ฉาวอีก ข้าราชการโร่แจ้ง ป.ป.ท. ตรวจสอบ กบข. บริหารเงินสมาชิกปี 51 ขาดทุน 74,000 ล้าน จนสมาชิกล้านกว่าคนมียอดเงินติดลบเฉลี่ยอย่างน้อยคนละ 10,000 บาท จี้ กบข. เร่งออกมาให้ข้อมูล พร้อมเร่งประสาน ก.ล.ต. และวิทยาลัยตลาดทุน ให้ส่งผู้เชี่ยวชาญร่วมวิเคราะห์การลงทุนของกบข. แก้ความคลางแคลงใจ ขณะเดียวกัน เตรียมเดินหน้าสอบผู้บริหาร ลงทุนหากำไรตามระเบียบปฏิบัติหรือไม่ หากพบมีความผิด ต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย ด้าน "วิสิฐ" ย้ำ ผลงานปีนี้ ไม่เห็นผลตอบแทนขาดทุนอีกแน่นอน
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีการตรวจสอบผลการบริหารของ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งผลประกอบการขาดทุนจนทำให้ข้าราชการที่เป็นสมาชิกกบข.กว่า 1,100,000 คน ได้รับความเสียหายโดยมียอดเงินสมทบติดลบว่า ภายหลังจาก ป.ป.ท.ได้รับการร้องเรียนจากข้าราชการในสำนักงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้ตรวจสอบการบริหารเงินขาดทุนของกบข. จากนั้นก็มีข้าราชการอีกหลายหน่วยงาน ได้ร้องเรียนมายัง ป.ป.ท.อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร โดยแสดงความกังวลและคลางแคลงใจในการบริหารของกบข.ที่ผลประกอบการขาดทุน ตนจึงได้มอบหมายให้ชุดสืบสวนจากหน่วยป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2 หน่วยงานการข่าว และหน่วยกฎหมายของป.ป.ท. เข้าไปตรวจสอบการตัดสินใจและบริหารสินทรัพย์และการลงทุนของ กบข.
ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ตรวจสอบพบว่า สินทรัพย์ของกบข.ที่มีอยู่จนถึงกลางปี พ.ศ.2551 มีจำนวนทั้งสิ้น 376,000 ล้านบาท แต่ผลจากการลงทุนเพียง 4 เดือนช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 กบข.ขาดทุนไปถึง 74,000 ล้านบาท ส่งผลให้ข้าราชการแต่ละคนมียอดเงินติดลบเฉลี่ยอย่างน้อย 10,000 บาท ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าว กบข.ควรออกมาให้ข้อมูลเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และให้ข้าราชการหายคลางแคลงใจ เพราะกฎหมายกำหนดให้กบข.ต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่มั่นคง มีความเสี่ยงน้อยที่สุด แต่เหตุใดปีที่ผ่านมา การลงทุนของกบข.จึงขาดทุนส่งผลให้ยอดเงินสะสมของข้าราชการติดลบเป็นจำนวนมาก
"กบข.เองเป็นหน่วยงานของรัฐ เรื่องที่เกิดขึ้นจะต้องมีความรับผิดชอบอย่างไร เพราะที่ผ่านมากรณีธนาคารกรุงไทย ซึ่งมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ มีผู้บริหารวิเคราะห์การปล่อยสินเชื่อผิดพลาดทำให้เกิดความเสียหาย ก็ยังต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและอาญา"นายธาริตกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแนวทางการตรวจสอบ ป.ป.ท.จะประสานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และวิทยาลัยตลาดทุน ให้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์การลงทุนของกบข.ที่เกิดภาวะขาดทุน เพื่อให้ความจริงปรากฏว่าสถานการณ์จริงเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม หากข้าราชการรายใดต้องการร้องเรียนหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติม กรณีเงินกบข.สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานป.ป.ท.
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา มีรายงานข่าวจากกระทรวงยุติธรรมระบุว่า ข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมจำนวนหนึ่ง ได้เข้าร้องทุกข์ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ให้ตรวจสอบกรณี กบข. บริหารเงินกองทุนสะสม ซึ่งเป็นเงินออมของข้าราชการทั่วประเทศ ในปี 2551 จนทำให้ผลตอบแทนติดลบร้อยละ 5.31 โดยผู้เสียหายรายหนึ่งระบุว่า เงินสะสมขาดทุนติดลบไปกว่า 23,000 บาท จึงต้องการให้หน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตประพฤติมิชอบ เข้ามาตรวจสอบว่ามีการตัดสินใจนำเงิน กบข.ไปลงทุนโดยมิชอบหรือไม่ โดยหนังสือร้องเรียนได้ตั้งข้อสังเกตว่า กบข.ตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงมากกว่า เลือกซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ให้ผลตอบแทนสูง จึงอาจมองได้ว่า มีฝ่ายการเมืองแทรกแซงการตัดสินใจในการลงทุนหรือไม่ เพราะหุ้นที่ กบข.นำเงินไปลงทุนอาจเอื้อประโยชน์ให้หุ้นดังกล่าวมีมูลค่าสูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีข่าวระบุว่า ผู้บริหารของ กบข.ยังได้รับเงินโบนัสในปี 2551 เฉลี่ยคนละ 3 เดือน ซึ่งข่าวดังกล่าว สร้างความไม่พอใจให้กับข้าราชการที่เป็นสมาชิกกบข. ซึ่งต้องสูญเงินสะสมไปเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับข้าราชการทั่วประเทศทุกกระทรวงทบวงกรมนั้น มีตัวเลขเฉลี่ยแล้ว บรรดาข้าราชการจะมีเสียหายคนละประมาณ 10,000 บาท
ป.ป.ท. เดินหน้าสอบลงทุนตามกฏหรือไม่
รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังรับเรื่องร้องเรียน ป.ป.ท.ได้เร่งตรวจสอบจำนวนข้าราชการที่เป็นสมาชิก กบข.ทั่วประเทศ คาดว่า มีไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน และจะทำหนังสือขอรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุนและดูแลเงินออมของข้าราชการไปยัง กบข.นอกจากนี้ จะประสานให้นักวิเคราะห์การเงินการลงทุนมาช่วยตรวจสอบว่า ในภาวะปกติจะตัดสินใจซื้อหุ้นตัวเดียวกับที่กบข.ลงทุนหรือไม่ เนื่องจากการตัดสินใจลงทุนของผู้บริหารกบข.ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเงินออมของข้าราชการทั่วประเทศ
ด้านแหล่งข่าวในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยว่า ป.ป.ท. ได้รับเรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษจากข้าราชการบำนาญหลายราย ให้ตรวจสอบการบริหารเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกบข. ที่มีนายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ กบข. และกรรมการกบข.บริหาร อยู่ว่าอาจดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้กบข.ขาดทุนและกระทบถึงข้าราชการผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ตลอดจนข้าราชการอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกกบข. โดยเรื่องนี้ นายธาริต เลขาธิการ ป.ป.ท. จึง มอบหมายให้ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผอ.ป.ป.ท.2 รับผิดชอบกระทรวงการคลังไปตรวจสอบ ข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ หนังสือร้องเรียนของข้าราชการบำนาญส่งเข้ามาหลายราย กล่าวหาว่าผู้บริหารกบข. นำเงินกองทุนและสินทรัพย์สูงเกือบ 4 หมื่นล้านบาท ไปบริหารโดยซื้อหุ้นในประเทศและต่างประเทศ และลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง น่าเชื่อว่าจะมีการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่สุจริตจนทำให้เกิดการขาดทุนอย่างมาก
โดยผู้ร้องเรียนรายหนึ่งให้ข้อมูลว่า เป็นเจ้าของเงินกองทุนมูลค่า 3 หมื่นบาท กบข.ส่งรายงานผลประกอบการแจ้งให้ทราบว่าขาดทุนและเงินกองทุนของข้าราชการ รายนี้เหลือเพียง 6,000 บาท จึงสงสัยในการบริหารเงินกองทุน และร้องเรียนให้ป.ป.ท.เข้าไปตรวจสอบ
แหล่งข่าวป.ป.ท. กล่าวว่า พ.ต.ท.สมบูรณ์ จะเข้าไปพบ ผู้บริหาร กบข.ตรวจสอบข้อเท็จจริงจำนวนเงินกองทุนและการบริหารกองทุนว่า กบข.เอาเงินไปลงทุนหากำไรตามระเบียบปฏิบัติแล้วหรือไม่ ผลประกอบการมีการขาดทุนหรือกำไร หากขาดทุนเกิดเพราะเหตุ สุดวิสัย หรือว่าเกิดจากความไม่ระมัดระวังในการลงทุน เช่น ซื้อหุ้นไม่ดีหรือไม่ หากพบว่ากบข.มี พฤติการณ์ไม่ชอบตามหนังสือร้องเรียน ทางป.ป.ท.จะต้องไต่สวนว่าการกระทำนั้นมีลักษณะประพฤติมิชอบหรือทุจริต อันเข้าข่าย ความผิดอาญามาตรา 157 หรือ เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความรับผิดของเจ้าหน้าที่ของ รัฐ พ.ศ. 2502 หากพบว่าเข้าข่าย ก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ ข้อเท็จจริงเบื้องต้น
"วิสิฐ"ย้ำผลงานปี52ไม่เห็นติดลบแน่นอน
สำหรับผลการดำเนินงานของกบข.ในช่วงปี 2551 ที่ผ่านมา ณ สิ้นเดือนธันวาคมปี 51 กบข. มีผลตอบแทนจากการลงทุน -5.12% โดยปัจจุบัน มีสินทรัพย์สุทธิรวมทั้งสิ้น 391,882.24 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ กบข. ออกมาชี้แจงถึงสาเหตุที่ผลตอบแทนติดลบว่า เป็นผลมาจากผลตอบแทนจากการลงทุนปรับตัวลดลงทั่วโลก ประกอบกับได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และเสถียรภาพการเมืองภายในประเทศ นอกจากนี้ ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งในสหรัฐ และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเป็นแรงกดดันให้เกินปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากตลาดหุ้นที่มีการไหลออกอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกอ่อนตัวลงอย่างรุนแรงกว่า 40% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากถึง 50%
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของกบข. ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย โดยผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน อยู่ที่ 7.04% ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 3.16% และผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 2.34%
นายวิสิฐกล่าวว่า สำหรับผลตอบแทนในปีนี้ กบข.มั่นใจว่าจะสามารถฟื้นกลับมาได้อย่างแน่นอน ซึ่งการที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง จึงได้มีการเตรียมปรับแผนการลงทุน และศึกษาลู่ทางการลงทุนใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อป้องกันและลดความความเสี่ยงการลงทุน โดยมองหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเต้มทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น
ล่าสุด วานนี้ (11 มี.ค.) นายวิสิฐกล่าวย้ำว่า ลงทุนของ กบข.ในปีนี้โอกาสที่ผลตอบแทนจะปรับลดไปติดลบ 5% คงไม่มี หากภาวะเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับปัจจุบัน ในขณะที่การปรับพอร์ตการลงทุนของ กบข. ขณะนี้ ก็กำลังดูสถานการณ์ในต่างประเทศว่าเป็นอย่างไร จึงจะสามารถคาดการณ์ได้และปรับกลยุทธ์อีกครั้ง ส่วนการที่ราคาหุ้นต่างประเทศมีราคาถูกและปรับลดลงมามาก แต่กบข.ยังไม่คิดจะเข้าไปลงทุน เนื่องจากไม่ทราบว่าจุดต่ำสุดมันอยู่ไหน สำหรับตลาดหุ้นไทยเอง ก็ไม่ได้ถูกกว่าประเทศอื่นมากนัก ซึ่งราคาหุ้นขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะเป็นอย่างไร แต่ยังมองว่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) น่าจะสามารถพยุงผลกำไรในระดับเดิมได้ เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับลดลงมาพอสมควรแล้ว โดยขอให้เห็นภาพรวมเศรษฐกิจที่ชัดเจนก่อน จึงจะเข้าไปเพิ่มน้ำหนักการลงทุน
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกจากสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ยังไม่น่าเป็นห่วงนัก โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 น่าจะปรับตัวดีขึ้น แต่ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกด้วย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่เห็นภาพชัดเจนว่าเศรษฐกิจทั่วโลก และเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะฟื้นตัว แต่คงไม่ปรับตัวลงไปกว่านี้มากกว่านี้ ขณะที่ประเทศไทยเองค่อนข้างเห็นภาพได้ชัดเจนว่าเศรษฐกิจมีปัญหา และเศรษฐกิจไม่ได้อยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่แต่ในประเทศอย่างเดียว ต้องมีการพึ่งด้านการส่งออกด้วย หากเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวต้องดูที่การส่งออก และอัตราการว่างงาน หากตัวเลขทั้งสองอย่างดีขึ้น และต้องรอให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวก่อนด้วย
ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่า นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ กบข. จะแถลงชี้แจงผลประกอบการที่ติดลบทั้งหมดในวันนี้ (12 มี.ค.) โดยจะเชิญเจ้าหน้าที่จาก ป.ป.ท. มาร่วมฟังข้อมูลด้วย
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีการตรวจสอบผลการบริหารของ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งผลประกอบการขาดทุนจนทำให้ข้าราชการที่เป็นสมาชิกกบข.กว่า 1,100,000 คน ได้รับความเสียหายโดยมียอดเงินสมทบติดลบว่า ภายหลังจาก ป.ป.ท.ได้รับการร้องเรียนจากข้าราชการในสำนักงานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้ตรวจสอบการบริหารเงินขาดทุนของกบข. จากนั้นก็มีข้าราชการอีกหลายหน่วยงาน ได้ร้องเรียนมายัง ป.ป.ท.อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร โดยแสดงความกังวลและคลางแคลงใจในการบริหารของกบข.ที่ผลประกอบการขาดทุน ตนจึงได้มอบหมายให้ชุดสืบสวนจากหน่วยป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2 หน่วยงานการข่าว และหน่วยกฎหมายของป.ป.ท. เข้าไปตรวจสอบการตัดสินใจและบริหารสินทรัพย์และการลงทุนของ กบข.
ทั้งนี้ จากข้อมูลที่ตรวจสอบพบว่า สินทรัพย์ของกบข.ที่มีอยู่จนถึงกลางปี พ.ศ.2551 มีจำนวนทั้งสิ้น 376,000 ล้านบาท แต่ผลจากการลงทุนเพียง 4 เดือนช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 กบข.ขาดทุนไปถึง 74,000 ล้านบาท ส่งผลให้ข้าราชการแต่ละคนมียอดเงินติดลบเฉลี่ยอย่างน้อย 10,000 บาท ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าว กบข.ควรออกมาให้ข้อมูลเพื่อให้เกิดความเข้าใจ และให้ข้าราชการหายคลางแคลงใจ เพราะกฎหมายกำหนดให้กบข.ต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่มั่นคง มีความเสี่ยงน้อยที่สุด แต่เหตุใดปีที่ผ่านมา การลงทุนของกบข.จึงขาดทุนส่งผลให้ยอดเงินสะสมของข้าราชการติดลบเป็นจำนวนมาก
"กบข.เองเป็นหน่วยงานของรัฐ เรื่องที่เกิดขึ้นจะต้องมีความรับผิดชอบอย่างไร เพราะที่ผ่านมากรณีธนาคารกรุงไทย ซึ่งมีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ มีผู้บริหารวิเคราะห์การปล่อยสินเชื่อผิดพลาดทำให้เกิดความเสียหาย ก็ยังต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและอาญา"นายธาริตกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแนวทางการตรวจสอบ ป.ป.ท.จะประสานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และวิทยาลัยตลาดทุน ให้ส่งผู้เชี่ยวชาญเข้ามาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์การลงทุนของกบข.ที่เกิดภาวะขาดทุน เพื่อให้ความจริงปรากฏว่าสถานการณ์จริงเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม หากข้าราชการรายใดต้องการร้องเรียนหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติม กรณีเงินกบข.สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานป.ป.ท.
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา มีรายงานข่าวจากกระทรวงยุติธรรมระบุว่า ข้าราชการในกระทรวงยุติธรรมจำนวนหนึ่ง ได้เข้าร้องทุกข์ต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ให้ตรวจสอบกรณี กบข. บริหารเงินกองทุนสะสม ซึ่งเป็นเงินออมของข้าราชการทั่วประเทศ ในปี 2551 จนทำให้ผลตอบแทนติดลบร้อยละ 5.31 โดยผู้เสียหายรายหนึ่งระบุว่า เงินสะสมขาดทุนติดลบไปกว่า 23,000 บาท จึงต้องการให้หน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตประพฤติมิชอบ เข้ามาตรวจสอบว่ามีการตัดสินใจนำเงิน กบข.ไปลงทุนโดยมิชอบหรือไม่ โดยหนังสือร้องเรียนได้ตั้งข้อสังเกตว่า กบข.ตัดสินใจลงทุนซื้อหุ้นที่มีความเสี่ยงมากกว่า เลือกซื้อหุ้นในกลุ่มพลังงานที่ให้ผลตอบแทนสูง จึงอาจมองได้ว่า มีฝ่ายการเมืองแทรกแซงการตัดสินใจในการลงทุนหรือไม่ เพราะหุ้นที่ กบข.นำเงินไปลงทุนอาจเอื้อประโยชน์ให้หุ้นดังกล่าวมีมูลค่าสูงขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีข่าวระบุว่า ผู้บริหารของ กบข.ยังได้รับเงินโบนัสในปี 2551 เฉลี่ยคนละ 3 เดือน ซึ่งข่าวดังกล่าว สร้างความไม่พอใจให้กับข้าราชการที่เป็นสมาชิกกบข. ซึ่งต้องสูญเงินสะสมไปเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับข้าราชการทั่วประเทศทุกกระทรวงทบวงกรมนั้น มีตัวเลขเฉลี่ยแล้ว บรรดาข้าราชการจะมีเสียหายคนละประมาณ 10,000 บาท
ป.ป.ท. เดินหน้าสอบลงทุนตามกฏหรือไม่
รายงานข่าวแจ้งว่า ภายหลังรับเรื่องร้องเรียน ป.ป.ท.ได้เร่งตรวจสอบจำนวนข้าราชการที่เป็นสมาชิก กบข.ทั่วประเทศ คาดว่า มีไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน และจะทำหนังสือขอรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุนและดูแลเงินออมของข้าราชการไปยัง กบข.นอกจากนี้ จะประสานให้นักวิเคราะห์การเงินการลงทุนมาช่วยตรวจสอบว่า ในภาวะปกติจะตัดสินใจซื้อหุ้นตัวเดียวกับที่กบข.ลงทุนหรือไม่ เนื่องจากการตัดสินใจลงทุนของผู้บริหารกบข.ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเงินออมของข้าราชการทั่วประเทศ
ด้านแหล่งข่าวในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เปิดเผยว่า ป.ป.ท. ได้รับเรื่องร้องทุกข์กล่าวโทษจากข้าราชการบำนาญหลายราย ให้ตรวจสอบการบริหารเงินกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกบข. ที่มีนายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ กบข. และกรรมการกบข.บริหาร อยู่ว่าอาจดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้กบข.ขาดทุนและกระทบถึงข้าราชการผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ตลอดจนข้าราชการอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกกบข. โดยเรื่องนี้ นายธาริต เลขาธิการ ป.ป.ท. จึง มอบหมายให้ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผอ.ป.ป.ท.2 รับผิดชอบกระทรวงการคลังไปตรวจสอบ ข้อเท็จจริง
ทั้งนี้ หนังสือร้องเรียนของข้าราชการบำนาญส่งเข้ามาหลายราย กล่าวหาว่าผู้บริหารกบข. นำเงินกองทุนและสินทรัพย์สูงเกือบ 4 หมื่นล้านบาท ไปบริหารโดยซื้อหุ้นในประเทศและต่างประเทศ และลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง น่าเชื่อว่าจะมีการดำเนินการที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่สุจริตจนทำให้เกิดการขาดทุนอย่างมาก
โดยผู้ร้องเรียนรายหนึ่งให้ข้อมูลว่า เป็นเจ้าของเงินกองทุนมูลค่า 3 หมื่นบาท กบข.ส่งรายงานผลประกอบการแจ้งให้ทราบว่าขาดทุนและเงินกองทุนของข้าราชการ รายนี้เหลือเพียง 6,000 บาท จึงสงสัยในการบริหารเงินกองทุน และร้องเรียนให้ป.ป.ท.เข้าไปตรวจสอบ
แหล่งข่าวป.ป.ท. กล่าวว่า พ.ต.ท.สมบูรณ์ จะเข้าไปพบ ผู้บริหาร กบข.ตรวจสอบข้อเท็จจริงจำนวนเงินกองทุนและการบริหารกองทุนว่า กบข.เอาเงินไปลงทุนหากำไรตามระเบียบปฏิบัติแล้วหรือไม่ ผลประกอบการมีการขาดทุนหรือกำไร หากขาดทุนเกิดเพราะเหตุ สุดวิสัย หรือว่าเกิดจากความไม่ระมัดระวังในการลงทุน เช่น ซื้อหุ้นไม่ดีหรือไม่ หากพบว่ากบข.มี พฤติการณ์ไม่ชอบตามหนังสือร้องเรียน ทางป.ป.ท.จะต้องไต่สวนว่าการกระทำนั้นมีลักษณะประพฤติมิชอบหรือทุจริต อันเข้าข่าย ความผิดอาญามาตรา 157 หรือ เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความรับผิดของเจ้าหน้าที่ของ รัฐ พ.ศ. 2502 หากพบว่าเข้าข่าย ก็จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ ข้อเท็จจริงเบื้องต้น
"วิสิฐ"ย้ำผลงานปี52ไม่เห็นติดลบแน่นอน
สำหรับผลการดำเนินงานของกบข.ในช่วงปี 2551 ที่ผ่านมา ณ สิ้นเดือนธันวาคมปี 51 กบข. มีผลตอบแทนจากการลงทุน -5.12% โดยปัจจุบัน มีสินทรัพย์สุทธิรวมทั้งสิ้น 391,882.24 ล้านบาท โดยก่อนหน้านี้ นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ กบข. ออกมาชี้แจงถึงสาเหตุที่ผลตอบแทนติดลบว่า เป็นผลมาจากผลตอบแทนจากการลงทุนปรับตัวลดลงทั่วโลก ประกอบกับได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และเสถียรภาพการเมืองภายในประเทศ นอกจากนี้ ปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งในสหรัฐ และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเป็นแรงกดดันให้เกินปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากตลาดหุ้นที่มีการไหลออกอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกอ่อนตัวลงอย่างรุนแรงกว่า 40% ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากถึง 50%
อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนของกบข. ยังคงเป็นไปตามเป้าหมาย โดยผลตอบแทนย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน อยู่ที่ 7.04% ส่วนผลตอบแทนย้อนหลัง 5 ปี อยู่ที่ 3.16% และผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 2.34%
นายวิสิฐกล่าวว่า สำหรับผลตอบแทนในปีนี้ กบข.มั่นใจว่าจะสามารถฟื้นกลับมาได้อย่างแน่นอน ซึ่งการที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง จึงได้มีการเตรียมปรับแผนการลงทุน และศึกษาลู่ทางการลงทุนใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อป้องกันและลดความความเสี่ยงการลงทุน โดยมองหาโอกาสการลงทุนเพิ่มเต้มทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น
ล่าสุด วานนี้ (11 มี.ค.) นายวิสิฐกล่าวย้ำว่า ลงทุนของ กบข.ในปีนี้โอกาสที่ผลตอบแทนจะปรับลดไปติดลบ 5% คงไม่มี หากภาวะเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับปัจจุบัน ในขณะที่การปรับพอร์ตการลงทุนของ กบข. ขณะนี้ ก็กำลังดูสถานการณ์ในต่างประเทศว่าเป็นอย่างไร จึงจะสามารถคาดการณ์ได้และปรับกลยุทธ์อีกครั้ง ส่วนการที่ราคาหุ้นต่างประเทศมีราคาถูกและปรับลดลงมามาก แต่กบข.ยังไม่คิดจะเข้าไปลงทุน เนื่องจากไม่ทราบว่าจุดต่ำสุดมันอยู่ไหน สำหรับตลาดหุ้นไทยเอง ก็ไม่ได้ถูกกว่าประเทศอื่นมากนัก ซึ่งราคาหุ้นขึ้นอยู่กับการคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะเป็นอย่างไร แต่ยังมองว่าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) น่าจะสามารถพยุงผลกำไรในระดับเดิมได้ เนื่องจากราคาหุ้นได้ปรับลดลงมาพอสมควรแล้ว โดยขอให้เห็นภาพรวมเศรษฐกิจที่ชัดเจนก่อน จึงจะเข้าไปเพิ่มน้ำหนักการลงทุน
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกจากสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ยังไม่น่าเป็นห่วงนัก โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 น่าจะปรับตัวดีขึ้น แต่ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของเศรษฐกิจโลกด้วย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่เห็นภาพชัดเจนว่าเศรษฐกิจทั่วโลก และเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะฟื้นตัว แต่คงไม่ปรับตัวลงไปกว่านี้มากกว่านี้ ขณะที่ประเทศไทยเองค่อนข้างเห็นภาพได้ชัดเจนว่าเศรษฐกิจมีปัญหา และเศรษฐกิจไม่ได้อยู่ในช่วงขาขึ้น ซึ่งเศรษฐกิจไทยไม่ได้อยู่แต่ในประเทศอย่างเดียว ต้องมีการพึ่งด้านการส่งออกด้วย หากเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวต้องดูที่การส่งออก และอัตราการว่างงาน หากตัวเลขทั้งสองอย่างดีขึ้น และต้องรอให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวก่อนด้วย
ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่า นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการ กบข. จะแถลงชี้แจงผลประกอบการที่ติดลบทั้งหมดในวันนี้ (12 มี.ค.) โดยจะเชิญเจ้าหน้าที่จาก ป.ป.ท. มาร่วมฟังข้อมูลด้วย