วานนี้ (11 มี.ค.) นายสุจิต บุญบงการ ประธานสภาพัฒาการเมืองและประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อศึกษารับฟังความคิดเห็นและเสนอแนะการพัฒนาประชาธิปไตยและการเมืองการปกครอง กล่าวชี้แจงกรณีถูกกล่าวหาจากพรรคเพื่อไทยว่า การมาเป็นประธานครั้งนี้ เพราะมีกลุ่มนักการเมืองบางคน และกลุ่มสีเขียวสนับสนุนว่า ไม่จริง และตนไม่เคยมีกลุ่มอำนาจฝ่ายใดมาทาบทาม มีเพียงสถาบันพระปกเกล้า ซึ่งเห็นว่าตนไม่ได้อิงกับทั้งฝ่ายพันธมิตรฯ และกลุ่ม นปช. จึงเห็นว่าเหมาะสมที่จะมาทำงานตรงจุดนี้ ดังนั้นข่าวที่เกิดขึ้นเป็นเพียงข่าวโคมลอย และตนไม่ขอตอบโต้ เพราะต้องการให้เกิดความสมานฉันท์ในประเทศ
ส่วนกรณีที่ศิษย์เก่าสถาบันพระปกเกล้าบางคน เตรียมล่ารายชื่อ เพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่งนั้น นายสุจิต กล่าวว่า การทำงานตรงนี้ไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง บุคคลทั่วไปไม่สามารถถอดถอนได้ แต่ถ้าสภาสถาบันพระปกเกล้า เห็นว่าตนไม่เหมาะสมก็ดำเนินการถอดถอนได้ และตนก็พร้อมยุติหน้าที่
ด้านนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่า จะไม่ขอเข้าร่วมเป็น 1 ใน 50 กรรมการอิสระเพื่อศึกษารับฟังความคิดเห็นและเสนอแนะการพัฒนาประชาธิปไตยและการเมืองการปกครองอย่างแน่นอน เนื่องจากต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง โดยจะขอทำหน้าที่เพียงแต่ให้คำเสนอแนะ แนวทางบางอย่างที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง
ส่วนสเปกของบุคคลที่จะเข้าร่วมในคณะกรรมการอิสระนั้น เห็นว่าควรจะเป็นบุคคลที่มีความรอบรู้ และจะต้องไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่เคยเป็นผู้ร่าง หรือเป็นกรรมการผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับปี 2540 และ 2550 มาก่อน ส่วนควรจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ตนไม่เห็นว่าในช่วงเวลานี้ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเป็นปัญหาใหญ่ เพราะการสร้างความสามัคคีในชาติ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ควรจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า
นายชัย ยังได้เรียกร้องให้ทางพรรคฝ่ายค้านที่ออกมาแสดงจุดยืนไม่ยอมรับคณะกรรมการอิสระชุดนี้ หันมาร่วมมือกับคณะกรรมการอิสระ เพื่อร่วมเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เพราะหากยังคงตั้งอคติ ตั้งป้อมคัดค้านทั้งที่ทางคณะกรรมการชุดดังกล่าวยังไม่ได้ลงมือทำงาน ก็คงจะไม่สามารถหาจุดร่วมระหว่างกันในการแก้ไขปัญหาได้อย่างแน่นอน
** "ประสพสุข"วอนทุกฝ่ายร่วมมือ
นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงการปฏิรูปการเมืองที่หลายฝ่ายโดยเฉพาะฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับการให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นเจ้าภาพว่า ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าคณะกรรมการจะมีใครบ้าง รู้เพียงตัวประธาน และเลขาฯเท่านั้น ให้ตั้งคณะกรรมการทั้งหมดก่อนค่อยวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งวันที่ประชุมที่สถาบันพระปกเกล้า ก็พูดกันเยอะว่าสภาควรรับทำหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เห็นตรงกันว่าสถาบันพระปกเกล้า ควรจะรับทำ เพราะฉะนั้นทุกฝ่ายก็ควรจะให้ความร่วมมือด้วย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน รัฐบาล นักวิชาการ และฝ่ายปฏิบัติ ที่ต้องเข้ามาร่วมพัฒนาการเมือง และน่าจะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง
นายประสพสุข กล่าวด้วยว่า ทุกคนอยากให้มีการพัฒนาการเมือง ส่วนจะก้าวไปทางไหน จะปรับปรุงแก้ไขอะไรก็ปรึกษากัน ส่วนระยะเวลา 8 เดือนนั้นก็คงจะพอ เพราะมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว เท่าที่ฟังก็จะรับฟังจากทุกภาคส่วน วุฒิสภาก็ต้องขอความเห็นทุกคนว่าอยากให้พัฒนาการเมืองไปในทิศทางไหน ตรงไหนควรจะแก้ไข ก็ให้ส่งความเห็นมาได้
**กกต.ไม่หวั่นถูกลดอำนาจ
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. เห็นด้วยกับแนวทางการปฎิรูปการเมืองของรัฐบาล แต่มองว่า ทุกภาคส่วนควรที่จะเข้ามาช่วยกัน ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่หลายฝ่ายจะมาร่วมกันปฎิรูปการเมือง และหากมีการปรับลดอำนาจ กกต.ลง ก็พร้อมที่จะยอมรับ อย่างเช่น การที่ให้ศาลเข้ามาช่วยพิจารณาในเรื่องใบเหลือง-ใบแดง ถือเป็นเรื่องดีที่จะช่วยให้ความยุติธรรมกับประชาชน
ส่วนที่หลายฝ่ายเห็นว่ากฎหมายยุบพรรคเข้มงวดเกินไปนั้น ถ้ามองว่าเข้มงวดเกินไป ก็ทำให้ผ่อนคลายลงได้ แต่ในส่วนของกกต. หากกฎหมายเขียนอย่างไร ก็ต้องปฎิบัติตามนั้น
ส่วนกรณีที่ศิษย์เก่าสถาบันพระปกเกล้าบางคน เตรียมล่ารายชื่อ เพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่งนั้น นายสุจิต กล่าวว่า การทำงานตรงนี้ไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง บุคคลทั่วไปไม่สามารถถอดถอนได้ แต่ถ้าสภาสถาบันพระปกเกล้า เห็นว่าตนไม่เหมาะสมก็ดำเนินการถอดถอนได้ และตนก็พร้อมยุติหน้าที่
ด้านนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ยืนยันว่า จะไม่ขอเข้าร่วมเป็น 1 ใน 50 กรรมการอิสระเพื่อศึกษารับฟังความคิดเห็นและเสนอแนะการพัฒนาประชาธิปไตยและการเมืองการปกครองอย่างแน่นอน เนื่องจากต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง โดยจะขอทำหน้าที่เพียงแต่ให้คำเสนอแนะ แนวทางบางอย่างที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง
ส่วนสเปกของบุคคลที่จะเข้าร่วมในคณะกรรมการอิสระนั้น เห็นว่าควรจะเป็นบุคคลที่มีความรอบรู้ และจะต้องไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่เคยเป็นผู้ร่าง หรือเป็นกรรมการผู้ร่างรัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับปี 2540 และ 2550 มาก่อน ส่วนควรจะแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น ตนไม่เห็นว่าในช่วงเวลานี้ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะเป็นปัญหาใหญ่ เพราะการสร้างความสามัคคีในชาติ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ควรจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า
นายชัย ยังได้เรียกร้องให้ทางพรรคฝ่ายค้านที่ออกมาแสดงจุดยืนไม่ยอมรับคณะกรรมการอิสระชุดนี้ หันมาร่วมมือกับคณะกรรมการอิสระ เพื่อร่วมเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง เพราะหากยังคงตั้งอคติ ตั้งป้อมคัดค้านทั้งที่ทางคณะกรรมการชุดดังกล่าวยังไม่ได้ลงมือทำงาน ก็คงจะไม่สามารถหาจุดร่วมระหว่างกันในการแก้ไขปัญหาได้อย่างแน่นอน
** "ประสพสุข"วอนทุกฝ่ายร่วมมือ
นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึงการปฏิรูปการเมืองที่หลายฝ่ายโดยเฉพาะฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับการให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นเจ้าภาพว่า ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าคณะกรรมการจะมีใครบ้าง รู้เพียงตัวประธาน และเลขาฯเท่านั้น ให้ตั้งคณะกรรมการทั้งหมดก่อนค่อยวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งวันที่ประชุมที่สถาบันพระปกเกล้า ก็พูดกันเยอะว่าสภาควรรับทำหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เห็นตรงกันว่าสถาบันพระปกเกล้า ควรจะรับทำ เพราะฉะนั้นทุกฝ่ายก็ควรจะให้ความร่วมมือด้วย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน รัฐบาล นักวิชาการ และฝ่ายปฏิบัติ ที่ต้องเข้ามาร่วมพัฒนาการเมือง และน่าจะเป็นวิธีการที่ถูกต้อง
นายประสพสุข กล่าวด้วยว่า ทุกคนอยากให้มีการพัฒนาการเมือง ส่วนจะก้าวไปทางไหน จะปรับปรุงแก้ไขอะไรก็ปรึกษากัน ส่วนระยะเวลา 8 เดือนนั้นก็คงจะพอ เพราะมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว เท่าที่ฟังก็จะรับฟังจากทุกภาคส่วน วุฒิสภาก็ต้องขอความเห็นทุกคนว่าอยากให้พัฒนาการเมืองไปในทิศทางไหน ตรงไหนควรจะแก้ไข ก็ให้ส่งความเห็นมาได้
**กกต.ไม่หวั่นถูกลดอำนาจ
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. เห็นด้วยกับแนวทางการปฎิรูปการเมืองของรัฐบาล แต่มองว่า ทุกภาคส่วนควรที่จะเข้ามาช่วยกัน ไม่ใช่หน้าที่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องดีที่หลายฝ่ายจะมาร่วมกันปฎิรูปการเมือง และหากมีการปรับลดอำนาจ กกต.ลง ก็พร้อมที่จะยอมรับ อย่างเช่น การที่ให้ศาลเข้ามาช่วยพิจารณาในเรื่องใบเหลือง-ใบแดง ถือเป็นเรื่องดีที่จะช่วยให้ความยุติธรรมกับประชาชน
ส่วนที่หลายฝ่ายเห็นว่ากฎหมายยุบพรรคเข้มงวดเกินไปนั้น ถ้ามองว่าเข้มงวดเกินไป ก็ทำให้ผ่อนคลายลงได้ แต่ในส่วนของกกต. หากกฎหมายเขียนอย่างไร ก็ต้องปฎิบัติตามนั้น
