ชิมแปนซีทำ ‘ข้อตกลง’ ยื่นหมูยื่นแมวระหว่างเนื้อกับเซ็กซ์ นักวิจัยพบชิมแปนซีตัวผู้ที่ยินดีแบ่งเนื้อที่ล่ามาได้มีโอกาสผสมพันธุ์มากกว่าชิมแปนซีเพศเดียวกันที่ขี้หวง
ข้อตกลงนี้เป็นการแลกเปลี่ยนระยะยาว ดังนั้น ชิมแปนซีตัวผู้ที่ยังคงแบ่งเนื้อให้ตัวเมียที่ไม่ได้อยู่ในช่วงเจริญพันธุ์ จึงยังคงมีโอกาสผสมพันธุ์ต่อเนื่องเมื่อตัวเมียตัวนั้นพร้อม
คริสตินา โกเมส และนักวิจัยจากสถาบันแม็กซ์ แพลงค์เพื่อการศึกษามานุษยวิทยาด้านการวิวัฒนาการในเยอรมนี รายงานผลการศึกษาชิมแปนซีในป่าไท ซึ่งเป็นป่าสงวนในไอวอรีโคสต์ ในวารสารพลอส วัน
นักวิจัยกลุ่มนี้สังเกตการณ์การล่าสัตว์และจำนวนครั้งในการผสมพันธุ์ของชิมแปนซี ซึ่งพบว่าการแบ่งเนื้อให้ตัวเมีย ทำให้ชิมแปนซีตัวผู้มีโอกาสผสมพันธุ์มากขึ้น ประเด็นที่น่าสนใจคือ ถ้าแบ่งเนื้อให้ตัวเมียตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะและสม่ำเสมอ ชิมแปนซีตัวผู้จะได้ผสมพันธุ์กับตัวเมียตัวนั้นเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า ซึ่งทำให้แนวโน้มในการขยายพันธุ์ของตัวเมียตัวนั้นเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เนื้อเป็นอาหารสำคัญของสัตว์เนื่องจากอุดมด้วยโปรตีน ดังนั้น ด้วยเหตุที่ตัวเมียไม่ได้ออกไปล่าสัตว์ จึงไม่ค่อยได้กินเนื้อบ่อยนักหากตัวผู้ไม่แบ่งให้
แม้เคยมีการเสนอสมมติฐาน ‘เนื้อแลกเซ็กซ์’ เพื่ออธิบายว่าเหตุใดชิมแปนซีตัวผู้จึงยอมแบ่งเนื้อให้ตัวเมียมาก่อนแล้ว แต่ความพยายามในอดีตในการบันทึกปรากฏการณ์นี้กลับล้มเหลว เนื่องจากนักวิจัยมุ่งประเด็นที่การแลกเปลี่ยนโดยตรง คือเมื่อตัวผู้แบ่งเนื้อให้ตัวเมียที่พร้อมเจริญพันธุ์และผสมกันทันที
แต่ครั้งนี้ทีมของดร.โกเมสใช้วิธีใหม่ โดยเน้นระยะเวลาที่ชิมแปนซีไม่ได้อยู่ในช่วงติดสัด ซึ่งพบว่าตัวผู้ยังแบ่งอาหารให้ตัวเมียสม่ำเสมอ โดยอาจแบ่งให้วันนี้แล้วค่อยไปผสมพันธุ์ในวันรุ่งขึ้นหรือวันถัดไป
ดร.โกเมสคิดว่า การค้นพบนี้อาจเป็นเบาะแสบ่งชี้ถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ ในแง่ของการค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างความสามารถในการล่าสัตว์กับความสำเร็จในการเจริญพันธุ์
ไมเคิล เกอร์เวน จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานตา บาร์บารา ซึ่งศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในชุมชนนักล่าและเก็บของป่าในอเมริกาใต้ แสดงความเห็นต่องานวิจัยนี้ว่า ธรรมชาติของการแลกเปลี่ยนเนื้อกับเซ็กซ์ของชิมแปนซีคล้ายกับความสัมพันธ์ของมนุษย์ เนื่องจากเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นระยะยาว นอกจากนี้การเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างความสำเร็จในการล่ากับการเจริญพันธุ์ ยังเป็นประโยชน์ในการศึกษาวิวัฒนาการของมนุษย์อย่างที่ดร.โกเมสกล่าว
ข้อตกลงนี้เป็นการแลกเปลี่ยนระยะยาว ดังนั้น ชิมแปนซีตัวผู้ที่ยังคงแบ่งเนื้อให้ตัวเมียที่ไม่ได้อยู่ในช่วงเจริญพันธุ์ จึงยังคงมีโอกาสผสมพันธุ์ต่อเนื่องเมื่อตัวเมียตัวนั้นพร้อม
คริสตินา โกเมส และนักวิจัยจากสถาบันแม็กซ์ แพลงค์เพื่อการศึกษามานุษยวิทยาด้านการวิวัฒนาการในเยอรมนี รายงานผลการศึกษาชิมแปนซีในป่าไท ซึ่งเป็นป่าสงวนในไอวอรีโคสต์ ในวารสารพลอส วัน
นักวิจัยกลุ่มนี้สังเกตการณ์การล่าสัตว์และจำนวนครั้งในการผสมพันธุ์ของชิมแปนซี ซึ่งพบว่าการแบ่งเนื้อให้ตัวเมีย ทำให้ชิมแปนซีตัวผู้มีโอกาสผสมพันธุ์มากขึ้น ประเด็นที่น่าสนใจคือ ถ้าแบ่งเนื้อให้ตัวเมียตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะและสม่ำเสมอ ชิมแปนซีตัวผู้จะได้ผสมพันธุ์กับตัวเมียตัวนั้นเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า ซึ่งทำให้แนวโน้มในการขยายพันธุ์ของตัวเมียตัวนั้นเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
เนื้อเป็นอาหารสำคัญของสัตว์เนื่องจากอุดมด้วยโปรตีน ดังนั้น ด้วยเหตุที่ตัวเมียไม่ได้ออกไปล่าสัตว์ จึงไม่ค่อยได้กินเนื้อบ่อยนักหากตัวผู้ไม่แบ่งให้
แม้เคยมีการเสนอสมมติฐาน ‘เนื้อแลกเซ็กซ์’ เพื่ออธิบายว่าเหตุใดชิมแปนซีตัวผู้จึงยอมแบ่งเนื้อให้ตัวเมียมาก่อนแล้ว แต่ความพยายามในอดีตในการบันทึกปรากฏการณ์นี้กลับล้มเหลว เนื่องจากนักวิจัยมุ่งประเด็นที่การแลกเปลี่ยนโดยตรง คือเมื่อตัวผู้แบ่งเนื้อให้ตัวเมียที่พร้อมเจริญพันธุ์และผสมกันทันที
แต่ครั้งนี้ทีมของดร.โกเมสใช้วิธีใหม่ โดยเน้นระยะเวลาที่ชิมแปนซีไม่ได้อยู่ในช่วงติดสัด ซึ่งพบว่าตัวผู้ยังแบ่งอาหารให้ตัวเมียสม่ำเสมอ โดยอาจแบ่งให้วันนี้แล้วค่อยไปผสมพันธุ์ในวันรุ่งขึ้นหรือวันถัดไป
ดร.โกเมสคิดว่า การค้นพบนี้อาจเป็นเบาะแสบ่งชี้ถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ ในแง่ของการค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างความสามารถในการล่าสัตว์กับความสำเร็จในการเจริญพันธุ์
ไมเคิล เกอร์เวน จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานตา บาร์บารา ซึ่งศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ในชุมชนนักล่าและเก็บของป่าในอเมริกาใต้ แสดงความเห็นต่องานวิจัยนี้ว่า ธรรมชาติของการแลกเปลี่ยนเนื้อกับเซ็กซ์ของชิมแปนซีคล้ายกับความสัมพันธ์ของมนุษย์ เนื่องจากเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นระยะยาว นอกจากนี้การเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างความสำเร็จในการล่ากับการเจริญพันธุ์ ยังเป็นประโยชน์ในการศึกษาวิวัฒนาการของมนุษย์อย่างที่ดร.โกเมสกล่าว