอาเซียน และคู่เจรจาที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี กองทัพไม่เห็นด้วย เสนอให้จัดประชุมที่อื่น เพราะหวั่นจะมีสถานการณ์ไม่ดีเกิดได้ง่าย แต่นายกฯอภิสิทธิ์ ยืนยันความคิดของตน เพื่อต้องการโปรโมตเมืองพัทยา ให้ธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัว
ข้อหวั่นเกรงของผู้นำกองทัพ ก็อาจจะฟังดูดี แต่ในมุมของนายกฯอภิสิทธิ์ ก็น่าจะถูกกว่า เพราะแม้เมืองพัทยาจะเป็นเมืองเปิดที่ไร้ภูมิคุ้มกันอย่างที่หัวหินมีก็ตาม แต่ในภาคตะวันออกมีทหารประจำการอยู่ ทั้งกองทัพบก และกองทัพเรือ จะมาห่วงอะไรกับกลุ่มโจรเสื้อแดง
นี่ยังไม่รวมในเรื่องของสองคนที่ไม่ค่อยลงรอยกัน ด้วยเหตุที่ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรจะได้รับเกียรติการพินอบพิเทา เอาใจ อย่างที่เคยได้จากนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ ที่คนหนึ่งจะให้ความเกรงใจไปทุกเรื่อง ส่วนอีกคนก็หงอไปได้ทุกเรื่อง
แต่เด็กทารกคนนี้ไม่เคยแสดงท่าทีอย่างที่สองคนนั้นให้เลย
นอกจากนี้ ยังมีการเดินเกมการเมืองของอีกฝ่ายที่อยู่ในซีกรัฐบาล ที่ฝ่ายนี้มีอิทธิพลในกองทัพต้องการกดบารมีของอภิสิทธิ์ ไม่ให้ลอยฟูขึ้นมามากกว่านี้ ขณะเดียวกันหากได้จังหวะก็เสียบสกัด รอวันเด็กน้อยคนนี้ล้มคว่ำ และเมื่อมี วิกฤติการเมืองเกิดกับผู้นำก็จะเป็นวันที่กลุ่มอำนาจกลุ่มนี้ ที่มีสีเขียว และสีน้ำเงิน เป็นฐาน ก้าวขึ้นมาเสวยอำนาจแทน
กลไกอำนาจรัฐไม่ใช่ของรัฐบาล ตำรวจเอียงข้างเสื้อแดง กองทัพก็วิเคราะห์ภารกิจไปในเชิงมีวาระซ่อนเร้น มีหรือแร้งที่หิวโหยอำนาจอย่าง นช.ทักษิณ จะทิ้งโอกาสเช่นนี้ให้หลุดมือไป
ปฏิบัติการเผาบ้านเผาเมืองให้พินาศหายนะจึงเปิดฉากขึ้น เริ่มยุทธการล้มการประชุมผู้นำอาเซียน และคู่เจรจา ที่โรงแรมรอยัลคลิฟ บีช เมืองพัทยา จบศึกลงอย่างง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ทั้งที่มีตำรวจและทหาร ตั้งกองทัพรับมืออยู่นับหมื่นนาย แต่ไม่มีค่ำสั่งจากผู้บังคับบัญชาใ ห้เคลื่อนที่ออกมาต่อต้านม็อบ หรือที่ได้เห็นก็เพียงแต่ผลักดันกันพอเป็นพิธีเท่านั้น
ภาพบอกได้ว่า ความไม่ลงรอยกันของฝ่ายอำนาจรัฐในยุคนี้ ถ่างกว้างจริงๆ
ฝ่ายนช.ทักษิณ ได้ใจ ประกาศชัยชนะของการปฏิวัติประชาชนบนความหายนะของชาติทันที มิหนำซ้ำคืนวันนั้น เขาได้รับข้อเสนอจากวอร์รูมว่า ต้องรุกให้หนักในทางยุทธวิธี จึงเป็นที่มาของการประกาศ
ต้องเอาประชาธิปไตยที่แท้จริง “เปรม-สุรยุทธ์ ลาออก” หรือ “อภิสิทธิ์ลาออก-ยุบสภา” ไม่พอ ซึ่งเป็นการเพิ่มความมั่นหมาย และแบไต๋-ล้มชาติคว่ำสถาบันฯ กันเลยทีเดียว
สถานการณ์รุกไล่อภิสิทธิ์ ให้จนมุมเดินหน้าอย่างหนัก การรุกไล่ไปหมายเข่นฆ่า นายกฯอภิสิทธิ์ถึงกระทรวงมหาดไทย ในบ่ายวันเสาร์ที่ 12 เม.ย. เป็นภาพเหตุการณ์ที่สะเทือนใจแก่คนทุกระดับ
กลุ่มฮาร์ดคอร์ ของเสื้อแดงรุมกระหน่ำทุบรถขบวนของนายกฯอภิสิทธิ์ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่แสดงให้เห็นถึงความบ้าคลั่ง ป่าเถื่อน มีเจตนาจะฆ่านายกฯอภิสิทธิ์ ให้ตายคามือ
แต่ในท่ามกลางความเศร้าสลดใจ และหวาดหวั่นต่อการกระทำที่เลวร้ายนั้น นช.ทักษิณ คงสะใจย่ามใจ ที่ได้เข้าไปประกาศอำนาจเถื่อนในกระทรวงดูและรักษาความมั่นคงในประเทศ
อภิสิทธิ์ มีโชค ชะตายังไม่ถึงฆาตที่จะต้องได้รับบาดเจ็บ หรือสิ้นชีวิต เป็นครั้งที่สองในรอบไม่กี่วันก่อนหน้าการประชุมผู้นำอาเซียนจะเริ่ม เขาก็โดนล้อมกรอบ เกือบถูกทำร้ายในรถมาแล้ว แต่รอดมาได้ราวปฏิหารย์
แต่ “เลขาฯนิพนธ์”ไม่เป็นเช่นนั้น เขาถูกกระชากตัวออกจากรถเก๋งที่อยู่สภาพพังยับเยินไปด้วยน้ำมือของคนเสื้อแดง จังหวะนั้นเป็นตายเท่ากัน นิพนธ์ ถูกรุมยำ ทุบทึ้งน่วม หัวแตกและซี่โครงหัก แต่ก็ยัง ไม่ถึงตาย
คนที่ร่วมชะตากรรมในมหาดไทยเห็นแล้วบางคนเหงื่อแตกท่วมกาย กลัวจนตัวสั่น ทั้งๆที่เป็นทหารกรำศึกสงครามมามาก วันนี้ก็เป็นเสนาบดี เลยสั่งให้บอดี้การ์ด ยิงปืนขึ้นฟ้าหลายชุดเพื่อสกัดเสื้อแดงที่กำลังบ้าคลั่งไม่ให้เข้าใกล้
ไม่เพียงแต่จะสะเทือนใจคนทั่วไป แต่ “ผู้ใหญ่” ท่านหนึ่งที่ นิพนธ์ ให้ความเคารพสุดชีวิต ก็รับไม่ได้กับเหตุที่เกิดกับนิพนธ์ครั้งนี้ จึงเป็นสัญญาณในทางบวกให้แก่ อภิสิทธิ์ ที่ส่งไปให้เหล่าคนคุมกำลังตำรวจและทหารคลายปมที่คาใจเลยแทงกั๊ก หันมาทำหน้าที่หนุนรัฐบาล
กระนั้นก็ตาม ก่อนการประชุมจัดทัพรับมือคนเสื้อแดงเผาชาติ นายกฯอภิสิทธิ์ ได้เรียก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เข้ามายื่นคำขาด ภารกิจกู้ชาติที่จะเดินหน้าต่อไปในอีกไม่กี่ชั่วโมง มีตำแหน่งผบ.ตร.เป็นเดิมพัน
ย่อมเป็นการส่งเสียงไปถึงหัวหน้าหน่วยคุมกำลังในกองทัพคนอื่นๆ ด้วย
คนที่เก็บงำความลับอยู่ในมาดขรึม แต่การแสดงออกได้เผยให้รู้ความจริงแล้วว่า คนๆนี้เอนเอียงไปทางสีแดง แทงกั๊ก และแทงข้างหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์ มาตลอด
การประชุมวางแผนยุทธการปราบกบฏเสื้อแดง และผีบุญทักษิณ ได้จัดขึ้นที่ ร.1 รอ. ถนนวิภาวดีรังสิต โดยมีนายกฯอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่อ่อนแอจนพี่เมียต้องเจ็บปางตาย และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมืองมีเท่านี้ ส่วนกองทัพก็มีบุคคลเท่าที่เห็นในภาพเท่านั้น
คนติดตามทุกระดับไม่มีใครได้ไปเสนอหน้า เพราะคนพวกนี้มีหนอนบ่อนไส้อยู่ด้วย ทำให้ความลับของโต๊ะวางแผนไม่รั่วไปเข้าหูฝ่ายผีบุญทักษิณ เหมือนการเคลื่อนไหวในทางลับของรัฐบาลที่ผ่านมา จะถูกส่งต่อ เปิดลับให้นช.ทักษิณ รู้ทุกเรื่อง
นายกฯอภิสิทธิ์ มีโชคเข้าข้าง แต่ไม่เสี่ยงที่จะเดินแผนที่ล่อแหลมไปตกหลุมพรางของฝ่ายกบฏทักษิณ ที่ส่งเศษสวะเสื้อแดง ออกมาทำการวินาศกรรมเมือง ไม่ว่าจะเป็นการยึดรถก๊าซ ที่สามเหลี่ยมดินแดง หรือที่บริเวณสี่แยกศรีอยุธยา ที่เข็นรถเมล์เข้าชนปั๊มน้ำมัน ซึ่งเสื้อแดงต้องการให้รัฐบาลโต้กลับด้วยความรุนแรง
การควบคุมสถานการณ์ดำเนินไปบนความอดทนต่อการใช้ความรุนแรง ยั่วยุ และนายกฯอภิสิทธิ์ยังโชคเข้าข้าง ที่มีกลุ่มประชาชนออกมาช่วยเปิดศึกกดดันให้คนเสื้อแดงปะทะศึกสองด้าน จนพ่ายไปในทุกพื้นที่
หัวหน้ากบฏตัวจริง ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่รู้ว่าจุดจบของตนใกล้มาถึง วันสงกรานต์ที่ 13 เม.ย. เขาจึงสั่งให้คนเสื้อแดง ในแนวหน้ากล้าตายที่รวมพลมาจาก“ดอนเมือง –ปทุมธานี-นครปฐม” ออกเผาเมืองหลวง แต่ถูกประชาชนออกมาต้าน จนล่าถอยไปอย่างแทบเอาชีวิตไม่รอดทุกแห่ง เช่นที่ ซ.เพชรบุรี 5 และ 7 ที่มีชาวมุสลิมผู้รักสันติ และกลุ่มกองกำลังของ “อาม่า ใจดี” รวมพลังกันต่อสู้จนชนะเหนือคนเสื้อแดง เป็นวีรกรรมที่ไม่ต่างจาก “ชาวบ้านบางระจัน”
ไม่ต่างจากกลุ่มประชาชนย่านตลาดนางเลิ้ง ที่คนเสื้อแดงควบมอเตอร์ไซค์ และซุ่มอยู่ในบริเวณนั้นใช้ปืนอูซี่กราดยิงเข้ามา จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านเสียชีวิต 2 คน หากชาวตลาดนางเลิ้ง ไม่ออกมาลุยกับกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยความกล้าหาญแล้ว ตลาดนางเลิ้ง วอดวายเป็นเถ้าไปแล้ว เนื่องจากตำรวจ พากันมุดหัวไปตั้งด่านอยู่ในซอย ทหารก็ยังมาไม่ถึง นี่ก็เป็นวีรกรรมที่น่ายกย่องยิ่ง
กบฏเสื้อแดงพ่ายแพ้อย่างหมดรูป แต่ยังไม่ราบคาบ การตัดสินใจยุติการชุมนุม และเข้ามอบตัวของแกนนำอย่าง นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ยังไม่ถือว่าเป็นฉันทามติของกบฏ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็คือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายจักรภพ เพ็ญแข ที่ยังหลบหนีข้อหาและการจับกุมของตำรวจ และกลุ่มเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่ง ที่ไปปักหลักชุมนุมกันต่อที่สนามหลวง
ส่วนหัวหน้ากบฏ ทักษิณ ชินวัตร ตอนนี้ไม่รู้มุดหัวอยู่ที่ไหน รวมทั้งบรรดาลูกเมีย และพี่น้อง ป่านนี้คงเจ็บที่สุดในชีวิต ที่เสี่ยงกับโชค แต่โชคไม่เข้าข้าง จึงพังพินาศ คราวนี้ตระกูลชินวัตร ที่ร่วมกันประกาศชัยชนะจากการล้มประชุมผู้นำอาเซียน นายกฯอภิสิทธิ์ คงไม่ลืมที่จะจัดให้คนในตระกูลนี้ เป็นศัตรูของชาติ
ไม่ว่าจะเป็น เยาวภา เยาวเรศ ยิ่งลักษณ์ และพายัพ ต่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏครั้งนี้ด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งรู้กันว่าคนเหล่านี้ทำหน้าที่จ่ายเงินจ้างม็อบ พอมีข่าวพวกนี้เผ่นหนีออกไปแล้ว ม็อบตามหัวเมืองที่จะก่อหวอดขึ้นมาอีก ก็ฝ่อลงโดยไม่ต้องสลาย
การปราชัยของ นช.ทักษิณ ที่วันนี้มีข้อหากบฏติดตัวไปอีกหนึ่งข้อหา เกิดขึ้นจากการับรู้ข้อมูลข่าวสารความลับภายใน ของโครงสร้างอำนาจรัฐที่ไม่มีเอกภาพ ขาดความสามัคคี กำลังแย่งชิงอำนาจกันอยู่ อีกทั้งประเมินนายอภิสิทธิ์ เป็นเด็กไร้เดียงสา คงไม่อาจพลิกสถานการณ์มาต่อกรกับตนได้
และความผิดพลาดการศึกจุดสำคัญ คือ เป็นความโง่อย่างยิ่งที่เปิดฉากการรบโดยไม่ดูปฏิทิน รบในช่วงสงกรานต์ เป็นเรื่องที่ผิดต่อการวางแผนทำสงครามอย่างมาก เพราะคนไทยกับเทศกาลสงกรานต์นั้นเป็นช่วงเวลาของความสุข สนุกสนาน แต่ปีนี้คนเสื้อแดงกลับทำให้เป็น “สงกรานต์เลือด” จึงขัดต่ออารมณ์และความรู้สึกของมวลมหาประชาชน
การปฏิวัติประชาชน แต่ทำร้ายจิตใจมวลชน ไม่เอามวลชน ก็ต้องเป็นกบฏ
สถานการณ์บ้านเมืองต่อจากนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ จะพบกับปัญหาการบ่อนทำลายความมั่นคงและเสถียรภาพของรัฐบาลรอบด้าน โดยกลุ่มกบฏทักษิณ ที่จะเปิดศึกรอบใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นงานหนักที่รัฐบาลอภิสิทธิ์จะต้องรับมือ
การปราบปรามกบฏเสื้อแดงสำเร็จนั้น ไม่ได้มาด้วยฝีมืออย่างเดียว แต่มีส่วนของโชคช่วยอยู่มาก การบริหารประเทศของรัฐบาลอภิสิทธิ์ จะพึ่งโชคเข้าข้างอย่างเดียวตลอดเวลาทุกๆ เรื่องไม่ได้
ถึงเวลาแล้ว ที่นายกฯอภิสิทธิ์ จะต้องเช็กบิลบรรดาขุนพลในส่วนความมั่นคงของรัฐบาล และในส่วนของตำรวจ และทหาร เพราะได้เห็นความจริงทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง กันทุกคนแล้วว่าใครเป็นอย่างไร
กงล้อแห่งโชคหมุนไปไม่หยุด
ถ้าวันไหนดวงตก คนข้างกายคิดการใหญ่ขึ้นมาอีก รัฐบาลคงจบแน่
นช.ทักษิณ ชินวัตร เป่านกหวีดให้กองกำลังคนเสื้อแดงออกมาก่อวินาศกรรมประเทศไทย และในวันนี้เขาและคนเสื้อแดงถูกรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปราบปรามพ่ายแพ้ไปหมดรูป ตกอยู่ในชะตากรรมของกบฏ
ปฏิบัติการยุทธการยึดประเทศไทยของนช.ทักษิณ เป็นอีกบทสรุปหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์การต่อสู้ที่ “เสี่ยงกับโชค แต่โชคไม่เข้าข้าง”
เมื่อนช.ทักษิณ ตัดสินใจออกคำสั่งกองกำลัง“คนเสื้อแดง” ออกมาเผาบ้านเผาเมือง อาจมองได้ว่าเป็นการเดินทัพบนพื้นฐานแผนการที่กำหนดมาก่อนเป็นอย่างดี เคลื่อนพล และยุทธวิธีมาตามลำดับขั้นตอนของแผนทุกประการ
“แผนตากสิน” แผนยุทธศาสตร์ที่ถูกแฉออกมารู้กันไปทั้งเมืองก่อนหน้านี้
นช.ทักษิณสั่งรวมพลครั้งใหญ่ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 26 มีนาคม เปิดตัวเปิดหน้า เป็นผู้นำการต่อสู้ผ่านวิดีโอลิงก์เข้ามาปลุกเร้าม็อบทุกค่ำคืน พร้อมประกาศความมุ่งหมายออกมาชัดเจน จะจะ
ล้มระบบอำมาตยธิปไตย และเอาประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืน
โจมตีองคมนตรีเป็นกลยุทธ์เปิดศึก แฉชื่อให้หายสงสัยกันเลย ใครเป็น “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”-พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยไม่กลัวเกรงที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์กระทบกระเทือน และยังสอยเอา พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ร่วงลงมาคลุกกับความชั่วที่ นช.ทักษิณ พยายามขุดเรื่องมาป้ายสี รวมทั้งองคมนตรีอีกหลายท่านอย่าง พลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ก็ถูกใส่ร้ายว่า อยู่ในขบวนการจ้องพิฆาตทักษิณ
นช.ทักษิณ กล่าวหา “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ปล้นอำนาจโดยมีกองทัพจับมือนักการเมืองที่เนรคุณต่อเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง เปิดประเด็นนี้ปลุกปั่นให้คนไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เพื่อมุ่งหวังให้เกิด “อนาธิปไตย”ในแผ่นดินไทย
ถึงตัวจะอยู่ต่างแดน บางวันไกลไปถึง ดูไบ แต่บางวันขยับมาใกล้แค่เกาะกง หรือเกาะช้าง แต่หูตาของนช.ทักษิณ ก็สามารถส่องเข้ามาตรวจสอบความเคลื่อนไหว และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในระหว่างการศึกยุทธการยึดประเทศไทยวันต่อวัน ได้อย่างละเอียด
จาก“วอร์รูม”อยู่ที่ “อาคารชินวัตร” ที่มีขุนพลที่เขาเชื่อใจ อย่าง “มิ้ง-อ้วน–เกรียง–จา” เกาะกลุ่มกับ “พวกซ้ายอกหัก” ทำงานการข่าว และวางแผนรบกันทุกนาที
กรองข่าวรอบด้านอย่างไม่มีเล็ดลอด จับวัดกระแสการตอบรับของสังคม กำหนดประเด็นที่จะทิ่มแทงฝ่ายรัฐบาล และกลุ่มบุคคลเป้าหมายในแต่ละวัน รายงานให้ “นายใหญ่” ก่อนจะโผล่เงามาปลุกปั่นยุยงคนเสื้อแดงให้ฮึกเหิม
วิดีโอลิงก์ของนช.ทักษิณ จึงเป็นสิ่งที่เรียกคนเข้ามาร่วมชุมนุมได้มาก ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะสดใหม่ในประเด็นวันต่อวัน และเร้าใจในเนื้อหา จะเท็จหรือจริงเป็นอีกเรื่อง แต่ม็อบเชื่อได้ทุกเรื่อง เนื่องจากคนอยู่ในม็อบเป็นกลุ่มที่หลงใหลคลั่งไคล้ในตัวทักษิณชนิด “นายเจ็บเราเจ็บด้วย” กับอีกพวกคือ พวกที่ไม่เอาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัริย์ทรงเป็นประมุข หนุนทักษิณ เป็นหัวขบวน
อย่างไรก็ตาม มวลชนคนคลั่งทักษิณกลุ่มใหม่ ที่เสนอตัวเข้าร่วมชุมนุมหน้าทำเนียบฯ อย่างเหนียวแน่นทุกคืน คือ มวลชนจากตำรวจ และครอบครัว ที่มีการจัดตั้งเตรียมไว้ก่อน โดยตัวเลขที่คิดตามทะเบียนประชากรตำรวจในกทม.มีมากกว่า 2 หมื่นครอบครัว นช.ทักษิณ รู้ความจริงตรงนี้ เลยส่งเสียเงินให้กับตำรวจระดับผู้กำกับคนละ 5หมื่นบาท ต่อเดือน เอาไปดูแลลูกน้อง
พอถึงวันชุมนุมจึงมีตำรวจทุกระดับชั้นและครอบครัว ตบเท้าเข้าร่วมจำนวนมาก และเติมเต็มให้กับม็อบทุกคืน และยังปรากฏว่าตำรวจต่างจังหวัดจากภาคอีสาน และเหนือ ก็ขนลูกเมียมาร่วมด้วย จนบางแห่งโรงพักแทบร้าง
ม็อบขาพื้นที่ส่งมาจาก “สำนักสงฆ์จานบิน” จัดว่าเป็นกำลังหลัก นับได้เรือนหมื่น และเป็นหน่วยขนเสบียงกรังมาอุดหนุนไม่ให้ขาด เมื่อรวมกับ “ม็อบเติมเงิน” จากที่ ส.ส.เพื่อไทยและกลุ่มบ้านเลขที่ 111 และ109 ช่วยกันขนมาจากทั่วประเทศแล้ว
จึงปรากฏจำนวนม็อบหน้าทำเนียบฯ หนาตากว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงทุกครั้ง
จำนวนม็อบประมาณนี้ทุกวัน ทีมกุนซือ นช.ทักษิณประเมินว่า มีพลังพอแล้วที่จะนำเข้าสู่สถานการณ์ “ปฏิวัติประชาชน” ตามความมุ่งหมายที่ได้วางกันไว้
อีกทั้ง เมื่อพิจารณากำลังของฝ่ายรัฐบาล ที่จะเป็นแนวต้านการปฏิวัติประชาชนของคนเสื้อแดง นช.ทักษิณรับรู้ด้วยตัวเองแล้วว่าไม่มีปัญหา ปันใจให้คนเสื้อแดงทั้งตำรวจ และกองทัพ
ในวงการตำรวจ มีสมาคมบางแห่งที่เป็นศูนย์รวมของ “ตำรวจแก่” ที่ยังไม่ปล่อยวางจากอำนาจถูกซื้อไปทั้งก๊ก ทำงานเคลื่อนไหวไปในทางที่ลดความเชื่อถือรัฐบาล และทำลายความเชื่อถือของหน่วยงานอิสระบางหน่วยเสมอมา เช่น ออกมาจัดสัมมนาแล้วล่ารายชื่อตำรวจ เพื่อแสดงพลังกดดันหน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ตรวจสอบและยังทำงานใต้ดิน ให้ความคิดยุยงให้ตำรวจรุ่นหลังแข็งขืนต่ออำนาจรัฐของรัฐบาลปัจจุบัน
ทั้งหลายทั้งปวงในการเคลื่อนไหวของตำรวจแก่ ยังมีตำรวจใหญ่ที่มีอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติคอยหนุนอยู่ทุกระยะ นช.ทักษิณ จึงมั่นใจว่า หากเขาเคลื่อนพลออกมาหก่อเหตุ จลาจลเมือง จะไม่มีการต่อต้านจากคนสีกากีอย่างแน่นอน ซึ่งก็ได้เห็นประจักษ์แล้วว่า ความคิดของนช.ทักษิณ ในเรื่องนี้ถูกเกินร้อย
ส่วนกองทัพ ที่ต้องโฟกัสไปที่ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการกองทัพบก ถึงแม้จะไม่อาจไว้วางได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่จุดหนึ่งของผบ.ทบ. คนนี้ นช.ทักษิณ รู้ดี ตีโจทย์แตกว่า อย่างไรก็ไม่จัดทัพออกมาต้านแผนการของเขาแน่
แม้หากไม่นับเอาความเป็นเพื่อน ตท.10 มาวัดเป็นสายใยความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน ก็ยังเชื่อมั่นว่าผบ.ทบ.อนุพงษ์ จะไม่นำทหารออกมาต้านการปฏิวัติของเขาแน่ เพราะกองทัพท่องคาถาที่ว่า จะต้องรักษาความเป็น Gentleman จะไม่ปราบปรามประชาชน ไม่ว่าจะฆ่าฟันกันล้มตายเท่าไร
นช.ทักษิณ รู้ และหยิบท่าทีเรื่องนี้เป็นความมั่นใจ ในเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับผบ.ทบ. ซึ่งนช.ทักษิณรับรู้ ก็มีอีกหลายเรื่อง
เช่น เรื่องการร่วมงานกันระหว่างนายกฯอภิสิทธิ์กับกองทัพในโครงสร้างอำนาจประเทศนั้น มีสภาพเหมือน“น้ำกับน้ำตาล” ที่ตอนนี้น้ำตาลได้ตกตะกอนนอนก้นแล้ว รัฐบาลกับผู้นำกองทัพ ไม่ได้เห็นสอดคล้องกันไปในทุกเรื่อง แต่มักจะขัดแย้งกัน
อาทิ การจัดประชุมผู้นำอาเซียน และคู่เจรจาที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี กองทัพไม่เห็นด้วย เสนอให้จัดประชุมที่อื่น เพราะหวั่นจะมีสถานการณ์ไม่ดีเกิดได้ง่าย แต่นายกฯอภิสิทธิ์ ยืนยันความคิดของตน เพื่อต้องการโปรโมตเมืองพัทยา ให้ธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัว
ข้อหวั่นเกรงของผู้นำกองทัพ ก็อาจจะฟังดูดี แต่ในมุมของนายกฯอภิสิทธิ์ ก็น่าจะถูกกว่า เพราะแม้เมืองพัทยาจะเป็นเมืองเปิดที่ไร้ภูมิคุ้มกันอย่างที่หัวหินมีก็ตาม แต่ในภาคตะวันออกมีทหารประจำการอยู่ ทั้งกองทัพบก และกองทัพเรือ จะมาห่วงอะไรกับกลุ่มโจรเสื้อแดง
นี่ยังไม่รวมในเรื่องของสองคนที่ไม่ค่อยลงรอยกัน ด้วยเหตุที่ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าควรจะได้รับเกียรติการพินอบพิเทา เอาใจ อย่างที่เคยได้จากนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ ที่คนหนึ่งจะให้ความเกรงใจไปทุกเรื่อง ส่วนอีกคนก็หงอไปได้ทุกเรื่อง
แต่เด็กทารกคนนี้ไม่เคยแสดงท่าทีอย่างที่สองคนนั้นให้เลย
นอกจากนี้ ยังมีการเดินเกมการเมืองของอีกฝ่ายที่อยู่ในซีกรัฐบาล ที่ฝ่ายนี้มีอิทธิพลในกองทัพต้องการกดบารมีของอภิสิทธิ์ ไม่ให้ลอยฟูขึ้นมามากกว่านี้ ขณะเดียวกันหากได้จังหวะก็เสียบสกัด รอวันเด็กน้อยคนนี้ล้มคว่ำ และเมื่อมี วิกฤติการเมืองเกิดกับผู้นำก็จะเป็นวันที่กลุ่มอำนาจกลุ่มนี้ ที่มีสีเขียว และสีน้ำเงิน เป็นฐาน ก้าวขึ้นมาเสวยอำนาจแทน
กลไกอำนาจรัฐไม่ใช่ของรัฐบาล ตำรวจเอียงข้างเสื้อแดง กองทัพก็วิเคราะห์ภารกิจไปในเชิงมีวาระซ่อนเร้น มีหรือแร้งที่หิวโหยอำนาจอย่าง นช.ทักษิณ จะทิ้งโอกาสเช่นนี้ให้หลุดมือไป
ปฏิบัติการเผาบ้านเผาเมืองให้พินาศหายนะจึงเปิดฉากขึ้น เริ่มยุทธการล้มการประชุมผู้นำอาเซียน และคู่เจรจา ที่โรงแรมรอยัลคลิฟ บีช เมืองพัทยา จบศึกลงอย่างง่ายดายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ทั้งที่มีตำรวจและทหาร ตั้งกองทัพรับมืออยู่นับหมื่นนาย แต่ไม่มีค่ำสั่งจากผู้บังคับบัญชาใ ห้เคลื่อนที่ออกมาต่อต้านม็อบ หรือที่ได้เห็นก็เพียงแต่ผลักดันกันพอเป็นพิธีเท่านั้น
ภาพบอกได้ว่า ความไม่ลงรอยกันของฝ่ายอำนาจรัฐในยุคนี้ ถ่างกว้างจริงๆ
ฝ่ายนช.ทักษิณ ได้ใจ ประกาศชัยชนะของการปฏิวัติประชาชนบนความหายนะของชาติทันที มิหนำซ้ำคืนวันนั้น เขาได้รับข้อเสนอจากวอร์รูมว่า ต้องรุกให้หนักในทางยุทธวิธี จึงเป็นที่มาของการประกาศ
ต้องเอาประชาธิปไตยที่แท้จริง “เปรม-สุรยุทธ์ ลาออก” หรือ “อภิสิทธิ์ลาออก-ยุบสภา” ไม่พอ ซึ่งเป็นการเพิ่มความมั่นหมาย และแบไต๋-ล้มชาติคว่ำสถาบันฯ กันเลยทีเดียว
สถานการณ์รุกไล่อภิสิทธิ์ ให้จนมุมเดินหน้าอย่างหนัก การรุกไล่ไปหมายเข่นฆ่า นายกฯอภิสิทธิ์ถึงกระทรวงมหาดไทย ในบ่ายวันเสาร์ที่ 12 เม.ย. เป็นภาพเหตุการณ์ที่สะเทือนใจแก่คนทุกระดับ
กลุ่มฮาร์ดคอร์ ของเสื้อแดงรุมกระหน่ำทุบรถขบวนของนายกฯอภิสิทธิ์ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่แสดงให้เห็นถึงความบ้าคลั่ง ป่าเถื่อน มีเจตนาจะฆ่านายกฯอภิสิทธิ์ ให้ตายคามือ
แต่ในท่ามกลางความเศร้าสลดใจ และหวาดหวั่นต่อการกระทำที่เลวร้ายนั้น นช.ทักษิณ คงสะใจย่ามใจ ที่ได้เข้าไปประกาศอำนาจเถื่อนในกระทรวงดูและรักษาความมั่นคงในประเทศ
อภิสิทธิ์ มีโชค ชะตายังไม่ถึงฆาตที่จะต้องได้รับบาดเจ็บ หรือสิ้นชีวิต เป็นครั้งที่สองในรอบไม่กี่วันก่อนหน้าการประชุมผู้นำอาเซียนจะเริ่ม เขาก็โดนล้อมกรอบ เกือบถูกทำร้ายในรถมาแล้ว แต่รอดมาได้ราวปฏิหารย์
แต่ “เลขาฯนิพนธ์”ไม่เป็นเช่นนั้น เขาถูกกระชากตัวออกจากรถเก๋งที่อยู่สภาพพังยับเยินไปด้วยน้ำมือของคนเสื้อแดง จังหวะนั้นเป็นตายเท่ากัน นิพนธ์ ถูกรุมยำ ทุบทึ้งน่วม หัวแตกและซี่โครงหัก แต่ก็ยัง ไม่ถึงตาย
คนที่ร่วมชะตากรรมในมหาดไทยเห็นแล้วบางคนเหงื่อแตกท่วมกาย กลัวจนตัวสั่น ทั้งๆที่เป็นทหารกรำศึกสงครามมามาก วันนี้ก็เป็นเสนาบดี เลยสั่งให้บอดี้การ์ด ยิงปืนขึ้นฟ้าหลายชุดเพื่อสกัดเสื้อแดงที่กำลังบ้าคลั่งไม่ให้เข้าใกล้
ไม่เพียงแต่จะสะเทือนใจคนทั่วไป แต่ “ผู้ใหญ่” ท่านหนึ่งที่ นิพนธ์ ให้ความเคารพสุดชีวิต ก็รับไม่ได้กับเหตุที่เกิดกับนิพนธ์ครั้งนี้ จึงเป็นสัญญาณในทางบวกให้แก่ อภิสิทธิ์ ที่ส่งไปให้เหล่าคนคุมกำลังตำรวจและทหารคลายปมที่คาใจเลยแทงกั๊ก หันมาทำหน้าที่หนุนรัฐบาล
กระนั้นก็ตาม ก่อนการประชุมจัดทัพรับมือคนเสื้อแดงเผาชาติ นายกฯอภิสิทธิ์ ได้เรียก พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. เข้ามายื่นคำขาด ภารกิจกู้ชาติที่จะเดินหน้าต่อไปในอีกไม่กี่ชั่วโมง มีตำแหน่งผบ.ตร.เป็นเดิมพัน
ย่อมเป็นการส่งเสียงไปถึงหัวหน้าหน่วยคุมกำลังในกองทัพคนอื่นๆ ด้วย
คนที่เก็บงำความลับอยู่ในมาดขรึม แต่การแสดงออกได้เผยให้รู้ความจริงแล้วว่า คนๆนี้เอนเอียงไปทางสีแดง แทงกั๊ก และแทงข้างหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์ มาตลอด
การประชุมวางแผนยุทธการปราบกบฏเสื้อแดง และผีบุญทักษิณ ได้จัดขึ้นที่ ร.1 รอ. ถนนวิภาวดีรังสิต โดยมีนายกฯอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่อ่อนแอจนพี่เมียต้องเจ็บปางตาย และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมืองมีเท่านี้ ส่วนกองทัพก็มีบุคคลเท่าที่เห็นในภาพเท่านั้น
คนติดตามทุกระดับไม่มีใครได้ไปเสนอหน้า เพราะคนพวกนี้มีหนอนบ่อนไส้อยู่ด้วย ทำให้ความลับของโต๊ะวางแผนไม่รั่วไปเข้าหูฝ่ายผีบุญทักษิณ เหมือนการเคลื่อนไหวในทางลับของรัฐบาลที่ผ่านมา จะถูกส่งต่อ เปิดลับให้นช.ทักษิณ รู้ทุกเรื่อง
นายกฯอภิสิทธิ์ มีโชคเข้าข้าง แต่ไม่เสี่ยงที่จะเดินแผนที่ล่อแหลมไปตกหลุมพรางของฝ่ายกบฏทักษิณ ที่ส่งเศษสวะเสื้อแดง ออกมาทำการวินาศกรรมเมือง ไม่ว่าจะเป็นการยึดรถก๊าซ ที่สามเหลี่ยมดินแดง หรือที่บริเวณสี่แยกศรีอยุธยา ที่เข็นรถเมล์เข้าชนปั๊มน้ำมัน ซึ่งเสื้อแดงต้องการให้รัฐบาลโต้กลับด้วยความรุนแรง
การควบคุมสถานการณ์ดำเนินไปบนความอดทนต่อการใช้ความรุนแรง ยั่วยุ และนายกฯอภิสิทธิ์ยังโชคเข้าข้าง ที่มีกลุ่มประชาชนออกมาช่วยเปิดศึกกดดันให้คนเสื้อแดงปะทะศึกสองด้าน จนพ่ายไปในทุกพื้นที่
หัวหน้ากบฏตัวจริง ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่รู้ว่าจุดจบของตนใกล้มาถึง วันสงกรานต์ที่ 13 เม.ย. เขาจึงสั่งให้คนเสื้อแดง ในแนวหน้ากล้าตายที่รวมพลมาจาก“ดอนเมือง –ปทุมธานี-นครปฐม” ออกเผาเมืองหลวง แต่ถูกประชาชนออกมาต้าน จนล่าถอยไปอย่างแทบเอาชีวิตไม่รอดทุกแห่ง เช่นที่ ซ.เพชรบุรี 5 และ 7 ที่มีชาวมุสลิมผู้รักสันติ และกลุ่มกองกำลังของ “อาม่า ใจดี” รวมพลังกันต่อสู้จนชนะเหนือคนเสื้อแดง เป็นวีรกรรมที่ไม่ต่างจาก “ชาวบ้านบางระจัน”
ไม่ต่างจากกลุ่มประชาชนย่านตลาดนางเลิ้ง ที่คนเสื้อแดงควบมอเตอร์ไซค์ และซุ่มอยู่ในบริเวณนั้นใช้ปืนอูซี่กราดยิงเข้ามา จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านเสียชีวิต 2 คน หากชาวตลาดนางเลิ้ง ไม่ออกมาลุยกับกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยความกล้าหาญแล้ว ตลาดนางเลิ้ง วอดวายเป็นเถ้าไปแล้ว เนื่องจากตำรวจ พากันมุดหัวไปตั้งด่านอยู่ในซอย ทหารก็ยังมาไม่ถึง นี่ก็เป็นวีรกรรมที่น่ายกย่องยิ่ง
กบฏเสื้อแดงพ่ายแพ้อย่างหมดรูป แต่ยังไม่ราบคาบ การตัดสินใจยุติการชุมนุม และเข้ามอบตัวของแกนนำอย่าง นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ยังไม่ถือว่าเป็นฉันทามติของกบฏ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็คือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายจักรภพ เพ็ญแข ที่ยังหลบหนีข้อหาและการจับกุมของตำรวจ และกลุ่มเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่ง ที่ไปปักหลักชุมนุมกันต่อที่สนามหลวง
ส่วนหัวหน้ากบฏ ทักษิณ ชินวัตร ตอนนี้ไม่รู้มุดหัวอยู่ที่ไหน รวมทั้งบรรดาลูกเมีย และพี่น้อง ป่านนี้คงเจ็บที่สุดในชีวิต ที่เสี่ยงกับโชค แต่โชคไม่เข้าข้าง จึงพังพินาศ คราวนี้ตระกูลชินวัตร ที่ร่วมกันประกาศชัยชนะจากการล้มประชุมผู้นำอาเซียน นายกฯอภิสิทธิ์ คงไม่ลืมที่จะจัดให้คนในตระกูลนี้ เป็นศัตรูของชาติ
ไม่ว่าจะเป็น เยาวภา เยาวเรศ ยิ่งลักษณ์ และพายัพ ต่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏครั้งนี้ด้วยอย่างแน่นอน ซึ่งรู้กันว่าคนเหล่านี้ทำหน้าที่จ่ายเงินจ้างม็อบ พอมีข่าวพวกนี้เผ่นหนีออกไปแล้ว ม็อบตามหัวเมืองที่จะก่อหวอดขึ้นมาอีก ก็ฝ่อลงโดยไม่ต้องสลาย
การปราชัยของ นช.ทักษิณ ที่วันนี้มีข้อหากบฏติดตัวไปอีกหนึ่งข้อหา เกิดขึ้นจากการับรู้ข้อมูลข่าวสารความลับภายใน ของโครงสร้างอำนาจรัฐที่ไม่มีเอกภาพ ขาดความสามัคคี กำลังแย่งชิงอำนาจกันอยู่ อีกทั้งประเมินนายอภิสิทธิ์ เป็นเด็กไร้เดียงสา คงไม่อาจพลิกสถานการณ์มาต่อกรกับตนได้
และความผิดพลาดการศึกจุดสำคัญ คือ เป็นความโง่อย่างยิ่งที่เปิดฉากการรบโดยไม่ดูปฏิทิน รบในช่วงสงกรานต์ เป็นเรื่องที่ผิดต่อการวางแผนทำสงครามอย่างมาก เพราะคนไทยกับเทศกาลสงกรานต์นั้นเป็นช่วงเวลาของความสุข สนุกสนาน แต่ปีนี้คนเสื้อแดงกลับทำให้เป็น “สงกรานต์เลือด” จึงขัดต่ออารมณ์และความรู้สึกของมวลมหาประชาชน
การปฏิวัติประชาชน แต่ทำร้ายจิตใจมวลชน ไม่เอามวลชน ก็ต้องเป็นกบฏ
สถานการณ์บ้านเมืองต่อจากนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ จะพบกับปัญหาการบ่อนทำลายความมั่นคงและเสถียรภาพของรัฐบาลรอบด้าน โดยกลุ่มกบฏทักษิณ ที่จะเปิดศึกรอบใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นงานหนักที่รัฐบาลอภิสิทธิ์จะต้องรับมือ
การปราบปรามกบฏเสื้อแดงสำเร็จนั้น ไม่ได้มาด้วยฝีมืออย่างเดียว แต่มีส่วนของโชคช่วยอยู่มาก การบริหารประเทศของรัฐบาลอภิสิทธิ์ จะพึ่งโชคเข้าข้างอย่างเดียวตลอดเวลาทุกๆ เรื่องไม่ได้
ถึงเวลาแล้ว ที่นายกฯอภิสิทธิ์ จะต้องเช็กบิลบรรดาขุนพลในส่วนความมั่นคงของรัฐบาล และในส่วนของตำรวจ และทหาร เพราะได้เห็นความจริงทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง กันทุกคนแล้วว่าใครเป็นอย่างไร
กงล้อแห่งโชคหมุนไปไม่หยุด
ถ้าวันไหนดวงตก คนข้างกายคิดการใหญ่ขึ้นมาอีก รัฐบาลคงจบแน่