ASTV ผู้จัดการรายวัน – ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยบริษัทจดทะเบียน 343 แห่ง ประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี 51 รวมเกือบ 2.1 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 56% ของกำไรสุทธิรวมทั้งหมด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 6.70% นำโดยกลุ่มวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรมให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 11.88% ด้านผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ แจง ตลาดหุ้นไทยมีผลตอบแทนที่ดีท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ พร้อมแนะผู้ลงทุนสมัครใช้ e-Dividend เพื่อความสะดวกในการรับเงินปันผลตรงตามวันที่กำหนด
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สิ้นสุดณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 ได้มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวดประจำปี 2551 จำนวนทั้งสิ้น 343 บริษัท แบ่งเป็นบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 304 บริษัท และเอ็มเอไอ 39 บริษัท ซึ่งเป็นสัดส่วน 68.6% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 500 บริษัท (ไม่รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG)
โดยมูลค่าปันผลที่ประกาศจ่ายรวม 209,663 ล้านบาท หรือร้อยละ 56.78 ของกำไรสุทธิรวม และมีอัตราผลตอบแทนจากปันผลเฉลี่ย 2 ตลาดอยู่ที่ร้อยละ 6.70 ขณะที่ SET มีอัตราผลตอบแทนจากปันผลเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 6.69 และ mai อยู่ที่ร้อยละ 8.28
ทั้งนี้ มีบริษัทจดทะเบียนใน SET ที่มีอัตราผลตอบแทนจากปันผล (Dividend Yield) สูงกว่า Dividend Yield ของ SET หรือร้อยละ 6.69 รวม 180 บริษัท โดยในจำนวนนี้มีบริษัทที่มี Dividend Yield ร้อยละ 10 ขึ้นไปจำนวน 93 บริษัท และร้อยละ 20 ขึ้นไป จำนวน 14 บริษัท ขณะที่บริษัทจดทะเบียนใน mai มีบริษัทที่มี Dividend Yield สูงกว่า Dividend Yield ของ mai หรือร้อยละ 8.28 ขึ้นไปจำนวน 17 บริษัท
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มี Dividend Yield สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้ง 2 ตลาด ได้แก่ กลุ่มวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรม อยู่ที่ร้อยละ 11.88 กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ร้อยละ 8.26 กลุ่มเทคโนโลยี ร้อยละ 7.30 กลุ่มบริการ ร้อยละ 7.26 และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ร้อยละ 6.88
“แม้ภาวการณ์ซื้อขายหลักทรัพย์ในปัจจุบัน จะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบเป็นระยะ แต่หากมองปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะอัตราผลตอบแทนจากปันผล ถือได้ว่าบริษัทจดทะเบียนไทยยังมีความน่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนอยู่ไม่น้อย" นางภัทรียากล่าว
สำหรับฤดูกาลจ่ายปันผลนี้ ผู้ลงทุนที่ใช้บริการ e-Dividend จะได้รับความสะดวกอย่างมาก โดยสามารถรับเงินปันผลผ่านบัญชีธนาคารในวันเดียวกับวันที่บริษัทประกาศจ่าย ไม่ต้องรอรับเช็ค ไม่ต้องเสียเวลานำเช็คไปเข้าบัญชีธนาคาร และไม่ต้องกังวลกับปัญหาเช็คสูญหาย จึงขอเชิญชวนให้ผู้ลงทุนใช้บริการ e-Dividend ในเทศกาลจ่ายเงินปันผลนี้ด้วย
ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการ e-Dividend เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 770,000 ราย และในปี 52 ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะเพิ่มยอดผู้ใช้บริการอีก 150,000 ราย โดย ณ สิ้นปี 51 มีการจ่ายเงินปันผลผ่าน e-Dividend รวมทั้งสิ้น 148,043 ล้านบาท ซึ่ง e-dividend ช่วยลดปัญหาเช็คไม่ถึงมือผู้ถือหุ้น หรือเช็คตีคืนที่ปัจจุบันมีจำนวนถึง 105,664 ฉบับ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 122.8 ล้านบาท
ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ถือหุ้นมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างเตรียมใช้ระบบการโอนเงินระหว่างสาขาของธนาคารเดียวกัน หรือ Direct Credit สำหรับการโอนเงินปันผลเกิน 2 ล้านบาทให้ผู้ถือหุ้นแทนเช็ค โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งระบบดังกล่าวจะช่วยลดจำนวนรายการจ่ายเช็คเงินปันผลเกิน 2 ล้านบาทได้กว่าร้อยละ 20
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สิ้นสุดณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 ได้มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ประกาศจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานงวดประจำปี 2551 จำนวนทั้งสิ้น 343 บริษัท แบ่งเป็นบจ.ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 304 บริษัท และเอ็มเอไอ 39 บริษัท ซึ่งเป็นสัดส่วน 68.6% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 500 บริษัท (ไม่รวมกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG)
โดยมูลค่าปันผลที่ประกาศจ่ายรวม 209,663 ล้านบาท หรือร้อยละ 56.78 ของกำไรสุทธิรวม และมีอัตราผลตอบแทนจากปันผลเฉลี่ย 2 ตลาดอยู่ที่ร้อยละ 6.70 ขณะที่ SET มีอัตราผลตอบแทนจากปันผลเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 6.69 และ mai อยู่ที่ร้อยละ 8.28
ทั้งนี้ มีบริษัทจดทะเบียนใน SET ที่มีอัตราผลตอบแทนจากปันผล (Dividend Yield) สูงกว่า Dividend Yield ของ SET หรือร้อยละ 6.69 รวม 180 บริษัท โดยในจำนวนนี้มีบริษัทที่มี Dividend Yield ร้อยละ 10 ขึ้นไปจำนวน 93 บริษัท และร้อยละ 20 ขึ้นไป จำนวน 14 บริษัท ขณะที่บริษัทจดทะเบียนใน mai มีบริษัทที่มี Dividend Yield สูงกว่า Dividend Yield ของ mai หรือร้อยละ 8.28 ขึ้นไปจำนวน 17 บริษัท
สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มี Dividend Yield สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้ง 2 ตลาด ได้แก่ กลุ่มวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรม อยู่ที่ร้อยละ 11.88 กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ร้อยละ 8.26 กลุ่มเทคโนโลยี ร้อยละ 7.30 กลุ่มบริการ ร้อยละ 7.26 และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ร้อยละ 6.88
“แม้ภาวการณ์ซื้อขายหลักทรัพย์ในปัจจุบัน จะมีปัจจัยลบเข้ามากระทบเป็นระยะ แต่หากมองปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะอัตราผลตอบแทนจากปันผล ถือได้ว่าบริษัทจดทะเบียนไทยยังมีความน่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนอยู่ไม่น้อย" นางภัทรียากล่าว
สำหรับฤดูกาลจ่ายปันผลนี้ ผู้ลงทุนที่ใช้บริการ e-Dividend จะได้รับความสะดวกอย่างมาก โดยสามารถรับเงินปันผลผ่านบัญชีธนาคารในวันเดียวกับวันที่บริษัทประกาศจ่าย ไม่ต้องรอรับเช็ค ไม่ต้องเสียเวลานำเช็คไปเข้าบัญชีธนาคาร และไม่ต้องกังวลกับปัญหาเช็คสูญหาย จึงขอเชิญชวนให้ผู้ลงทุนใช้บริการ e-Dividend ในเทศกาลจ่ายเงินปันผลนี้ด้วย
ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการ e-Dividend เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 770,000 ราย และในปี 52 ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะเพิ่มยอดผู้ใช้บริการอีก 150,000 ราย โดย ณ สิ้นปี 51 มีการจ่ายเงินปันผลผ่าน e-Dividend รวมทั้งสิ้น 148,043 ล้านบาท ซึ่ง e-dividend ช่วยลดปัญหาเช็คไม่ถึงมือผู้ถือหุ้น หรือเช็คตีคืนที่ปัจจุบันมีจำนวนถึง 105,664 ฉบับ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 122.8 ล้านบาท
ทั้งนี้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ถือหุ้นมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างเตรียมใช้ระบบการโอนเงินระหว่างสาขาของธนาคารเดียวกัน หรือ Direct Credit สำหรับการโอนเงินปันผลเกิน 2 ล้านบาทให้ผู้ถือหุ้นแทนเช็ค โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งระบบดังกล่าวจะช่วยลดจำนวนรายการจ่ายเช็คเงินปันผลเกิน 2 ล้านบาทได้กว่าร้อยละ 20