นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะทำงานปฏิบัติการทางการเมือง (วอร์รูม) พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประเมินสถานการณ์ ของประเทศ เพื่อเสนอต่อที่ประชุมพรรคโดยวิเคราะห์สถานการณ์ในขณะนี้ว่า ไม่น่าไว้วางใจ เพราะการเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามปกติตามระบอบประชาธิปไตย แต่สร้างเงื่อนไขเพื่อบรรลุ 2 อย่างคือ 1. สร้างอำนาจต่อรองเพื่อนำไปสู่การให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พ้นจากความผิดในอดีต เช่นการแก้กฎหมายนิรโทษกรรม หรืออภัยโทษ
2. เพื่อล้มรัฐบาล โดยดำเนินการ เปลี่ยนแนวรุกจากเดิม ใน 4 ด้าน 1. แนวรุกด้านมวลชน ของ นปช. ซึ่งเปลี่ยนการชุมนุมใหญ่ไปเป็นการเพิ่มความรุนแรง ในการก่อการต่อต้านโดยคนไม่กี่คน สิ่งทีน่าเป็นห่วงคือการเริ่มพูดถึงระดับความขัดแย้ง พูดถึงสงครามประชาชน 2.แนวร่วมผ่านพรรคเพื่อไทย ที่ใช้กลไกของแกนนำ ที่ใกล้ชิดหรือญาติกับพ.ต.ท.ทักษิณ และแรงผลักดันจากการถอนถอนและอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อนำสู่การแทรกแซงการเริ่มต้นกระบวนการปฏิรูปการเมือง ซึ่งแกนนำได้พูดชัดว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์เพื่อนำระบอบทักษิณ กลับคืนมา
3. แนวร่วมนอกประเทศ แม้พื้นที่การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะน้อยลง แต่มีการเปลี่ยนเป็นการสร้างพันธมิตรกับประเทศ องค์กรและบุคคลที่ไม่มีจุดยืน ที่ให้ความสำคัญกับระบบยุติธรรมหรือประชาธิปไตยและ 4.สงครามสื่อสารมวลชน ที่มีการปลุกระดมโดยใช้สื่อบนดินและใต้ดินเป็นหลักไปสู่การเพิ่มการบิดเบือนประเด็นด้านเศรษฐกิจเพื่อลดความน่าเชื่อถือและซ้ำเติมประเทศ
ที่ประชุมเป็นห่วงกันมากคือการใช้เครือข่ายสื่อต่างประเทศกดดันสถาบันนอกการเมืองในลักษณะการตั้งคำถามในกระบวนการประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรมและศาล ก้าวล่วงถึงพระราชอำนาจด้วย
อย่างไรก็ตามเงื่อนไขของ 4 แนวร่วมนี้จะไม่บรรลุความสำเร็จถ้ารัฐบาล สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศและประชาชนใน 5 ด้านหลัก คือ 1. แสดงให้เห็นถึง การแก้วิกฤติเศรษฐกิจ 2. ให้การเยียวยาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งเกษตรกร ผู้ว่างงาน เป็นต้น
3. การเริ่มต้นปฏิรูปการเมือง เพื่อสร้างความปรองดองเอาวิกฤตออกจาก การเมืองไทย 4.แก้ไขความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 5. การแก้ไขปัญหายาเสพติด และอาชญากรรม และในวันที่ 18 มี.ค. ทีมวอร์รูมจะร่วมประชุมกับคณะทำงานวิปรัฐบาล เพื่อให้พรรคร่วมรัฐบาลรับรู้ถึงการประเมินสถานการณ์ดังกล่าว และเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจเนื่องจากเห็นห่วงว่าการอภิปรายจะเป็นแบบเก่า บิดเบือนข้อเท็จจริงทำให้คนไม่เชื่อมั่นว่าเวทีสภาจะเป็นทางออกของประเทศได้
พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. กล่าวถึงขบวนการล้มรัฐบาลและกองทัพตามแผน ตากสินว่า กองทัพ เข้าร่วมปฏิบัติในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงานโดยมีการ ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เมื่อมีการปฏิบัติการที่อยู่นอกเหนือกฎหมายผู้รักษากฎหมายหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ คงดำเนินการอย่างเด็ดขาดมากขึ้น เพราะหากไม่ดำเนินการอย่างจริงจังจะทำให้มีข้อขัดแย้งเพิ่มขึ้นไม่จบ
ผบ.ทอ. กล่าวว่าในส่วนของกองทัพอากาศได้ประชุมและให้นโยบายกับหัวหน้าส่วนราชการ รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ คิดว่าจากข้อมูลของสื่อต่าง ๆและเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากขึ้นอะไรที่ไม่เป็นความจริง ประชาชนมีความรู้ มีความคิด แยกแยะได้ว่าสิ่งไหนดี ไม่ดี และควรเชื่อถือหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้บัญชาการเหล่าทัพได้ติดต่อพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามสถานการณ์ หากเห็นว่ามีแนวโน้มจะเกิดความรุนแรง ก็จะประชุมหารือ เพื่อหาแนวทางแก้ไข คิดว่าขณะนี้ไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะเชื่อมั่นประชาชนแยกแยะได้
2. เพื่อล้มรัฐบาล โดยดำเนินการ เปลี่ยนแนวรุกจากเดิม ใน 4 ด้าน 1. แนวรุกด้านมวลชน ของ นปช. ซึ่งเปลี่ยนการชุมนุมใหญ่ไปเป็นการเพิ่มความรุนแรง ในการก่อการต่อต้านโดยคนไม่กี่คน สิ่งทีน่าเป็นห่วงคือการเริ่มพูดถึงระดับความขัดแย้ง พูดถึงสงครามประชาชน 2.แนวร่วมผ่านพรรคเพื่อไทย ที่ใช้กลไกของแกนนำ ที่ใกล้ชิดหรือญาติกับพ.ต.ท.ทักษิณ และแรงผลักดันจากการถอนถอนและอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อนำสู่การแทรกแซงการเริ่มต้นกระบวนการปฏิรูปการเมือง ซึ่งแกนนำได้พูดชัดว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์เพื่อนำระบอบทักษิณ กลับคืนมา
3. แนวร่วมนอกประเทศ แม้พื้นที่การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะน้อยลง แต่มีการเปลี่ยนเป็นการสร้างพันธมิตรกับประเทศ องค์กรและบุคคลที่ไม่มีจุดยืน ที่ให้ความสำคัญกับระบบยุติธรรมหรือประชาธิปไตยและ 4.สงครามสื่อสารมวลชน ที่มีการปลุกระดมโดยใช้สื่อบนดินและใต้ดินเป็นหลักไปสู่การเพิ่มการบิดเบือนประเด็นด้านเศรษฐกิจเพื่อลดความน่าเชื่อถือและซ้ำเติมประเทศ
ที่ประชุมเป็นห่วงกันมากคือการใช้เครือข่ายสื่อต่างประเทศกดดันสถาบันนอกการเมืองในลักษณะการตั้งคำถามในกระบวนการประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรมและศาล ก้าวล่วงถึงพระราชอำนาจด้วย
อย่างไรก็ตามเงื่อนไขของ 4 แนวร่วมนี้จะไม่บรรลุความสำเร็จถ้ารัฐบาล สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศและประชาชนใน 5 ด้านหลัก คือ 1. แสดงให้เห็นถึง การแก้วิกฤติเศรษฐกิจ 2. ให้การเยียวยาช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ทั้งเกษตรกร ผู้ว่างงาน เป็นต้น
3. การเริ่มต้นปฏิรูปการเมือง เพื่อสร้างความปรองดองเอาวิกฤตออกจาก การเมืองไทย 4.แก้ไขความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 5. การแก้ไขปัญหายาเสพติด และอาชญากรรม และในวันที่ 18 มี.ค. ทีมวอร์รูมจะร่วมประชุมกับคณะทำงานวิปรัฐบาล เพื่อให้พรรคร่วมรัฐบาลรับรู้ถึงการประเมินสถานการณ์ดังกล่าว และเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจเนื่องจากเห็นห่วงว่าการอภิปรายจะเป็นแบบเก่า บิดเบือนข้อเท็จจริงทำให้คนไม่เชื่อมั่นว่าเวทีสภาจะเป็นทางออกของประเทศได้
พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. กล่าวถึงขบวนการล้มรัฐบาลและกองทัพตามแผน ตากสินว่า กองทัพ เข้าร่วมปฏิบัติในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงานโดยมีการ ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เมื่อมีการปฏิบัติการที่อยู่นอกเหนือกฎหมายผู้รักษากฎหมายหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ คงดำเนินการอย่างเด็ดขาดมากขึ้น เพราะหากไม่ดำเนินการอย่างจริงจังจะทำให้มีข้อขัดแย้งเพิ่มขึ้นไม่จบ
ผบ.ทอ. กล่าวว่าในส่วนของกองทัพอากาศได้ประชุมและให้นโยบายกับหัวหน้าส่วนราชการ รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ คิดว่าจากข้อมูลของสื่อต่าง ๆและเทคโนโลยีในปัจจุบัน ทำให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากขึ้นอะไรที่ไม่เป็นความจริง ประชาชนมีความรู้ มีความคิด แยกแยะได้ว่าสิ่งไหนดี ไม่ดี และควรเชื่อถือหรือไม่ นอกจากนี้ ผู้บัญชาการเหล่าทัพได้ติดต่อพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามสถานการณ์ หากเห็นว่ามีแนวโน้มจะเกิดความรุนแรง ก็จะประชุมหารือ เพื่อหาแนวทางแก้ไข คิดว่าขณะนี้ไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะเชื่อมั่นประชาชนแยกแยะได้
