ASTV ผู้จัดการรายวัน – ประเดิมปีฉลูแค่ 2 เดือนแรก ตลาดหุ้นไทยสุดหดหู่ มูลค่าการซื้อขายลดฮวบกว่า 50% จากก.พ.ปีก่อนที่ระดับ 4.3 แสนล้าน เหลือเพียง 1.4แ สนล้านบาท หรือมุลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเหลือลดจาก 1.6 หมื่นล้าน เหลือเพียง 8 พันล้าน โดยมีนักลงทุนรายย่อยที่มียอดซื้อสุทธิ นักวิเคราะห์คาดเม็ดเงินที่เหลือไหลไปสู่เงินฝากแบงก์ กองทุนรวม และอนุพันธ์ ที่จะทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น จับตาตลาดทองคำทั้งของจริงและแผ่นกระดาษ คนเล่น-เม็ดเงินสะพัดขยายตัวหลายเท่า ตามราคาที่อยู่ในระดับสูง
จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมาที่ลุกลามมาจนถึงปีนี้ สร้างความเสียหายต่อตลาดทุน-ตลาดเงินในประเทศเป็นอย่างมาก โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2552 มาจนถึงปัจจุบัน (2ม.ค. - 6มี.ค. 52) พบว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) การเข้าลงทุนของนักลงทุนทุกประเภทปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมกราคมมีมูลค่าซื้อขายรวม 214,548.14 ล้านบาท กุมภาพันธ์ 141,398.74 ล้านบาท และสัปดาห์แรกของมีนาคม(2-6มี.ค.) 40,198.09 ล้านบาท ขณะที่ผลรวมทั้งตลาดคือ 396,144.97 ล้านบาท
หากพิจารณาประเภทของนักลงทุนปรากฏว่า เหลือเพียงนักลงทุนภายในประเทศที่ยังซื้อสุทธิ 16,038.81 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 6,486.44ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ9,552.38 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในภาพรวมนักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง เช่นดับกับบรรดานักลงทุนสถาบัน โดยส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการปรับลดพอร์ตลงทุนของกองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมตราสารทุน
**มูลค่าซื้อขายหดหายกว่าเท่าตัว**
ขณะเดียวกันเมื่อนำข้อมูลนี้มาเปรียบเทียบกับธันวาคมในปีที่ผ่านมาซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 251,655.93ล้าน และพฤศจิกายน 2551 มี 219,455 ล้านบาท พบว่าเป็นการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว (ม.ค.-ก.พ.2551) มูลค่าการซื้อขายปรับตัวลดลงมากกว่า50% เพราะม.ค.2551มีมูลค่าซื้อขาย 426,455.96 ล้านบาท และก.พ.2551มีมูลค่าซื้อขาย 430,688.49 ล้านบาท ผลรวมทั้งตลาด 3,981,230ล้านบาท นักลงทุนภายในประเทศซื้อสุทธิ 116,147.16ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 46,209.88ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 162,357.05ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังถือว่าปรับตัวลดลง เนื่องจากไม่มีปัจจัยใดมาหนุนตลาดฯ ไม่ว่าจะเป็นการที่ธนาคารสหรัฐของสหรัฐอเมริกา (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ยจนลงมาอยู่ที่ต่ำกว่า 1% และการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของทั้งในและต่างประเทศที่ออกมาย่ำแย่สะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลของนักลงทุนนจนทำให้มีแรงเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากการสำรวจมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปีนี้ พบว่ามีวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยอยู่ประมาณ 8,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 51 ที่มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยที่ 1.6 หมื่นล้านบาท หรือลดลงเกือบ 50% โดยมีเม็ดเงินลงทุนในตลาดรวมมูลค่า 382,018.55 ล้านบาท
ขณะที่ ภาพรวมการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ในปัจจุบันยังมีทิศทางทางปรับลงแต่ไม่มากเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนในส่วนนี้ยังมีอยู่จำนวนน้อย แต่เชื่อว่ายังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมาจะเป็น single stock future
สำหรับแนวโน้มบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเดือนมีนาคมปีนี้ คาดว่ายังคงเงียบเหงา เนื่องจากจากสภาพเศรษฐกิจที่หดตัว และปัจจัยบวกต่างๆ ที่เป็นจะแรงหนุนดัชนีได้ทยอยออกไปหมดแล้ว
**โกลด์ฟิวเจอร์สดึงTFEXไม่ขึ้น**
จากข้อมูลพบว่า ตลาดอนุพันธ์ช่วงม.ค.2552 มีมูลค่าการซื้อขาย 59.028 ล้านบาท เฉลี่ยต่อวัน 2.951 ล้านบาท ขณะที่ก.พ.2552มีมูลค่าการซื้อขาย 36,712ล้านบาท เฉลี่ยต่อวัน1.932 ล้านบาท และมีนาคม(2-6มี.ค.) 11.674 ล้านบาท เฉลี่ยต่อวัน 2.334 ล้านบาท ส่วนตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) ปริมาณการซื้อขายม.ค. 52 มีทั้งสิ้น 13,368 สัญญา หรือเฉลี่ย 668 สัญญา/วัน คิดเป็นมูลค่า 3,635.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากธ.ค. 51 ซึ่งมีทั้งสิ้น 12,997 สัญญา หรือเฉลี่ย 649 สัญญา/วัน คิดเป็น 2,964.25 ล้านบาท
ส่วนด้านภาวะการซื้อตราสารหนี้จากสมาคมตราสารหนี้ไทย ในเดือนก.พ.2552 พบว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน มูลค่าการทำธุรกรรมตราสารหนี้ในตลาดรองมีทั้งสิ้น4,653,672.04 ล้านบาท ขณะที่มีนาคมคาดว่าการซื้อขายยังคงกระจุกตัวอยู่ในตราสารหนี้ระยะสั้นเช่นเคย โดยถึงแม้ว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะลงต่อไปได้อีก
**กองทุนรวมรอลุ้นเงินทยอยเพิ่ม**
สำหรับข้อมูลด้านอุตสาหกรรมกองทุนรวม สมาคมบริษัทจัดการลงทุน(สมาคมบลจ.) รายงานว่า 2 เดือนแรก มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมทั้งสิ้น 1,423,686.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65,012.70 ล้านบาท จากปลายปีที่แล้ว ซึ่งมีสินทรัพย์รวม 1,358,673.70 ล้านบาท หรือ 4.79% ขณะที่กองทุนส่วนบุคคลในมกราคมมีเงินลงทุนลดลง 21,582.15 ล้านบาท ทำให้ทั้งระบบเหลือสินทรัพย์ 146,694.81 ล้านบาท จากช่วยปลายปี2551 ซึ่งมีอยู่ 168,276.96 ล้านบาท ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ณ 17ก.พ.2552 มีนายจ้างที่ประสงค์จะขอหยุดนำส่งเงินเป็นการชั่วคราว และยกเลิกกองทุนสูงถึงกว่า 150 บริษัท คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมทั้งสิ้นประมาณ 3,462 ล้านบาท
ด้านนายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด กล่าวถึงในส่วนของภาพรวมของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาว่า นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยให้ความสนใจมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย เช่นการลงทุนในกองทุนประเภทตราสารหนี้ และตลาดเงินเพราะมีสภาพคล่องสูง อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการลงทุนในเงินฝาก เนื่องจากว่าอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนได้เลือกที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น และรับความเสี่ยงของตราสารหนี้เอกชนได้บ้าง จึงทำให้ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมในช่วงที่ผ่านมาพบว่าเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปตามสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยเชื่อว่าแนวโน้มกองทุนรวมจะดีขึ้นในระยะกลางและระยะยาว เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง จะทำให้นักลงทุนมองหาทางเลือกในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีนักลงทุน กลับเข้ามาลงทุนผ่านกองทุนรวมมากขึ้น และจะทำให้เอ็นเอวีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปด้วย
**ราคา-คนเล่นทองเพิ่มต่อเนื่อง**
ส่วนแนวโน้มราคาทองคำ พบว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยต้นเดือนมกราคม (3ม.ค.)มีราคาอยู่ที่ 14,050 บาท และปรับตัวสูงสุดในช่วงก.พ.ที่ 16,250บาท ก่อนปรับตัวลดลงโดยวันที่7มี.ค.มีราคาอยู่ที่ 15,900 บาท
นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.ซี. ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า สำหรับในช่วง2เดือนที่ผ่านมานั้นโดยที่ราคาทองคำอ่อนไหวมากที่สุด 2 รอบด้วยกัน จึงทำให้เมื่อเดือนมกราคม ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ และล่าสุดราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าจุดสูงสุดแล้ว ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ900กว่าเหรียญต่อออนซ์ ดังนั้นเมื่อราคาทองคำมีการแกว่งตัวเเรงมากจึงทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในทองคำสามารถทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาทองคำได้ และเป็นสาเหตุให้นักลงทุนชาวไทยหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ด้วยภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ ได้เป็นตัวสะท้อนราคาทองคำให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะนักลงทุนได้หนีการลงทุนจากตลาดตราสารหนี้ ที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงมามาก รวมไปถึงตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดทองคำได้รับอานิสงส์จากจุดนี้ ดังนั้นโดยภาพรวมบรรยากาศการลงทุนในทองคำในปัจจุบันมีความน่าสนใจมากขึ้น
สำหรับในปีที่ผ่านมานั้น จัดได้ว่าเป็นปีทองของทองคำ โดยราคาทองคำได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก และช่วงที่ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดคือ เดือนมีนาคม 2551 ที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1000 เหรียญต่อออนซ์ แต่ในภาพรวมปี2551เชื่อว่าจะมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ประมาณ 2-3 เท่าตัว
ในส่วนของการลงทุนในโกล์ด ฟิวเจอร์สในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานั้น พบว่านักลงทุนยังอยู่ในช่วงศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดทองคำล่วงหน้า โดยที่ผ่านมานั้นพบว่า วอลุ่มการซื้อเริ่มดีขึ้น จากช่วงแรกๆที่มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนเพียง 50-100 สัญญาต่อวัน แต่หลังจากที่มีโบรกเกอร์ร้านทองเข้ามาร่วมให้บริการแล้ว ทำให้สามารถขายได้ประมาณ 1,000 สัญญาต่อวัน ถือเป็นผลดีที่ช่วยเพิ่มวอลุ่มการซื้อขาย อีกทั้งบรรยากาศการลงทุนเริ่มมีสีสันมากขึ้นด้วย
**ภาพรวมเชื่อเงินไหลเข้าแบงก์**
ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นประสบภาวะหดตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจมากที่สุด ขณะเดียวกันนักลงทุนได้หันมาลงทุนผ่านเครื่องทางการเงินประเภทอื่นเพิ่มขึ้นทั้งกองทุนรวม ซึ่งแม้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนส่วนบุคคลจะได้รับผลกระทบแต่กองทุนตราสารหนี้ยังคงได้รับความสนใจ เช่นเดียวกับการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ทีแม้จะมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย อีกทั้งส่วนหนึ่งได้หันมาลงทุนในสินทรัพย์ประเภททองคำเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทองคำแท่ง และสินค้าใหม่อย่างโกลด์ฟิวเจอร์ส อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่ยังอยู่ในระบบเงินฝากธนาคาร เนื่องจากนักลงทุนในไม่มีความเชื่อมั่นต่อตลาดทุน และบรรดาโบรกเกอร์หลายรายก็แนะนำให้ถือเงินสดเก็บไว้ในช่วงนี้มากกว่า
จากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมาที่ลุกลามมาจนถึงปีนี้ สร้างความเสียหายต่อตลาดทุน-ตลาดเงินในประเทศเป็นอย่างมาก โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2552 มาจนถึงปัจจุบัน (2ม.ค. - 6มี.ค. 52) พบว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) การเข้าลงทุนของนักลงทุนทุกประเภทปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยมกราคมมีมูลค่าซื้อขายรวม 214,548.14 ล้านบาท กุมภาพันธ์ 141,398.74 ล้านบาท และสัปดาห์แรกของมีนาคม(2-6มี.ค.) 40,198.09 ล้านบาท ขณะที่ผลรวมทั้งตลาดคือ 396,144.97 ล้านบาท
หากพิจารณาประเภทของนักลงทุนปรากฏว่า เหลือเพียงนักลงทุนภายในประเทศที่ยังซื้อสุทธิ 16,038.81 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 6,486.44ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ9,552.38 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในภาพรวมนักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง เช่นดับกับบรรดานักลงทุนสถาบัน โดยส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการปรับลดพอร์ตลงทุนของกองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมตราสารทุน
**มูลค่าซื้อขายหดหายกว่าเท่าตัว**
ขณะเดียวกันเมื่อนำข้อมูลนี้มาเปรียบเทียบกับธันวาคมในปีที่ผ่านมาซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 251,655.93ล้าน และพฤศจิกายน 2551 มี 219,455 ล้านบาท พบว่าเป็นการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว (ม.ค.-ก.พ.2551) มูลค่าการซื้อขายปรับตัวลดลงมากกว่า50% เพราะม.ค.2551มีมูลค่าซื้อขาย 426,455.96 ล้านบาท และก.พ.2551มีมูลค่าซื้อขาย 430,688.49 ล้านบาท ผลรวมทั้งตลาด 3,981,230ล้านบาท นักลงทุนภายในประเทศซื้อสุทธิ 116,147.16ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 46,209.88ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 162,357.05ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรีอยุธยา จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังถือว่าปรับตัวลดลง เนื่องจากไม่มีปัจจัยใดมาหนุนตลาดฯ ไม่ว่าจะเป็นการที่ธนาคารสหรัฐของสหรัฐอเมริกา (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ยจนลงมาอยู่ที่ต่ำกว่า 1% และการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของทั้งในและต่างประเทศที่ออกมาย่ำแย่สะท้อนให้เห็นถึงความวิตกกังวลของนักลงทุนนจนทำให้มีแรงเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ จากการสำรวจมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ปีนี้ พบว่ามีวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยอยู่ประมาณ 8,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปี 51 ที่มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยที่ 1.6 หมื่นล้านบาท หรือลดลงเกือบ 50% โดยมีเม็ดเงินลงทุนในตลาดรวมมูลค่า 382,018.55 ล้านบาท
ขณะที่ ภาพรวมการซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ในปัจจุบันยังมีทิศทางทางปรับลงแต่ไม่มากเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นไทย เนื่องจากนักลงทุนในส่วนนี้ยังมีอยู่จำนวนน้อย แต่เชื่อว่ายังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมาจะเป็น single stock future
สำหรับแนวโน้มบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยเดือนมีนาคมปีนี้ คาดว่ายังคงเงียบเหงา เนื่องจากจากสภาพเศรษฐกิจที่หดตัว และปัจจัยบวกต่างๆ ที่เป็นจะแรงหนุนดัชนีได้ทยอยออกไปหมดแล้ว
**โกลด์ฟิวเจอร์สดึงTFEXไม่ขึ้น**
จากข้อมูลพบว่า ตลาดอนุพันธ์ช่วงม.ค.2552 มีมูลค่าการซื้อขาย 59.028 ล้านบาท เฉลี่ยต่อวัน 2.951 ล้านบาท ขณะที่ก.พ.2552มีมูลค่าการซื้อขาย 36,712ล้านบาท เฉลี่ยต่อวัน1.932 ล้านบาท และมีนาคม(2-6มี.ค.) 11.674 ล้านบาท เฉลี่ยต่อวัน 2.334 ล้านบาท ส่วนตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) ปริมาณการซื้อขายม.ค. 52 มีทั้งสิ้น 13,368 สัญญา หรือเฉลี่ย 668 สัญญา/วัน คิดเป็นมูลค่า 3,635.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากธ.ค. 51 ซึ่งมีทั้งสิ้น 12,997 สัญญา หรือเฉลี่ย 649 สัญญา/วัน คิดเป็น 2,964.25 ล้านบาท
ส่วนด้านภาวะการซื้อตราสารหนี้จากสมาคมตราสารหนี้ไทย ในเดือนก.พ.2552 พบว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน มูลค่าการทำธุรกรรมตราสารหนี้ในตลาดรองมีทั้งสิ้น4,653,672.04 ล้านบาท ขณะที่มีนาคมคาดว่าการซื้อขายยังคงกระจุกตัวอยู่ในตราสารหนี้ระยะสั้นเช่นเคย โดยถึงแม้ว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะลงต่อไปได้อีก
**กองทุนรวมรอลุ้นเงินทยอยเพิ่ม**
สำหรับข้อมูลด้านอุตสาหกรรมกองทุนรวม สมาคมบริษัทจัดการลงทุน(สมาคมบลจ.) รายงานว่า 2 เดือนแรก มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมทั้งสิ้น 1,423,686.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65,012.70 ล้านบาท จากปลายปีที่แล้ว ซึ่งมีสินทรัพย์รวม 1,358,673.70 ล้านบาท หรือ 4.79% ขณะที่กองทุนส่วนบุคคลในมกราคมมีเงินลงทุนลดลง 21,582.15 ล้านบาท ทำให้ทั้งระบบเหลือสินทรัพย์ 146,694.81 ล้านบาท จากช่วยปลายปี2551 ซึ่งมีอยู่ 168,276.96 ล้านบาท ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ณ 17ก.พ.2552 มีนายจ้างที่ประสงค์จะขอหยุดนำส่งเงินเป็นการชั่วคราว และยกเลิกกองทุนสูงถึงกว่า 150 บริษัท คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมทั้งสิ้นประมาณ 3,462 ล้านบาท
ด้านนายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ จำกัด กล่าวถึงในส่วนของภาพรวมของอุตสาหกรรมกองทุนรวมในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาว่า นักลงทุนมีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น โดยให้ความสนใจมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย เช่นการลงทุนในกองทุนประเภทตราสารหนี้ และตลาดเงินเพราะมีสภาพคล่องสูง อีกทั้งยังถือได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการลงทุนในเงินฝาก เนื่องจากว่าอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนได้เลือกที่จะเข้ามาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น และรับความเสี่ยงของตราสารหนี้เอกชนได้บ้าง จึงทำให้ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวมในช่วงที่ผ่านมาพบว่าเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปตามสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยเชื่อว่าแนวโน้มกองทุนรวมจะดีขึ้นในระยะกลางและระยะยาว เนื่องจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง จะทำให้นักลงทุนมองหาทางเลือกในการสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มีนักลงทุน กลับเข้ามาลงทุนผ่านกองทุนรวมมากขึ้น และจะทำให้เอ็นเอวีปรับตัวเพิ่มขึ้นไปด้วย
**ราคา-คนเล่นทองเพิ่มต่อเนื่อง**
ส่วนแนวโน้มราคาทองคำ พบว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยต้นเดือนมกราคม (3ม.ค.)มีราคาอยู่ที่ 14,050 บาท และปรับตัวสูงสุดในช่วงก.พ.ที่ 16,250บาท ก่อนปรับตัวลดลงโดยวันที่7มี.ค.มีราคาอยู่ที่ 15,900 บาท
นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.ซี. ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า สำหรับในช่วง2เดือนที่ผ่านมานั้นโดยที่ราคาทองคำอ่อนไหวมากที่สุด 2 รอบด้วยกัน จึงทำให้เมื่อเดือนมกราคม ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ และล่าสุดราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นไปสูงกว่าจุดสูงสุดแล้ว ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ900กว่าเหรียญต่อออนซ์ ดังนั้นเมื่อราคาทองคำมีการแกว่งตัวเเรงมากจึงทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในทองคำสามารถทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาทองคำได้ และเป็นสาเหตุให้นักลงทุนชาวไทยหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ด้วยภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้ ได้เป็นตัวสะท้อนราคาทองคำให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพราะนักลงทุนได้หนีการลงทุนจากตลาดตราสารหนี้ ที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงมามาก รวมไปถึงตลาดหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดทองคำได้รับอานิสงส์จากจุดนี้ ดังนั้นโดยภาพรวมบรรยากาศการลงทุนในทองคำในปัจจุบันมีความน่าสนใจมากขึ้น
สำหรับในปีที่ผ่านมานั้น จัดได้ว่าเป็นปีทองของทองคำ โดยราคาทองคำได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก และช่วงที่ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุดคือ เดือนมีนาคม 2551 ที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 1000 เหรียญต่อออนซ์ แต่ในภาพรวมปี2551เชื่อว่าจะมีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในทองคำเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ประมาณ 2-3 เท่าตัว
ในส่วนของการลงทุนในโกล์ด ฟิวเจอร์สในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานั้น พบว่านักลงทุนยังอยู่ในช่วงศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดทองคำล่วงหน้า โดยที่ผ่านมานั้นพบว่า วอลุ่มการซื้อเริ่มดีขึ้น จากช่วงแรกๆที่มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนเพียง 50-100 สัญญาต่อวัน แต่หลังจากที่มีโบรกเกอร์ร้านทองเข้ามาร่วมให้บริการแล้ว ทำให้สามารถขายได้ประมาณ 1,000 สัญญาต่อวัน ถือเป็นผลดีที่ช่วยเพิ่มวอลุ่มการซื้อขาย อีกทั้งบรรยากาศการลงทุนเริ่มมีสีสันมากขึ้นด้วย
**ภาพรวมเชื่อเงินไหลเข้าแบงก์**
ดังนั้นโดยภาพรวมแล้วมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นประสบภาวะหดตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจมากที่สุด ขณะเดียวกันนักลงทุนได้หันมาลงทุนผ่านเครื่องทางการเงินประเภทอื่นเพิ่มขึ้นทั้งกองทุนรวม ซึ่งแม้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนส่วนส่วนบุคคลจะได้รับผลกระทบแต่กองทุนตราสารหนี้ยังคงได้รับความสนใจ เช่นเดียวกับการลงทุนในตลาดอนุพันธ์ทีแม้จะมีการปรับตัวลดลงเล็กน้อย อีกทั้งส่วนหนึ่งได้หันมาลงทุนในสินทรัพย์ประเภททองคำเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทองคำแท่ง และสินค้าใหม่อย่างโกลด์ฟิวเจอร์ส อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่ยังอยู่ในระบบเงินฝากธนาคาร เนื่องจากนักลงทุนในไม่มีความเชื่อมั่นต่อตลาดทุน และบรรดาโบรกเกอร์หลายรายก็แนะนำให้ถือเงินสดเก็บไว้ในช่วงนี้มากกว่า