ในห้วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ทักษิณ ชินวัตร ดำเนินกลยุทธ์สงครามสารสนเทศอย่างต่อเนื่อง รุนแรง ด้วยการปลุกระดมให้บรรดาผู้หลงใหล หลงผิด และหลงเงินออกมาต่อต้านรัฐบาลด้วยการปิดล้อมทำเนียบฯ และเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาอย่าไร้เหตุผล แต่ได้แทรกยุทธวิธีจิตวิทยาไว้ อันเป็นวาระซ่อนเร้นด้วยการเริ่มวงจรโจมตีพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษรอบใหม่ และผนวกพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีเพิ่มเติมให้มีน้ำหนักมากขึ้นว่ามีส่วนในการส่งเสริม และวางแผนให้มีการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 โค่นล้มอำนาจของรัฐบาลทักษิณซึ่งขณะนั้นกำลังเหลิงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีมาในอดีต เพราะใช้กลไกรัฐสภาเป็นเครื่องมือในการสร้างอำนาจทางนิติบัญญัติ อันเป็นอำนาจสำคัญในอำนาจอธิปไตย
และขณะนั้นขาดความสมดุลไร้ระบบการตรวจสอบ เพราะรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มีวัตถุประสงค์ยูโตเปียนมากเกินไป ทำให้รัฐบาลทักษิณใช้เป็นเครื่องมือเถลิง และละเมิดอำนาจประชาชนสร้างกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้บรรดาสาวกในคณะรัฐมนตรีโกงกินเพื่อเอาเงินไปซื้อเสียงทางอ้อม เช่น กรณีการโกงโครงการรับจำนำลำไยอบแห้งปี 2547 ที่ผู้มีอิทธิพลภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ได้รับอานิสงส์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะงบประมาณ 3,945 ล้านบาท แต่ซื้อลำไยลมเสียครึ่งหนึ่ง ทำให้เม็ดเงิน 2,000 ล้านบาท กระจายไปทั่วหัวคะแนนของอดีตพรรคไทยรักไทย และเป็นผลให้อดีตพรรคไทยรักไทยได้ ส.ส.ในภาคเหนือ 108 เสียง และยังมีโครงการอื่นที่มีเล่ห์กลในการโกงเงินหลวง และใช้เงินนี้ซื้อเสียงต่อเนื่องโดยเฉพาะในเขตจังหวัดภาคอีสาน
ส่วนตัวทักษิณเองก็ใช้อำนาจรัฐโดยการซื้อที่ดินรัชดาภิเษก ถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี และยังมีขบวนการคอร์รัปชันอื่นๆ อีกซึ่งฝ่ายตุลาการจะต้องดำเนินการอย่างยุติธรรมแต่เอาจริง เพื่อดำรงความเป็นธรรมไว้ในชาติให้ได้ มิฉะนั้นแล้วประเทศนี้คงสวนสนามถอยหลังไปสู่ความเป็นคนยุคหิน
ความเผ็ดร้อนในการให้ร้ายประธานองคมนตรีและองคมนตรีนั้น มีตัวแปรขึ้นใหม่คือ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตกบฏ 1-3 เมษายน 2524 ที่กลายเป็นพยานปากเอกพาดพิงว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนให้มีการรัฐประหารโค่นอำนาจทักษิณ แต่พล.อ.สุรยุทธ์เป็นบุคคลที่ดำรงไว้ซึ่งอุดมการณ์ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีศักดิ์ศรีทหารอาชีพที่ในปี 2546 นายโรเบิร์ต ฮอร์น แห่งนิตยสารไทม์ ได้เลือกพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตผู้บัญชาการทหารบกเป็น “รัฐบุรุษแห่งเอเชีย” ทั้งๆ ที่มีตัวเลือกอื่นๆ มากมาย เพราะโรเบิร์ต ฮอร์น ได้ศึกษาวิถีชีวิตของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แล้วเข้าใจในอุดมการณ์ที่มั่นคง และวิธีปฏิบัติของพล.อ.สุรยุทธ์ ที่มีบิดาเป็นนักปฏิวัติ ทิ้งเครื่องแบบทหารเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และเป็นผู้นำกองกำลังปลดแอกประชาชนชาวไทย แต่ไม่เคยทรยศต่อชาติแต่ผู้เป็นลูกกลับยืนหยัดต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่พิสูจน์ความล้มเหลวในเขมรที่ที่มีทุ่งสังหาร 3-4 ล้านศพด้วยการฆ่ากันเองโดยกลุ่มผู้นำ เช่น พอล พต และเขียว สัมพัน เป็นต้น
ปูมสายเลือดของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เกี่ยวข้องกับการต่อสู้เพื่อรักษาความถูกต้อง และเป็นธรรมในสังคมไทย โดยเฉพาะสังคมทหารนั้นท่านหวังให้ปลอดจากการเมืองจนสร้างศัตรูไว้มากมายไม่ต่างกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ไม่ยอมแพ้ต่อการใช้กำลังรัฐประหารหรือล้มอำนาจของท่าน เมื่อท่านชนะผู้แพ้ก็ย่อมไม่ศรัทธา หากไร้คุณธรรมและไร้ความเป็นนักกีฬาหรือไม่ใช่ชายชาติทหารแล้วย่อมเกลียดท่าน
เมื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบกนั้น อยู่ในห้วงล้างบางทหารที่เป็นตัวปัญหาในการสร้างเงื่อนไขสังคมรังแกประชาชน และตัวท่านสนับสนุนทหารประชาธิปไตย จึงทำให้เป็นที่ไม่พอใจของทหารที่มีความคิดโบราณ และด้วยแนวคิดประชาธิปไตย แต่เด็ดขาดมุ่งมั่นที่จะลดเงื่อนไขมิให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมเคียดแค้น เพราะเกิดการเอารัดเอาเปรียบหรือป้องกันมิให้ระบบเก่าๆ กลับคืนสู่ระบบทหาร การปราบปรามเงินนอกระบบที่ทำลายพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริง และทำให้ทหารตกเป็นทาสเงินนอกระบบ ก็สร้างความแค้นอยู่ไม่น้อย การปิดสถานเริงรมย์เวลาเที่ยงคืนเพราะเกิดวิกฤตน้ำมันทั่วโลก ก็สร้างความไม่พอใจในหมู่ผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืน ซึ่งลงทุนซื้อใบอนุญาตเปิดสถานเริงรมย์มาด้วยราคาแพง และทำให้จุดคุ้มทุนยาวไกล มีโอกาสขาดทุนก็สร้างความไม่พอใจไม่น้อย แต่ถามว่ามีใครเคยคิดจะเอาผิด พล.อ.เปรม กรณีทุจริตและใช้อำนาจรัฐเอาเปรียบประชาชนหรือไม่ ก็คงไม่เคยมี
ดังนั้น การคิดกระทำรัฐประหารโค่นอำนาจทักษิณของ พล.อ.เปรม และพล.อ.สุรยุทธ์ คงจะเป็นไปได้ยาก เพราะนักการทหารระดับอดีต ผบ.ทบ.ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างหวุดหวิดเป็นผู้ลี้ภัยการเมือง และถ้าพล.อ.สุรยุทธ์จะทำรัฐประหารก็คงทำตั้งแต่ครั้งถูกกดดันจากทักษิณแล้วในยุคที่ทักษิณ “หมั่นไส้” พล.อ.สุรยุทธ์ และวิจารณ์การปฏิบัติของ พล.อ.สุรยุทธ์ ในระหว่างที่ไปประชุมเรื่องการต่อต้านการก่อการร้ายให้กับหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และการบรรยายพิเศษให้กับ ส.ส.และ ส.ว.สหรัฐฯ รวมทั้งการประชุมร่วมกับหน่วยปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ สร้างความไม่พอใจให้ทักษิณ เพราะเป็นรายงานจริงที่กองทัพไทยได้ดำเนินการภายใต้กฎหมาย และกฎการสู้รบ (Rule of Engagement) บริเวณชายแดนไทย-พม่า-ลาว
ในครั้งนั้นมีการสำแดงสงครามสารสนเทศออกข่าวว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จะลาออกจากกองทัพบก แต่ท่านไม่ตอบโต้การวิจารณ์ของทักษิณ รวมทั้งแสดงความนิ่งตามแบบฉบับทหารอาชีพ แม้แต่พล.อ.ชวลิต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังสั่งการให้มีการตรวจสอบข่าวลือ เพราะมีการออกข่าวความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลทักษิณกับกองทัพบก จนลือว่าจะมีการรัฐประหาร และนี่เป็นข้อเท็จจริงว่า ถ้าจะทำรัฐประหารโดย พล.อ.สุรยุทธ์ ท่านก็คงทำไปเมื่อครั้งยังมีตำแหน่ง ผบ.ทบ.อยู่ แต่ด้วยความเป็นทหารอาชีพ และไม่ต้องการเห็นทหารเข้าไปยุ่งกับการเมืองโดยตรงอีก
เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของทักษิณในการยุยงให้คนเกลียดองคมนตรี จึงมีเลศนัยหลายขั้นซับซ้อนหรือต้องการที่จะ “ตีวัวกระทบคราด” หรือให้คณะองคมนตรีทั้งหมดมีความด่างพร้อยหรือกว้างลึกมากกว่านั้นก็คือ การกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง เพราะองคมนตรีเป็นที่ปรึกษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ที่เลวร้ายมากก็คือ สาวกที่ถูกทักษิณชักใยแสดงความสถุล ด่าทอ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ด้วยถ้อยคำหยาบช้าสามานย์แสดงถึงชาติกำเนิด
พฤติกรรมการให้ร้ายยั่วยุให้ผู้คนเกลียดองคมนตรี ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญที่ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่าการแต่งตั้งเป็นพระราชอำนาจโดยแท้ในการที่จะทรงแต่งตั้งใครก็ได้ตามพระราชอัธยาศัย โดยพระองค์ทรงรับรู้ในความรู้ ความสามารถ ความรักชาติ จงรักภักดี และเป็นประชาธิปไตย รวมทั้งมีความสามารถ ความรู้เฉพาะทางที่จะถวายงาน ถวายคำแนะนำแด่พระองค์ท่าน
พฤติกรรมทักษิณที่โกหกต่อคำถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงถือว่าเป็นการก่อกบฏต่อคำสาบานของตนเมื่อเข้ารับหน้าที่ทางการเมือง และทักษิณได้ถวายสัตย์ปฏิญาณหลายครั้ง โดยมีสาระสำคัญ 3 ประการ 1. จะจงรักภักดี 2. จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน 3. จะรักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทุกประการ
จากพฤติกรรมทั้งในอดีตที่ทักษิณเคยเป็นนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันที่เป็นอาชญากร และเป็นหัวหน้ากลุ่มชนที่ยุยงส่งเสริมให้คนสิ้นศรัทธาในระบบองคมนตรี อันหมายถึงว่าที่ปรึกษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี จึงทำให้ต้องฟันธงว่า ทักษิณเป็นกบฏต่อคำสาบานตนต่อหน้าพระพักตร์
หากต้องจินตนาการถึงในอนาคตแล้วทักษิณกำลังยั่วยุให้เกิดความแตกแยกเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวง เพราะผู้คนที่เคารพรักและศรัทธาในตัวของ พล.อ.เปรม และพล.อ.สุรยุทธ์ ก็มีมากมายทำให้บุคคลเหล่านั้นเกิดความคับแค้นใจ โกรธแค้นแทน และออกมาแสดงตนต่อต้านกลุ่มที่ด่าว่ากล่าว พล.อ.เปรม และพัฒนาเป็นการปะทะกันด้วยกำลังหรือเกิดการแบ่งแยกว่า สาวกของทักษิณ หรือคนที่หลงใหลทักษิณอย่าได้เดินทางไปจังหวัดสงขลาหรือจังหวัดภาคใต้อื่น หรือคนจังหวัดสงขลาหรือจังหวัดภาคใต้ที่รัก พล.อ.เปรม ก็อย่าเดินทางไปจังหวัดในอีสาน และนี่คืออนาคตที่ทักษิณหวัง และนี่เป็นกบฏต่อคำสาบานอย่างแน่นอน
แม้นว่าคำถวายสัตย์ปฏิญาณในปัจจุบันจะตัดคำสาปแช่งออกไปมิให้เกิดความไร้อารยธรรมในสมัยประชาธิปไตย แต่ความศักดิ์สิทธิ์คงจะยังอยู่ในประวัติศาสตร์ไทยหรือนานาชาติ การถือสัตย์ปฏิญาณเพื่อแสดงตนเป็นคนบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์ต่อชาติ ประชาชน และสิ่งที่เขาเคารพบูชา มีมาแต่โบราณ เช่น ก่อนคริสตกาล 509 ปี ชาวกรีก-โรมันจะสาบานต่อหน้าแท่นหินแห่งเทพเจ้าจูปีเตอร์ หรือครั้งคริสตกาล ยูดาย-คริสเตียนก็มีการสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้าตามเยนีซิส 8: 21 (Genesis) ซึ่งเป็นรากฐานการสาบานของวัฒนธรรมตะวันตกอย่างเคร่งครัด ส่วนของไทยเองเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งต้นกรุงศรีอยุธยา มีพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาจึงเกิดเป็นลิลิตโองการแช่งน้ำคือคำศักดิ์สิทธิ์ที่สาปแช่งลงในน้ำที่ใช้ในการถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เพื่อให้ผู้ดื่มที่มีใจไม่สุจริตต้องมีอันเป็นไป
ทั้งพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และทักษิณ ชินวัตร ต่างได้ถวายสัตย์ปฏิญาณและดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาต่อหน้าพระพักตร์ในหลวงมาแล้ว
หรือถึงแม้ว่าทักษิณจะไม่ได้ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาก็ตาม แต่ความศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดิน ความศักดิ์สิทธิ์แห่งบุรพกษัตริย์ และวีรชนที่พลีชีพเพื่อชาติยังคงศักดิ์สิทธิ์เหมือนเราเห็นได้ว่า จากการลุอำนาจของทักษิณตั้งแต่ พ.ศ. 2544 จนถึง พ.ศ. 2549 นั้น วาสนาบารมีของทักษิณก็เสื่อมลดน้อยลงเรื่อยๆ อำนาจเงินของทักษิณเท่านั้นที่ยังคงซื้อความนิยม และความจงรักภักดีหรือท้วงบุญคุณกับคนที่ทักษิณเคยช่วยไว้จึงยังสัมฤทธิผลที่ให้ลูกหนี้ทั้งปัญญาชน ข้าราชการ และคนสนิทยังคงภักดีเขาอยู่
แต่ความศักดิ์สิทธิ์ที่มีในชาติไทยคงสำแดงฤทธิ์เดชมากขึ้นตามกรรมที่เขาก่อที่รุนแรงมากขึ้น แต่นอกเหนือจากความศักดิ์สิทธิ์ในคำสาบานแล้ว ก็มีผู้คนสาปแช่งเขาอีกไม่น้อย เห็นได้จากเว็บไซต์ต่างๆ คำสาปแช่งมีจริงครับ เพราะผู้นำเลวๆ ในโลกนี้ต้องเคราะห์กรรมคล้ายๆ กันคือ ตกนรกขณะยังมีชีวิตอยู่มีมากมายทุกทวีป
nidd.riddhagni@gmail.com
และขณะนั้นขาดความสมดุลไร้ระบบการตรวจสอบ เพราะรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มีวัตถุประสงค์ยูโตเปียนมากเกินไป ทำให้รัฐบาลทักษิณใช้เป็นเครื่องมือเถลิง และละเมิดอำนาจประชาชนสร้างกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้บรรดาสาวกในคณะรัฐมนตรีโกงกินเพื่อเอาเงินไปซื้อเสียงทางอ้อม เช่น กรณีการโกงโครงการรับจำนำลำไยอบแห้งปี 2547 ที่ผู้มีอิทธิพลภาคเหนือ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ได้รับอานิสงส์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะงบประมาณ 3,945 ล้านบาท แต่ซื้อลำไยลมเสียครึ่งหนึ่ง ทำให้เม็ดเงิน 2,000 ล้านบาท กระจายไปทั่วหัวคะแนนของอดีตพรรคไทยรักไทย และเป็นผลให้อดีตพรรคไทยรักไทยได้ ส.ส.ในภาคเหนือ 108 เสียง และยังมีโครงการอื่นที่มีเล่ห์กลในการโกงเงินหลวง และใช้เงินนี้ซื้อเสียงต่อเนื่องโดยเฉพาะในเขตจังหวัดภาคอีสาน
ส่วนตัวทักษิณเองก็ใช้อำนาจรัฐโดยการซื้อที่ดินรัชดาภิเษก ถูกพิพากษาจำคุก 2 ปี และยังมีขบวนการคอร์รัปชันอื่นๆ อีกซึ่งฝ่ายตุลาการจะต้องดำเนินการอย่างยุติธรรมแต่เอาจริง เพื่อดำรงความเป็นธรรมไว้ในชาติให้ได้ มิฉะนั้นแล้วประเทศนี้คงสวนสนามถอยหลังไปสู่ความเป็นคนยุคหิน
ความเผ็ดร้อนในการให้ร้ายประธานองคมนตรีและองคมนตรีนั้น มีตัวแปรขึ้นใหม่คือ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตกบฏ 1-3 เมษายน 2524 ที่กลายเป็นพยานปากเอกพาดพิงว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนให้มีการรัฐประหารโค่นอำนาจทักษิณ แต่พล.อ.สุรยุทธ์เป็นบุคคลที่ดำรงไว้ซึ่งอุดมการณ์ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีศักดิ์ศรีทหารอาชีพที่ในปี 2546 นายโรเบิร์ต ฮอร์น แห่งนิตยสารไทม์ ได้เลือกพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตผู้บัญชาการทหารบกเป็น “รัฐบุรุษแห่งเอเชีย” ทั้งๆ ที่มีตัวเลือกอื่นๆ มากมาย เพราะโรเบิร์ต ฮอร์น ได้ศึกษาวิถีชีวิตของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ แล้วเข้าใจในอุดมการณ์ที่มั่นคง และวิธีปฏิบัติของพล.อ.สุรยุทธ์ ที่มีบิดาเป็นนักปฏิวัติ ทิ้งเครื่องแบบทหารเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และเป็นผู้นำกองกำลังปลดแอกประชาชนชาวไทย แต่ไม่เคยทรยศต่อชาติแต่ผู้เป็นลูกกลับยืนหยัดต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่พิสูจน์ความล้มเหลวในเขมรที่ที่มีทุ่งสังหาร 3-4 ล้านศพด้วยการฆ่ากันเองโดยกลุ่มผู้นำ เช่น พอล พต และเขียว สัมพัน เป็นต้น
ปูมสายเลือดของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เกี่ยวข้องกับการต่อสู้เพื่อรักษาความถูกต้อง และเป็นธรรมในสังคมไทย โดยเฉพาะสังคมทหารนั้นท่านหวังให้ปลอดจากการเมืองจนสร้างศัตรูไว้มากมายไม่ต่างกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ไม่ยอมแพ้ต่อการใช้กำลังรัฐประหารหรือล้มอำนาจของท่าน เมื่อท่านชนะผู้แพ้ก็ย่อมไม่ศรัทธา หากไร้คุณธรรมและไร้ความเป็นนักกีฬาหรือไม่ใช่ชายชาติทหารแล้วย่อมเกลียดท่าน
เมื่อ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบกนั้น อยู่ในห้วงล้างบางทหารที่เป็นตัวปัญหาในการสร้างเงื่อนไขสังคมรังแกประชาชน และตัวท่านสนับสนุนทหารประชาธิปไตย จึงทำให้เป็นที่ไม่พอใจของทหารที่มีความคิดโบราณ และด้วยแนวคิดประชาธิปไตย แต่เด็ดขาดมุ่งมั่นที่จะลดเงื่อนไขมิให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมเคียดแค้น เพราะเกิดการเอารัดเอาเปรียบหรือป้องกันมิให้ระบบเก่าๆ กลับคืนสู่ระบบทหาร การปราบปรามเงินนอกระบบที่ทำลายพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริง และทำให้ทหารตกเป็นทาสเงินนอกระบบ ก็สร้างความแค้นอยู่ไม่น้อย การปิดสถานเริงรมย์เวลาเที่ยงคืนเพราะเกิดวิกฤตน้ำมันทั่วโลก ก็สร้างความไม่พอใจในหมู่ผู้ประกอบการธุรกิจกลางคืน ซึ่งลงทุนซื้อใบอนุญาตเปิดสถานเริงรมย์มาด้วยราคาแพง และทำให้จุดคุ้มทุนยาวไกล มีโอกาสขาดทุนก็สร้างความไม่พอใจไม่น้อย แต่ถามว่ามีใครเคยคิดจะเอาผิด พล.อ.เปรม กรณีทุจริตและใช้อำนาจรัฐเอาเปรียบประชาชนหรือไม่ ก็คงไม่เคยมี
ดังนั้น การคิดกระทำรัฐประหารโค่นอำนาจทักษิณของ พล.อ.เปรม และพล.อ.สุรยุทธ์ คงจะเป็นไปได้ยาก เพราะนักการทหารระดับอดีต ผบ.ทบ.ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างหวุดหวิดเป็นผู้ลี้ภัยการเมือง และถ้าพล.อ.สุรยุทธ์จะทำรัฐประหารก็คงทำตั้งแต่ครั้งถูกกดดันจากทักษิณแล้วในยุคที่ทักษิณ “หมั่นไส้” พล.อ.สุรยุทธ์ และวิจารณ์การปฏิบัติของ พล.อ.สุรยุทธ์ ในระหว่างที่ไปประชุมเรื่องการต่อต้านการก่อการร้ายให้กับหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ และการบรรยายพิเศษให้กับ ส.ส.และ ส.ว.สหรัฐฯ รวมทั้งการประชุมร่วมกับหน่วยปราบปรามยาเสพติดของสหรัฐฯ สร้างความไม่พอใจให้ทักษิณ เพราะเป็นรายงานจริงที่กองทัพไทยได้ดำเนินการภายใต้กฎหมาย และกฎการสู้รบ (Rule of Engagement) บริเวณชายแดนไทย-พม่า-ลาว
ในครั้งนั้นมีการสำแดงสงครามสารสนเทศออกข่าวว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จะลาออกจากกองทัพบก แต่ท่านไม่ตอบโต้การวิจารณ์ของทักษิณ รวมทั้งแสดงความนิ่งตามแบบฉบับทหารอาชีพ แม้แต่พล.อ.ชวลิต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังสั่งการให้มีการตรวจสอบข่าวลือ เพราะมีการออกข่าวความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลทักษิณกับกองทัพบก จนลือว่าจะมีการรัฐประหาร และนี่เป็นข้อเท็จจริงว่า ถ้าจะทำรัฐประหารโดย พล.อ.สุรยุทธ์ ท่านก็คงทำไปเมื่อครั้งยังมีตำแหน่ง ผบ.ทบ.อยู่ แต่ด้วยความเป็นทหารอาชีพ และไม่ต้องการเห็นทหารเข้าไปยุ่งกับการเมืองโดยตรงอีก
เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของทักษิณในการยุยงให้คนเกลียดองคมนตรี จึงมีเลศนัยหลายขั้นซับซ้อนหรือต้องการที่จะ “ตีวัวกระทบคราด” หรือให้คณะองคมนตรีทั้งหมดมีความด่างพร้อยหรือกว้างลึกมากกว่านั้นก็คือ การกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง เพราะองคมนตรีเป็นที่ปรึกษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ที่เลวร้ายมากก็คือ สาวกที่ถูกทักษิณชักใยแสดงความสถุล ด่าทอ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ด้วยถ้อยคำหยาบช้าสามานย์แสดงถึงชาติกำเนิด
พฤติกรรมการให้ร้ายยั่วยุให้ผู้คนเกลียดองคมนตรี ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญที่ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่าการแต่งตั้งเป็นพระราชอำนาจโดยแท้ในการที่จะทรงแต่งตั้งใครก็ได้ตามพระราชอัธยาศัย โดยพระองค์ทรงรับรู้ในความรู้ ความสามารถ ความรักชาติ จงรักภักดี และเป็นประชาธิปไตย รวมทั้งมีความสามารถ ความรู้เฉพาะทางที่จะถวายงาน ถวายคำแนะนำแด่พระองค์ท่าน
พฤติกรรมทักษิณที่โกหกต่อคำถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่มีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงถือว่าเป็นการก่อกบฏต่อคำสาบานของตนเมื่อเข้ารับหน้าที่ทางการเมือง และทักษิณได้ถวายสัตย์ปฏิญาณหลายครั้ง โดยมีสาระสำคัญ 3 ประการ 1. จะจงรักภักดี 2. จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน 3. จะรักษาและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญทุกประการ
จากพฤติกรรมทั้งในอดีตที่ทักษิณเคยเป็นนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันที่เป็นอาชญากร และเป็นหัวหน้ากลุ่มชนที่ยุยงส่งเสริมให้คนสิ้นศรัทธาในระบบองคมนตรี อันหมายถึงว่าที่ปรึกษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี จึงทำให้ต้องฟันธงว่า ทักษิณเป็นกบฏต่อคำสาบานตนต่อหน้าพระพักตร์
หากต้องจินตนาการถึงในอนาคตแล้วทักษิณกำลังยั่วยุให้เกิดความแตกแยกเกิดขึ้นอย่างใหญ่หลวง เพราะผู้คนที่เคารพรักและศรัทธาในตัวของ พล.อ.เปรม และพล.อ.สุรยุทธ์ ก็มีมากมายทำให้บุคคลเหล่านั้นเกิดความคับแค้นใจ โกรธแค้นแทน และออกมาแสดงตนต่อต้านกลุ่มที่ด่าว่ากล่าว พล.อ.เปรม และพัฒนาเป็นการปะทะกันด้วยกำลังหรือเกิดการแบ่งแยกว่า สาวกของทักษิณ หรือคนที่หลงใหลทักษิณอย่าได้เดินทางไปจังหวัดสงขลาหรือจังหวัดภาคใต้อื่น หรือคนจังหวัดสงขลาหรือจังหวัดภาคใต้ที่รัก พล.อ.เปรม ก็อย่าเดินทางไปจังหวัดในอีสาน และนี่คืออนาคตที่ทักษิณหวัง และนี่เป็นกบฏต่อคำสาบานอย่างแน่นอน
แม้นว่าคำถวายสัตย์ปฏิญาณในปัจจุบันจะตัดคำสาปแช่งออกไปมิให้เกิดความไร้อารยธรรมในสมัยประชาธิปไตย แต่ความศักดิ์สิทธิ์คงจะยังอยู่ในประวัติศาสตร์ไทยหรือนานาชาติ การถือสัตย์ปฏิญาณเพื่อแสดงตนเป็นคนบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์ต่อชาติ ประชาชน และสิ่งที่เขาเคารพบูชา มีมาแต่โบราณ เช่น ก่อนคริสตกาล 509 ปี ชาวกรีก-โรมันจะสาบานต่อหน้าแท่นหินแห่งเทพเจ้าจูปีเตอร์ หรือครั้งคริสตกาล ยูดาย-คริสเตียนก็มีการสาบานต่อพระผู้เป็นเจ้าตามเยนีซิส 8: 21 (Genesis) ซึ่งเป็นรากฐานการสาบานของวัฒนธรรมตะวันตกอย่างเคร่งครัด ส่วนของไทยเองเกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งต้นกรุงศรีอยุธยา มีพระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาจึงเกิดเป็นลิลิตโองการแช่งน้ำคือคำศักดิ์สิทธิ์ที่สาปแช่งลงในน้ำที่ใช้ในการถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เพื่อให้ผู้ดื่มที่มีใจไม่สุจริตต้องมีอันเป็นไป
ทั้งพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และทักษิณ ชินวัตร ต่างได้ถวายสัตย์ปฏิญาณและดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาต่อหน้าพระพักตร์ในหลวงมาแล้ว
หรือถึงแม้ว่าทักษิณจะไม่ได้ดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาก็ตาม แต่ความศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดิน ความศักดิ์สิทธิ์แห่งบุรพกษัตริย์ และวีรชนที่พลีชีพเพื่อชาติยังคงศักดิ์สิทธิ์เหมือนเราเห็นได้ว่า จากการลุอำนาจของทักษิณตั้งแต่ พ.ศ. 2544 จนถึง พ.ศ. 2549 นั้น วาสนาบารมีของทักษิณก็เสื่อมลดน้อยลงเรื่อยๆ อำนาจเงินของทักษิณเท่านั้นที่ยังคงซื้อความนิยม และความจงรักภักดีหรือท้วงบุญคุณกับคนที่ทักษิณเคยช่วยไว้จึงยังสัมฤทธิผลที่ให้ลูกหนี้ทั้งปัญญาชน ข้าราชการ และคนสนิทยังคงภักดีเขาอยู่
แต่ความศักดิ์สิทธิ์ที่มีในชาติไทยคงสำแดงฤทธิ์เดชมากขึ้นตามกรรมที่เขาก่อที่รุนแรงมากขึ้น แต่นอกเหนือจากความศักดิ์สิทธิ์ในคำสาบานแล้ว ก็มีผู้คนสาปแช่งเขาอีกไม่น้อย เห็นได้จากเว็บไซต์ต่างๆ คำสาปแช่งมีจริงครับ เพราะผู้นำเลวๆ ในโลกนี้ต้องเคราะห์กรรมคล้ายๆ กันคือ ตกนรกขณะยังมีชีวิตอยู่มีมากมายทุกทวีป
nidd.riddhagni@gmail.com