ASTVผู้จัดการรายวัน – กลุ่มไทยรุ่งฯไม่หวั่นเศรษฐกิจซบ ชี้โอกาสดีของคนมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง ลุยธุรกิจอสังหาฯเต็มสูบ ล่าสุดเปิดตัว เดอะ เทรนดี้ อาคารสำนักงาน สุขุมวิท ซ.13 ค่าเช่าพิเศษราคาเดียวทุกชั้น 420 บาท/ตร.ม.พร้อมงัดแลนด์แบงก์พัฒนาขายทั้งในกทม. และเมืองท่องเที่ยวหลัก เผยมีผู้ประกอบการเร่ขายโครงการให้จำนวนมาก
นางแก้วใจ เผอิญโชค แมคโดนัลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สินธรณี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มไทยรุ่ง ยูเนี่ยนคาร์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะนำที่ดินสะสม(แลนด์แบงก์)ของครอบครัวมาพัฒนาเป็นอสังหาฯทุกรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและศักยภาพของที่ดิน ทั้งในเขตกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ ภูเก็ต สมุย พัทยา หัวหิน รวมไปถึงการซื้อโครงการเก่าหรือที่ดินที่มีผู้นำมาเสนอขายให้ หากมีศักยภาพในการพัฒนาต่อ
“จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ธนาคารเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ทำให้ผู้ประกอบการบางรายขาดสภาพคล่องจนต้องนำที่ดินหรือโครงการออกมาขายให้จำนวนมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการที่มีเงินทุนหรือมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ในการเลือกซื้อที่ดินในราคาถูก ทำให้สามารถพัฒนาสินค้าขายในราคาที่เหมาะสมและสามารถแข่งขันในตลาดได้”
ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการ เดอะ เทรนดี้ ออฟฟิต สุขุมวิท 13 (The Trendy Office ) เป็นอาคารสำนักงานและพลาซ่า เนื้อที่ 20,000 ตร.ม. จากทั้งหมด 28,000 ตร.ม. โดยซื้อมาจากกลุ่มแกรนด์ แอสเสท จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2549 ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยในช่วงพรีเซลส์เสนอราคาพิเศษเช่าราคาเดียวทุกชั้น 420 บาท/ตร.ม. ขนาดของสำนักงานตั้งแต่ 64 -840 ตร.ม. ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับราคาของสำนักงานในย่านเดียวกันคือประมาณ 500-650 บาท/ตร.ม. เน้นกลุ่มเป้าหมายธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธุรกิจCall Center ที่ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการรองรับงานด้านการขายอสังหาฯและหาผู้เช่าให้แก่ธุรกิจของกลุ่มสินธรณี และรับบริหารการขายบ้านมือสองของลูกค้าทั่วไป บริษัทจึงได้เปิดบริษัท เซ็นเตอร์ เอสเตท เอเจนท์ จำกัด โดยมีแผนที่จะเปิดสาขาในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวสำคัญ และในอนาคตวางแผนที่จะไปเปิดที่ประเทศอังกฤษและสแกนดิเนเวีย เนื่องจากมีตัวแทนขายของไทยรุ่งฯอยู่ในกลุ่มประเทศดังกล่าวอยู่แล้ว
ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการอสังหาฯ ตามเมืองท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ โครงการ เลอ เบย์บุรี เดอะ ปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นวิลลา ขนาด 4 ห้องนอน จำนวน 4 หลัง มูลค่าโครงการ 150 ล้านบาท ให้เช่าในราคา 35,000 บาท/หลัง/คืน ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว นอกจากนี้ยังมีโครงการ เดอะ ซี เกาะสมุย ติดทะเล มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท พัฒนาเป็นวิลลา จำนวน 6 ยูนิต ราคา 38-52 ล้านบาท ปัจจุบันขายได้ 2 ยูนิต และคอนโดฯ 15 ยูนิตราคา 9.8-22 ล้านบาท ปัจจุบันขายได้แล้ว 6 ยูนิต
ส่วนโครงการที่จะเปิดในอนาคตอันใกล้ ได้แก่ โรงแรม เบสท์ เวสเทิร์น ป่าตอง จ.ภูเก็ต บนพื้นที่ 4.5 ไร่ จำนวน 132-150 ยูนิต ราคาที่พักประมาณ 2,200-2800 บาท/คืน มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท เปิดตัวในวันที่ 9 เดือน 9 ของปีนี้ รวมถึงโครงการที่อยู่ระหว่างวางแผนออกแบบ คาดว่าจะเปิดตัวประมาณปี 53 เป็นต้นไปได้แก่ ที่ดินขนาด 2.5 ไร่ บนหาดจอมเทียน จ. ชลบุรี คาดว่าจะพัฒนาเป็นคอนโดฯแนวสูง, แผนพัฒนาที่ดินเปล่าที่เกาะสมุย และที่ดินเปล่าที่หาดกะรน จ.ภูเก็ต โดยจะพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ร่วมถึงอาคารสำนักงานที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ในย่านพหลโยธิน โดยซื้อมาจากผู้ประกอบการเดิม คาดว่าจะเปิดตัวได้ภายในปีนี้
“ช่วงนี้นับเป็นโอกาสเหมาะที่เราจะหันมารุกธุรกิจอสังหาฯ เพราะถือเป็นช่วงที่ผู้ซื้อเป็นผู้ที่ต้องการที่ยู่อาศัยจริง ไม่ใช่นักเก็งกำไร เป็นช่วงน้ำลด ซึ่งทำให้เราเข้าตลาดได้ถูกจุด และแผนการลงทุนของเรา ไม่จำกัดว่าเป็นโครงการประเภทไหน ขนาดเท่าไหร่ แต่ขึ้นอยู่กับศักยภาพของที่ดินหรือสินทรัพย์ที่เราซื้อมาได้”
นางแก้วใจ เผอิญโชค แมคโดนัลด์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สินธรณี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มไทยรุ่ง ยูเนี่ยนคาร์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจะนำที่ดินสะสม(แลนด์แบงก์)ของครอบครัวมาพัฒนาเป็นอสังหาฯทุกรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและศักยภาพของที่ดิน ทั้งในเขตกรุงเทพฯและเมืองท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ ภูเก็ต สมุย พัทยา หัวหิน รวมไปถึงการซื้อโครงการเก่าหรือที่ดินที่มีผู้นำมาเสนอขายให้ หากมีศักยภาพในการพัฒนาต่อ
“จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ธนาคารเข้มงวดปล่อยสินเชื่อ ทำให้ผู้ประกอบการบางรายขาดสภาพคล่องจนต้องนำที่ดินหรือโครงการออกมาขายให้จำนวนมาก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการที่มีเงินทุนหรือมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ในการเลือกซื้อที่ดินในราคาถูก ทำให้สามารถพัฒนาสินค้าขายในราคาที่เหมาะสมและสามารถแข่งขันในตลาดได้”
ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการ เดอะ เทรนดี้ ออฟฟิต สุขุมวิท 13 (The Trendy Office ) เป็นอาคารสำนักงานและพลาซ่า เนื้อที่ 20,000 ตร.ม. จากทั้งหมด 28,000 ตร.ม. โดยซื้อมาจากกลุ่มแกรนด์ แอสเสท จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2549 ใช้เงินลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท โดยในช่วงพรีเซลส์เสนอราคาพิเศษเช่าราคาเดียวทุกชั้น 420 บาท/ตร.ม. ขนาดของสำนักงานตั้งแต่ 64 -840 ตร.ม. ซึ่งถือว่าถูกมากเมื่อเทียบกับราคาของสำนักงานในย่านเดียวกันคือประมาณ 500-650 บาท/ตร.ม. เน้นกลุ่มเป้าหมายธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ธุรกิจCall Center ที่ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการรองรับงานด้านการขายอสังหาฯและหาผู้เช่าให้แก่ธุรกิจของกลุ่มสินธรณี และรับบริหารการขายบ้านมือสองของลูกค้าทั่วไป บริษัทจึงได้เปิดบริษัท เซ็นเตอร์ เอสเตท เอเจนท์ จำกัด โดยมีแผนที่จะเปิดสาขาในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวสำคัญ และในอนาคตวางแผนที่จะไปเปิดที่ประเทศอังกฤษและสแกนดิเนเวีย เนื่องจากมีตัวแทนขายของไทยรุ่งฯอยู่ในกลุ่มประเทศดังกล่าวอยู่แล้ว
ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการอสังหาฯ ตามเมืองท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ โครงการ เลอ เบย์บุรี เดอะ ปราณ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ เป็นวิลลา ขนาด 4 ห้องนอน จำนวน 4 หลัง มูลค่าโครงการ 150 ล้านบาท ให้เช่าในราคา 35,000 บาท/หลัง/คืน ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว นอกจากนี้ยังมีโครงการ เดอะ ซี เกาะสมุย ติดทะเล มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท พัฒนาเป็นวิลลา จำนวน 6 ยูนิต ราคา 38-52 ล้านบาท ปัจจุบันขายได้ 2 ยูนิต และคอนโดฯ 15 ยูนิตราคา 9.8-22 ล้านบาท ปัจจุบันขายได้แล้ว 6 ยูนิต
ส่วนโครงการที่จะเปิดในอนาคตอันใกล้ ได้แก่ โรงแรม เบสท์ เวสเทิร์น ป่าตอง จ.ภูเก็ต บนพื้นที่ 4.5 ไร่ จำนวน 132-150 ยูนิต ราคาที่พักประมาณ 2,200-2800 บาท/คืน มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท เปิดตัวในวันที่ 9 เดือน 9 ของปีนี้ รวมถึงโครงการที่อยู่ระหว่างวางแผนออกแบบ คาดว่าจะเปิดตัวประมาณปี 53 เป็นต้นไปได้แก่ ที่ดินขนาด 2.5 ไร่ บนหาดจอมเทียน จ. ชลบุรี คาดว่าจะพัฒนาเป็นคอนโดฯแนวสูง, แผนพัฒนาที่ดินเปล่าที่เกาะสมุย และที่ดินเปล่าที่หาดกะรน จ.ภูเก็ต โดยจะพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ร่วมถึงอาคารสำนักงานที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ในย่านพหลโยธิน โดยซื้อมาจากผู้ประกอบการเดิม คาดว่าจะเปิดตัวได้ภายในปีนี้
“ช่วงนี้นับเป็นโอกาสเหมาะที่เราจะหันมารุกธุรกิจอสังหาฯ เพราะถือเป็นช่วงที่ผู้ซื้อเป็นผู้ที่ต้องการที่ยู่อาศัยจริง ไม่ใช่นักเก็งกำไร เป็นช่วงน้ำลด ซึ่งทำให้เราเข้าตลาดได้ถูกจุด และแผนการลงทุนของเรา ไม่จำกัดว่าเป็นโครงการประเภทไหน ขนาดเท่าไหร่ แต่ขึ้นอยู่กับศักยภาพของที่ดินหรือสินทรัพย์ที่เราซื้อมาได้”