ASTVผู้จัดการรายวัน – ผู้บริหารบริษัทอสังหาฯ ระบุ แม้ผู้ประกอบการหยุดพัฒนาโครงการใหม่ แต่สต๊อกบ้านในตลาดรวม สามารถรองรับความต้องการได้อีกกว่า2ปี "แฮปปี้แลนด์ฯ"แจงไม่ขึ้นโครงการใหม่ เหตุจัดสรรงัดกลยุทธ์ราคาระบายสต๊อก ลูกค้าชะลอซื้อ หวั่นปัญหาการเมือง-เศรษฐกิจ ด้าน “ชาญอิสระ” เผยแผนระยะยาวเน้นเพิ่มสัดส่วนรายได้จากค่าเช่า
นายชยวีร์ คีตวรนาฏ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แฮปปี้แลนด์กรุ๊ป กล่าวว่าปัญหาในขณะนี้ของตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์ ก็คือ จำนวนที่อยู่อาศัยคงค้าง(สต๊อก)ในตลาดรวม ยังมีจำนวนเยอะมาก แม้ว่าผู้ประกอบการทุกรายจะชะลอพัฒนาโครงการใหม่ แต่สต๊อกในตลาดขณะนี้ก็ยังสามารถรองรับความต้องการได้ถึง 2ปี ซึ่งบริษัทไม่ต้องการแบกภาระต้นทุนจากสต๊อกบ้านในพอร์ตสูงเกินไป เนื่องจากบริษัทจะใช้แหล่งเงินจากกระแสเงินสดในสัดส่วนสูงถึง 70% และพึ่งแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงินเพียง 30%
โดยในปี51 บริษัทมีสต๊อกบ้านอยู่ในพอร์ตกว่า 100 ยูนิต จาก 4 โครงการ ประกอบด้วยโครงการในย่านลาดพร้าว 50 ยูนิต จากเดิมที่มีอยู่ทั้งหมด 100ยูนิต โครงการย่านบางพลี 18ยูนิต โครงการ Hcape 14 ยูนิต ที่เหลือจะเป็นสต๊อกในโครงการบ้านเดี่ยวบางปู ดังนั้น ในปี 52 จึงเป็นปีแห่งการระบายสต๊อก ทั้งนี้ ในช่วง3เดือนแรกของที่ผ่านมา บริษัทยังไม่สามารถสร้างยอดขายจากโครงการใด เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในตลาด มีการอัดแคมเปญการตลาดแข่งขันกัน โดยใช้กลยุทธ์เรื่องราคาเป็นหลัก ในขณะที่บริษัทไม่สามารถลดราคาสินค้าได้มากเท่ากับผู้ประกอบการรายอื่นๆ
ด้านนายสงกรานต์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯในช่วง3เดือนแรกของปี 52 ค่อนข้างซบเซามาก โดยบริษัทมียอดขาย1-2 ยูนิตต่อเดือน สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อต่อเนื่อง ซึ่งปัญหาหลักเกิดมาจากปัญหาการถดถอยของเศรษฐกิจและปัญหาการเมืองเป็นสำคัญ
ส่วนภาพรวมของการลงทุนพัฒนาโครงการของผู้ประกอการอสังหาฯนั้น แม้ว่าหลายฝ่าย โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีสภาพคล่องทางการเงินสูงจะมองว่าช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีทางธุรกิจ ที่จะหาซื้อโครงการที่ขาดสภาพคล่อง และที่ดินศักยภาพ เหมาะพัฒนาโครงการในอนาคต เนื่องจากสามารถต่อรองราคาได้สูง หรือเป็นช่วงที่ราคาที่ดินปรับตัวลดลงนั้น ส่วนตัวมองว่า ภาวะการเมืองและเศรษฐกิจขณะนี้ ยังไม่เหมาะสมในการลงทุนใดๆทั้งสิ้น ซึ่งในส่วนของบริษัทชาญอิสระฯนั้น ยังไม่มีนโยบายลงทุนซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ แต่จะหันมามุ่งเน้นระบายสต๊อกบ้านที่อยู่ในพอร์ตออกไปให้ได้มากที่สุด
สำหรับปี52นี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้รวมเท่ากับปีที่ผ่านมาคือ1,100ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้จากการขาย70% และรายได้จากการเช่า30% ส่วนในปี53ปริษัทจะเริ่มปรับสัดส่วนรายได้จากการเช่าเพิ่มเป็น40% และรายได้จากการขายจะลดมาอยู่ที่ 60% เนื่องจากในปีหน้า ธุรกิจโรงแรมในโครงการศรีพันวา ภูเก็ต จะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งจะสนับสนุนรายได้ในส่วนธุรกิจการเช่าให้เพิ่มขึ้น
นายชยวีร์ คีตวรนาฏ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แฮปปี้แลนด์กรุ๊ป กล่าวว่าปัญหาในขณะนี้ของตลาดรวมอสังหาริมทรัพย์ ก็คือ จำนวนที่อยู่อาศัยคงค้าง(สต๊อก)ในตลาดรวม ยังมีจำนวนเยอะมาก แม้ว่าผู้ประกอบการทุกรายจะชะลอพัฒนาโครงการใหม่ แต่สต๊อกในตลาดขณะนี้ก็ยังสามารถรองรับความต้องการได้ถึง 2ปี ซึ่งบริษัทไม่ต้องการแบกภาระต้นทุนจากสต๊อกบ้านในพอร์ตสูงเกินไป เนื่องจากบริษัทจะใช้แหล่งเงินจากกระแสเงินสดในสัดส่วนสูงถึง 70% และพึ่งแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงินเพียง 30%
โดยในปี51 บริษัทมีสต๊อกบ้านอยู่ในพอร์ตกว่า 100 ยูนิต จาก 4 โครงการ ประกอบด้วยโครงการในย่านลาดพร้าว 50 ยูนิต จากเดิมที่มีอยู่ทั้งหมด 100ยูนิต โครงการย่านบางพลี 18ยูนิต โครงการ Hcape 14 ยูนิต ที่เหลือจะเป็นสต๊อกในโครงการบ้านเดี่ยวบางปู ดังนั้น ในปี 52 จึงเป็นปีแห่งการระบายสต๊อก ทั้งนี้ ในช่วง3เดือนแรกของที่ผ่านมา บริษัทยังไม่สามารถสร้างยอดขายจากโครงการใด เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในตลาด มีการอัดแคมเปญการตลาดแข่งขันกัน โดยใช้กลยุทธ์เรื่องราคาเป็นหลัก ในขณะที่บริษัทไม่สามารถลดราคาสินค้าได้มากเท่ากับผู้ประกอบการรายอื่นๆ
ด้านนายสงกรานต์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯในช่วง3เดือนแรกของปี 52 ค่อนข้างซบเซามาก โดยบริษัทมียอดขาย1-2 ยูนิตต่อเดือน สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อต่อเนื่อง ซึ่งปัญหาหลักเกิดมาจากปัญหาการถดถอยของเศรษฐกิจและปัญหาการเมืองเป็นสำคัญ
ส่วนภาพรวมของการลงทุนพัฒนาโครงการของผู้ประกอการอสังหาฯนั้น แม้ว่าหลายฝ่าย โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีสภาพคล่องทางการเงินสูงจะมองว่าช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีทางธุรกิจ ที่จะหาซื้อโครงการที่ขาดสภาพคล่อง และที่ดินศักยภาพ เหมาะพัฒนาโครงการในอนาคต เนื่องจากสามารถต่อรองราคาได้สูง หรือเป็นช่วงที่ราคาที่ดินปรับตัวลดลงนั้น ส่วนตัวมองว่า ภาวะการเมืองและเศรษฐกิจขณะนี้ ยังไม่เหมาะสมในการลงทุนใดๆทั้งสิ้น ซึ่งในส่วนของบริษัทชาญอิสระฯนั้น ยังไม่มีนโยบายลงทุนซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ แต่จะหันมามุ่งเน้นระบายสต๊อกบ้านที่อยู่ในพอร์ตออกไปให้ได้มากที่สุด
สำหรับปี52นี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้รวมเท่ากับปีที่ผ่านมาคือ1,100ล้านบาท แบ่งสัดส่วนรายได้จากการขาย70% และรายได้จากการเช่า30% ส่วนในปี53ปริษัทจะเริ่มปรับสัดส่วนรายได้จากการเช่าเพิ่มเป็น40% และรายได้จากการขายจะลดมาอยู่ที่ 60% เนื่องจากในปีหน้า ธุรกิจโรงแรมในโครงการศรีพันวา ภูเก็ต จะเสร็จสมบูรณ์ ซึ่งจะสนับสนุนรายได้ในส่วนธุรกิจการเช่าให้เพิ่มขึ้น