xs
xsm
sm
md
lg

เซ็นทรัลตั้งทีมเทคโอเวอร์ทุ่ม9.2พันล.ขยายธุรกิจปี52

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – ซีอาร์ซีตั้งหน่วยไล่ล่า เทคโอเวอร์ ร่วมถือหุ้น โครงการค้าปลีก ทั้งในและต่างประเทศ หวังได้ของดีราคาต่ำ เปิดกว้างทุกรูปแบบ ตั้งงบก้อนดโ 3,000 ล้านบาทเตรียมไว้แล้ว เผยมี 4 โครงการในต่างประเทศเข้าตากรรมการ ลั่นปีนี้ใช้งบลงทุนรวม 9,200 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ 93,920 ล้านบาท เติบโต 10%

นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรีล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือซีอาร์ซี เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาอย่างเป็นทางการเมื่อต้นปีนี้ชื่อว่า คอร์ปอเรท สตาร์ทติจี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ โดยมีนางสาวพรชนก ตันสกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส เป็นหัวหน้าทีมดังกล่าว และมีทีมงานประมาณ 5 คน
ทั้งนี้หน่วยงานดังกล่าวมีหน้าที่หลักในการศึกษาและหาข้อมูลในการขยายธุรกิจด้วยการ เทคโอเวอร์ ร่วมหุ้น ซื้อโครงการ หรือร่วมทุน ในโครงการต่างๆทั้งในและต่างประเทศ ที่มุ่งเน้นไปที่ธุรกิจค้าปลีกเป็นหลักก่อน ซึ่งจะประสานงานกับทางธนาคารเป็นหลักในการศึกษาข้อมูลต่างๆถึงโครงการที่น่าสนใจรวมทั้งบริษัทด้วย โดยเบื้องต้นตั้งงบประมาณลงทุนไว้ที่ 3,000 ล้านบาทก่อน
ปัจจุบันมีหลายโครงการและหลายบริษัท ที่เราได้ทำการศึกษาข้อมูลอยู่และมีความน่าสนใจแต่ยังไม่สรุปว่าจะลงทุนรูปแบบใด โดยแบ่งเป็นโครงการ 3-4 แห่งในต่างประเทศ ส่วนในรูปแบบบริษัทก็มีประมาณ 5-6 บริษัทที่น่าสนใจเข้าไปซื้อกิจการ ทั้งนี้บริษัทฯเปิดกว้างทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการถือหุ้นใหญ่ ถือหุ้นน้อย หรือบริหารด้วยหรือแค่ถือหุ้น แล้วแต่ความเหมาะสม
“การทำแบบนี้ไม่ใช่เป็นการกระจายความเสี่ยง แต่ถ้าเราไม่ขยายธุรกิจทางด้านนี้ เราก็มีแต่การเติบโตมาจากการขยายสาขา การทำตลาดเท่านั้น ซึ่งมันก็คงได้ระดับหนึ่ง ซึ่งเราตั้งเป้าหมายในปีนี้จะต้องมีการเติบโตของซีอาร์ซีรวมอยู่ที่ 10% ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการเติบโตที่มาจากการซื้อธุรกิจด้วยประมาณ 4% เพราะเชื่อวาตอน้มีของดีและราคาสมเหตุสมผล แต่ไม่ใช่ว่าทุกดครงการมีปัญหาแล้วมาขาย เพราะก็มีทั้งผู้อยากจะขายเหมือนกัน ซึ่งเราทำงานประสานกับแบงก์ที่เขามีข้อมูลตรงนี้ ” นายทศกล่าว
นายทศกล่าวว่า การดำเนินงานแบบนี้ ซีอาร์ซีทำมาก่อนแล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นหน่วยงานที่ชัดเจนเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการลงทุนไปมากเช่น การซื้อหุ้นท็อปส์คืนจากรอยัลเอโฮลด์ การซื้อหุ้นในบริษัทเพจวันที่สิงคโปร์ทำให้ซีอาร์ซีเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 40% แต่ไม่ได้บริหาร และปีที่แล้ว ออฟฟิศดีโป้เข้าซื้อหุ้นในบริษัทแม็คโครออฟฟิศเซ็นเตอร์ และบริหารเอง ทำให้ออฟฟิศดีโป้ซึ่งเป็นธุรกิจในเครือมีการเติบโตมากถึง 87%
สำหรับแผนการลงทุนปีนี้คาดว่าจะใช้งบประมาณรวม 9,200 ล้านบาท คาดหวังยอดขายรวมประมาณ 93,920 ล้านบาท เติบโต 10% และจะมีการเปิดสาขาใหม่ทุกหน่วยธุรกิจรวมกันอีกอย่างต่ำ 64 สาขา รวมสิ้นปีนี้จะเป็น 442 สาขา จะทำให้มีพื้นที่ค้าปลีกรวม 1,481,255 ตารางเมตร ซึ่งเป็นการเพิ่มจำนวนสาขามากถึง 8.4% ถือเป็นการลงทุนที่สูงและเปิดสาขามากที่สุดปีหนึ่งของซีอาร์ซี
ขณะที่ปีที่แล้วใช้งบประมาณลงทุนรวม 4,100 ล้านบาท มีรายได้รวม 85,380 ล้านบาท เติบโต 5.73% มีสาขารวมถึงสิ้นปี 378 สาขา มีพื้นที่รวม 1,365,866 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 6.3% ซึ่งถือเป็นปีที่มีผลประกอบการค่อนข้างดี
โดยการลงทุนในปี 2552 หลักๆคือ การเปิดสาขาใหม่ๆ 5,000 ล้านบาท เช่น คอมมูนิตี้มอลล์ที่ถนนราชพฤกษ์จะมีทั้งท็อปส์และโฮมเวิร์ครวมกัน, การลงทุนเปิดโรบินสันที่ชลบุรี เป็นต้น การรีโนเวทอีก 1,300 ล้านบาท เช่น ลาดพร้าว ปิ่นเกล้า บางนา เซ็นทรัลภูเก็ต โรบินสันศรีราชา โรบินสันหาดใหญ่ , งบหน่วยเทคโอเวอร์ 3,000 ล้านบาท , งบไอที 600 ล้านบาท, งบ 530 ล้านบาท สำหรับโรบินสันซื้อหุ้นคืน และ งบ 40 ล้านบาท สำหรับการลงทุนสร้างดีซีแห่งใหม่ที่ถนนบางนา-ตราด เฟสแรกพื้นที่ 12,000 ตารางเมตรเปิดตุลาคมปีนี้ และ เฟสที่สอง เปิดปีหน้า จะช่วยให้เดิมมี 5 ดีซี ลดเหลือ 2 ดีซีใหม่ ลดค่าใช้จ่ายลง 10%
ส่วนสาขาในต่างประเทศนั้น คือ โครงการห้างเซ็นทรัลที่ร่วมกับทางกลุ่มมิกซ์ซี เปิดสาขาแรก ที่หางโจว ลงทุน 700 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดเดือนมีนาคมปี 2553 และสาขาที่สองเพิ่งเซ็นสัญญาคือ ที่เสิ่นหยาง ลงทุน 700 ล้านบาท อยู่ในโครงการขนาดใหญ่ของกลุ่มมิกซ์ซีเช่นกัน พื้นที่ทั้งหมดรวม 6 แสนตารางเมตร โดยห้างเซ็นทรัลมีพื้นที่ 27,000 ตารางเมตร เปิดต้นปี 2554
นายทศกล่าวด้วยว่า ปีนี้จะทำซีอาร์เอ็มเต็มที่ โดยใช้ฐานบัตร เดอะวันการ์ดและบัตรสปอตรีวอร์ด เป็นกลยุทธสำคัญ ซึ่งขณะนี้ เดอะวันการ์ดมีสมาชิกกว่า 2 ล้านราย มีการใช้จ่ายผ่านบัตรประมาณ 75% ส่วนสปอตรีวอร์ดมีสมาชิก 4 ล้านราย ใช้จ่ายผ่านบัตร 82% หลังจากที่ 2 ปีที่ผ่านมาทำการเก็บข้อมูลลุกค้าไว้ได้เรียบร้อยแล้วเพื่อที่จะได้ทำการตลาดตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยที่จะโยกงบประมาณด้านการตลาดประมาณ 5-20% จากการทำตลาดแบบแมสมาร์เก็ตติ้งมาทำไดเร็คมาร์เก็ตติ้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น