เกม “สับขาหลอก” ของทางรัฐบาล ที่ทำการร่นวันอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจากวันที่ 26-27 มีนาคม มาเป็นวันที่ 19-20 มีนาคมแทน ทำเอา “ฝ่ายค้านหัดเดิน” อย่างพรรคเพื่อไทย ค่อนข้างเสียรูปขบวนพอสมควร
อย่างไรก็แล้วแต่ “เสียงระฆัง” เวทีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก็จะดังเร็วขึ้น ถึงแม้จะอยู่บนความข้องใจของฝ่ายค้านที่อ้างว่าโดน “วิชามาร”ร่นวันอภิปรายไม่ไว้วางใจให้เร็วขึ้นก็ตาม
ฝ่ายค้านนำทัพโดย ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะอภิปรายเป็นคนแรก พร้อมด้วย ส.ส.เพื่อไทยกว่า 40 คน ร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ยุทธการสั่นคลอนรัฐบาลครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหลักในทุกประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วาง ตามด้วยการพ่วง “เสนาบดี” อีก 5 คน
ประเด็นที่ดูแล้วว่าจะทำให้รัฐบาลระคายผิวได้บ้างน่าจะเป็นรายของ ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ที่ฝ่ายค้านหวังมุ่งโจมตีจุดตาย “ปมเงิน 258 ล้านบาท” ที่ได้รับโอนมาจากบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่นจำกัด สมัยประดิษฐ์เป็นเลขาธิการพรรคขณะนั้น
แถม“หัวหอก” อย่างเฉลิมที่คุยฟุ้งว่ามีข้อมูลเด็ดว่ามีหลักฐานข้อมูลการยักย้ายถ่ายเทเงินจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นเงินของประชาชน ทั้งสำเนาเอกสารแจงภาษีเงินได้ของพรรคประชาธิปัตย์ , สำเนาเอกสารแสดงงวดรับเงินจาก บริษัท ทีพีไอ โพลิน จำกัด ( มหาชน) เป็นหลักฐานเด็ดเชือดรัฐบาล
อีกคนที่ถูกเด้งเข้าเด้งออกจากบัญชีเชือดครั้งนี้จนสุดท้ายก็ “งานเข้า” เป็น ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมต.มหาดไทย พ่วงด้วย บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ฝ่ายค้านเลือกโจมตีประเด็น“ปฏิบัติการล้างบาง” ที่ทั้ง 2 คนโยกย้ายข้าราชการโดยไม่เป็นธรรม
ซึ่งแจ๊กพ็อตรายใหญ่ตกอยู่ที่การเด้งฟ้าผ่า พีรพล ไตรทศาวิทย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น เข้ากรุมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี อีกรายเป็น สุกิจ เจริญรัตนกุล อธิบดีส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง ตามที่ปลัดกระทรวง วิชัย ศรีขวัญ ทำการโยกย้ายข้าราชการระดับ 10 จำนวน 28 ตำแหน่ง ซึ่งทางปลัดบอกว่าเป็นการย้ายในฤดูกาลปกติของกระทรวงมหาดไทย ช่วง มี.ค. – เม.ย.
ต่อมาเกิดเป็นสงครามย่อย ที่นายสุกิจ ไม่ยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ ออกมาเคลื่อนไหวจะแฉเรื่องฝ่ายการเมืองจะเข้ามาจัดสรรงบประมาณในส่วนของกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 1.5หมื่นล้านบาท ตามด้วยการไปฟ้องศาลปกครองถึงการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม แต่ศาลก็ได้ยกฟ้องเพราะว่าทำผิดขั้นตอน
จนอาจจะมีรายการ “แค้นฝังหุ่น” เกิดขึ้นได้ ซึ่งนายสุกิจ อาจ “ย้อนเกล็ด”ฝั่งรัฐบาลนำข้อมูลสำคัญไปให้ฝ่ายค้านนำไปโจมตีรัฐบาลได้
อีกทั้งสองคนที่เจอเด้งเข้ากรุกระทรวงคลองหลอดยังเป็น “เด็กสายจันทร์ส่องหล้า” อีกด้วย
ส่วนในรายของ กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ คงหนีไม่พ้นเรื่องการปิดสนามบิน ดูแล้วก็เป็นหนังม้วนเก่า ที่เคยนำมาโจมตีกษิต หลายครั้งแล้วในสภาฯ ส่วน กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เป็นเรื่องของการบริหารนโยบายการคลังที่ผิดพลาด ดูแล้วก็ยังไม่มีประเด็นอะไรที่ฝ่ายค้านจะนำมาโจมตีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเพราะรัฐบาลเพิ่งเริ่มบริหารประเทศได้ไม่นาน
จึงต้องมาดูกันว่าการขึ้นสังเวียนครั้งแรกของฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ที่ชูสโลแกน “น้อยคน ฟังธง ตรงประเด็น” ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้จะสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลได้มากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็แล้วแต่ “เสียงระฆัง” เวทีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก็จะดังเร็วขึ้น ถึงแม้จะอยู่บนความข้องใจของฝ่ายค้านที่อ้างว่าโดน “วิชามาร”ร่นวันอภิปรายไม่ไว้วางใจให้เร็วขึ้นก็ตาม
ฝ่ายค้านนำทัพโดย ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะอภิปรายเป็นคนแรก พร้อมด้วย ส.ส.เพื่อไทยกว่า 40 คน ร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ยุทธการสั่นคลอนรัฐบาลครั้งนี้พุ่งเป้าไปที่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหลักในทุกประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วาง ตามด้วยการพ่วง “เสนาบดี” อีก 5 คน
ประเด็นที่ดูแล้วว่าจะทำให้รัฐบาลระคายผิวได้บ้างน่าจะเป็นรายของ ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง ที่ฝ่ายค้านหวังมุ่งโจมตีจุดตาย “ปมเงิน 258 ล้านบาท” ที่ได้รับโอนมาจากบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่นจำกัด สมัยประดิษฐ์เป็นเลขาธิการพรรคขณะนั้น
แถม“หัวหอก” อย่างเฉลิมที่คุยฟุ้งว่ามีข้อมูลเด็ดว่ามีหลักฐานข้อมูลการยักย้ายถ่ายเทเงินจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นเงินของประชาชน ทั้งสำเนาเอกสารแจงภาษีเงินได้ของพรรคประชาธิปัตย์ , สำเนาเอกสารแสดงงวดรับเงินจาก บริษัท ทีพีไอ โพลิน จำกัด ( มหาชน) เป็นหลักฐานเด็ดเชือดรัฐบาล
อีกคนที่ถูกเด้งเข้าเด้งออกจากบัญชีเชือดครั้งนี้จนสุดท้ายก็ “งานเข้า” เป็น ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมต.มหาดไทย พ่วงด้วย บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ฝ่ายค้านเลือกโจมตีประเด็น“ปฏิบัติการล้างบาง” ที่ทั้ง 2 คนโยกย้ายข้าราชการโดยไม่เป็นธรรม
ซึ่งแจ๊กพ็อตรายใหญ่ตกอยู่ที่การเด้งฟ้าผ่า พีรพล ไตรทศาวิทย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น เข้ากรุมาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรี อีกรายเป็น สุกิจ เจริญรัตนกุล อธิบดีส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง ตามที่ปลัดกระทรวง วิชัย ศรีขวัญ ทำการโยกย้ายข้าราชการระดับ 10 จำนวน 28 ตำแหน่ง ซึ่งทางปลัดบอกว่าเป็นการย้ายในฤดูกาลปกติของกระทรวงมหาดไทย ช่วง มี.ค. – เม.ย.
ต่อมาเกิดเป็นสงครามย่อย ที่นายสุกิจ ไม่ยอมอ่อนข้อให้ง่ายๆ ออกมาเคลื่อนไหวจะแฉเรื่องฝ่ายการเมืองจะเข้ามาจัดสรรงบประมาณในส่วนของกรมการปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 1.5หมื่นล้านบาท ตามด้วยการไปฟ้องศาลปกครองถึงการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม แต่ศาลก็ได้ยกฟ้องเพราะว่าทำผิดขั้นตอน
จนอาจจะมีรายการ “แค้นฝังหุ่น” เกิดขึ้นได้ ซึ่งนายสุกิจ อาจ “ย้อนเกล็ด”ฝั่งรัฐบาลนำข้อมูลสำคัญไปให้ฝ่ายค้านนำไปโจมตีรัฐบาลได้
อีกทั้งสองคนที่เจอเด้งเข้ากรุกระทรวงคลองหลอดยังเป็น “เด็กสายจันทร์ส่องหล้า” อีกด้วย
ส่วนในรายของ กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ คงหนีไม่พ้นเรื่องการปิดสนามบิน ดูแล้วก็เป็นหนังม้วนเก่า ที่เคยนำมาโจมตีกษิต หลายครั้งแล้วในสภาฯ ส่วน กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เป็นเรื่องของการบริหารนโยบายการคลังที่ผิดพลาด ดูแล้วก็ยังไม่มีประเด็นอะไรที่ฝ่ายค้านจะนำมาโจมตีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเพราะรัฐบาลเพิ่งเริ่มบริหารประเทศได้ไม่นาน
จึงต้องมาดูกันว่าการขึ้นสังเวียนครั้งแรกของฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย ที่ชูสโลแกน “น้อยคน ฟังธง ตรงประเด็น” ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลครั้งนี้จะสั่นคลอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลได้มากน้อยเพียงใด