มล.ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคง และโฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวภายหลังเข้าร่วมประชุมคณะอนุกรรมาธิการ( กมธ.) ติดตามการบังคับใช้กฎหมายและผลแห่งคดีที่เกี่ยวข้องกับการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์ วุฒิสภาว่า ทุกฝ่ายมีความเจ็บปวด กรณีอดีตอาจารย์สถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในประเทศไทย ออกแถลงการณ์อันมีเนื้อหาลบหลู่ดูหมิ่นจารีตประเพณีของไทย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่คนไทยต้องศึกษา ถึงเรื่องบุคคลที่ไม่รู้บุญคุณแผ่นดินที่เคยดำรงชีวิตอยู่ แม้ชาวต่างประเทศที่มีความรักและความผูกพันกับประเทศไทย ก็มีความเจ็บปวดแทนคนไทย และสิ่งนี้ได้อธิบายถึงความขาดตกบกพร่องของสถานศึกษาบางแห่ง ที่มีขั้นตอนพิจารณารับบุคลากรไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ได้คนที่ขาดคุณสมบัติสำคัญของความเป็นครูอาจารย์เข้ามาทำงาน นั่นคือ ขาดอุดมการณ์ของความเป็นแบบอย่างในการรักหวงแหนชาติบ้านเมือง และความเข้าใจต่อคุณลักษณะประจำชาติ
มล.ปนัดดา กล่าวต่อว่า กรณีดังกล่าว ยังแสดงให้เห็นถึงปัญหาของการอนุญาตให้บุคคลถือ 2 สัญชาติ ซึ่งโดยหลักสากล และบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญของนานาอารยะประเทศจะกระทำไม่ได้ เพราะเป็นความหมายของความภักดีที่บุคคลพึงมีต่อประเทศที่ตนถือสัญชาติว่าจะเป็น 2 ประเทศ หรือ 2 สัญชาติพร้อมกันไม่ได้ โดยเฉพาะในสายอาชีพข้าราชการ นักการเมือง ครูอาจารย์ เรื่องนี้ถือเป็นปรัชญาของความเป็นพลเมืองแห่งรัฐ และทางราชการไทยต้องศึกษาวิธีแก้ปัญหาอย่างจริงจังเสียที
"โดยเจตนารมณ์ของกฎหมาย คือ บุคคลต้องถือได้เพียงสัญชาติเดียว ถ้ากรณีลูกครึ่ง คือเมื่อเข้าเกณฑ์อายุ 20 ปี จะต้องเลือกสัญชาติ แต่ปัญหาของกฎหมาย คือ ไม่มีบทลงโทษ จึงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ถือสองสัญชาติ และเราก็ตรวจสอบไม่ได้" มล.ปนัดดากล่าว
เมื่อถามว่า ทางอนุฯกมธ. ได้หารือเรื่องการดำเนินการกับนักวิชาการรายนี้อย่างไร มล.ปนัดดา กล่าวว่า ขณะนี้เขาไปอยู่อังกฤษ ทำให้ยังไม่ชัดเจนเรื่องการเอาผิด ก็จะมีการติดตามพฤติกรรมต่อไป แต่เมื่อเขาเคยพูดว่า เขาไม่ใช่คนไทย เราก็ไม่ควรไปใส่ใจเขามากมาย แค่ให้เข้าใจว่า คนที่เป็นลูกครึ่งดีๆ ไม่เคยสร้างปัญหาให้บ้านเมืองก็มีมาก
ทั้งนี้ ต้องการให้ทุกๆ ภาคส่วนต้องช่วยกันบอกกล่าวแก่เพื่อนร่วมชาติ ให้เกิดความเข้าใจถึงกรณีที่มีบุคคลผู้ไม่หวังดี ผู้สูญเสียผลประโยชน์ทางการเมือง มุ่งทำลายล้างจารีตประเพณีของบ้านเมืองไทย และประชาชนชาวไทย ต้องช่วยกันปกป้องจรรโลงรักษาความปรองดองเป็นหนึ่งเดียวของประเทศชาติให้เกิดขึ้น
มล.ปนัดดา กล่าวต่อว่า กรณีดังกล่าว ยังแสดงให้เห็นถึงปัญหาของการอนุญาตให้บุคคลถือ 2 สัญชาติ ซึ่งโดยหลักสากล และบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญของนานาอารยะประเทศจะกระทำไม่ได้ เพราะเป็นความหมายของความภักดีที่บุคคลพึงมีต่อประเทศที่ตนถือสัญชาติว่าจะเป็น 2 ประเทศ หรือ 2 สัญชาติพร้อมกันไม่ได้ โดยเฉพาะในสายอาชีพข้าราชการ นักการเมือง ครูอาจารย์ เรื่องนี้ถือเป็นปรัชญาของความเป็นพลเมืองแห่งรัฐ และทางราชการไทยต้องศึกษาวิธีแก้ปัญหาอย่างจริงจังเสียที
"โดยเจตนารมณ์ของกฎหมาย คือ บุคคลต้องถือได้เพียงสัญชาติเดียว ถ้ากรณีลูกครึ่ง คือเมื่อเข้าเกณฑ์อายุ 20 ปี จะต้องเลือกสัญชาติ แต่ปัญหาของกฎหมาย คือ ไม่มีบทลงโทษ จึงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ถือสองสัญชาติ และเราก็ตรวจสอบไม่ได้" มล.ปนัดดากล่าว
เมื่อถามว่า ทางอนุฯกมธ. ได้หารือเรื่องการดำเนินการกับนักวิชาการรายนี้อย่างไร มล.ปนัดดา กล่าวว่า ขณะนี้เขาไปอยู่อังกฤษ ทำให้ยังไม่ชัดเจนเรื่องการเอาผิด ก็จะมีการติดตามพฤติกรรมต่อไป แต่เมื่อเขาเคยพูดว่า เขาไม่ใช่คนไทย เราก็ไม่ควรไปใส่ใจเขามากมาย แค่ให้เข้าใจว่า คนที่เป็นลูกครึ่งดีๆ ไม่เคยสร้างปัญหาให้บ้านเมืองก็มีมาก
ทั้งนี้ ต้องการให้ทุกๆ ภาคส่วนต้องช่วยกันบอกกล่าวแก่เพื่อนร่วมชาติ ให้เกิดความเข้าใจถึงกรณีที่มีบุคคลผู้ไม่หวังดี ผู้สูญเสียผลประโยชน์ทางการเมือง มุ่งทำลายล้างจารีตประเพณีของบ้านเมืองไทย และประชาชนชาวไทย ต้องช่วยกันปกป้องจรรโลงรักษาความปรองดองเป็นหนึ่งเดียวของประเทศชาติให้เกิดขึ้น