ASTVผู้จัดการรายวัน - แบงก์กรุงศรียันไม่ปรับเป้าหมายสินเชื่อหลังไตรมาสแรกสินเชื่อชะลอตัว แต่คาดไตรมาส 2 ดีขึ้นแน่นอนหลังการเข้าซื้อกิจการของเอไอจีได้สำเร็จ คาดหลังรวมพอร์ตสินเชื่อเอไอจีแล้วทำให้ยอดเพิ่มขึ้นอีก 4%ของสินเชื่อรวม
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)หรือ BAY เปิดเผยว่า ในขณะนี้ธนาคารยังคงเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ไว้ที่ 6%เหมือนเดิม แต่อาจจะมีการพิจารณาอีกครั้งโดยจะต้องรอดูภาวะเศรษฐกิจว่าเป็นอย่างไร
สำหรับสินเชื่อรวมในไตรมาส 1 นั้นธนาคารคาดว่าจะชะลอตัวลงซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งในส่วนของธนาคารแห่งอื่นก็คงจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนของสินเชื่อในไตรมาส 2 นั้น น่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากธนาคารได้รับรู้การเข้าซื้อกิจการธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอไอจีคาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด จากบริษัท อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในราคารวม 1,605 ล้านบาท ซึ่งสินเชื่อที่จะรับรู้จากเอไอจีฯจะคิดเป็น 4% ของสินเชื่อรวม
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีแนวทางในการเติบโตในปีนี้โดยการลงทุนในหุ้นกู้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ ซึ่งในปีนี้บริษัทเอกชนจะมีแนวโน้มในการระดมทุนเพื่อมาลงทุนในโครงการภาครัฐ เช่น โครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน อีกทั้งธนาคารยังมีแผนที่จะซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ธนาคารเติบโตได้
"เรายังไม่ได้ปรับเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อลง เพราะต้องการจะเป็นเป้าหมายในการทำงาน อีกทั้งในช่วงไตรมาสแรกที่สินเชื่อลดลงก็ถือว่าเป็นไปตามฤดูกาลของสินเชื่ออยู่แล้ว อีกทั้งในช่วงดังกล่าวยังมีวันหยุดค่อนข้างจะมากด้วย"
อย่างไรก็ตาม ธนาคารมองว่าภาวะเศรษฐกิจของเดือน เม.ย. 2552 ดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค.-ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารเองก็อยากเห็นการท่องเที่ยวและการส่งออกโตขึ้น
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) แถลงว่า เมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ธนาคารได้เข้าซื้อกิจการธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอไอจีคาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด จากบริษัท อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในราคารวม 1,605 ล้านบาท หลังจากที่ได้มีการประกาศทำสัญญาซื้อกิจการเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา โดยการเข้าซื้อกิจการสองบริษัทดังกล่าว ทำให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาฯ มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 32,800 ล้านบาท สินเชื่อเพิ่มขึ้น 21,900 ล้านบาท เงินฝากเพิ่มขึ้น 18,600 ล้านบาท และบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นประมาณ 222,000 บัตร
โดยหลังการเข้าซื้อธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอไอจีคาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด เสร็จสมบูรณ์ ตามเวลาที่กำหนดไว้ การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ช่วยผลักดันให้สัดส่วนสินเชื่อรายย่อยต่อสินเชื่อรวมของธนาคารเพิ่มขึ้น จาก 32% เป็น 36% และเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ที่สำคัญประการหนึ่งของธนาคารที่จะเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจปกติ
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)หรือ BAY เปิดเผยว่า ในขณะนี้ธนาคารยังคงเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อในปีนี้ไว้ที่ 6%เหมือนเดิม แต่อาจจะมีการพิจารณาอีกครั้งโดยจะต้องรอดูภาวะเศรษฐกิจว่าเป็นอย่างไร
สำหรับสินเชื่อรวมในไตรมาส 1 นั้นธนาคารคาดว่าจะชะลอตัวลงซึ่งเป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งในส่วนของธนาคารแห่งอื่นก็คงจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ส่วนของสินเชื่อในไตรมาส 2 นั้น น่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากธนาคารได้รับรู้การเข้าซื้อกิจการธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอไอจีคาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด จากบริษัท อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในราคารวม 1,605 ล้านบาท ซึ่งสินเชื่อที่จะรับรู้จากเอไอจีฯจะคิดเป็น 4% ของสินเชื่อรวม
นอกจากนี้ ธนาคารยังมีแนวทางในการเติบโตในปีนี้โดยการลงทุนในหุ้นกู้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ ซึ่งในปีนี้บริษัทเอกชนจะมีแนวโน้มในการระดมทุนเพื่อมาลงทุนในโครงการภาครัฐ เช่น โครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน อีกทั้งธนาคารยังมีแผนที่จะซื้อกิจการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็จะเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ธนาคารเติบโตได้
"เรายังไม่ได้ปรับเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อลง เพราะต้องการจะเป็นเป้าหมายในการทำงาน อีกทั้งในช่วงไตรมาสแรกที่สินเชื่อลดลงก็ถือว่าเป็นไปตามฤดูกาลของสินเชื่ออยู่แล้ว อีกทั้งในช่วงดังกล่าวยังมีวันหยุดค่อนข้างจะมากด้วย"
อย่างไรก็ตาม ธนาคารมองว่าภาวะเศรษฐกิจของเดือน เม.ย. 2552 ดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค.-ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารเองก็อยากเห็นการท่องเที่ยวและการส่งออกโตขึ้น
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) แถลงว่า เมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ธนาคารได้เข้าซื้อกิจการธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอไอจีคาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด จากบริษัท อเมริกัน อินเตอร์แนชชั่นแนล กรุ๊ป อิงค์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในราคารวม 1,605 ล้านบาท หลังจากที่ได้มีการประกาศทำสัญญาซื้อกิจการเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา โดยการเข้าซื้อกิจการสองบริษัทดังกล่าว ทำให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาฯ มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 32,800 ล้านบาท สินเชื่อเพิ่มขึ้น 21,900 ล้านบาท เงินฝากเพิ่มขึ้น 18,600 ล้านบาท และบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นประมาณ 222,000 บัตร
โดยหลังการเข้าซื้อธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอไอจีคาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด เสร็จสมบูรณ์ ตามเวลาที่กำหนดไว้ การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ช่วยผลักดันให้สัดส่วนสินเชื่อรายย่อยต่อสินเชื่อรวมของธนาคารเพิ่มขึ้น จาก 32% เป็น 36% และเป็นการตอกย้ำกลยุทธ์ที่สำคัญประการหนึ่งของธนาคารที่จะเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจปกติ