xs
xsm
sm
md
lg

เวรกรรมในกงล้อประวัติศาสตร์

เผยแพร่:   โดย: อัญชะลี ไพรีรัก

ได้อ่านข่าวจากสำนักข่าวเอเอฟพี ที่รายงานถึงการยึดทรัพย์จำนวน 64 , 000 ล้านบาทของครอบครัวอดีตประธานาธิบดี เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส อดีตผู้นำจอมเผด็จการของประเทศฟิลิปปินส์แล้ว ก็บังเกิดความชื่นใจเป็นล้นพ้น แม้ว่าจะหันมามองที่บ้านเรากับกรณีการพิสูจน์ทรัพย์ของ “ทักษิณ ชินวัตร” แล้วจะยังคงรู้สึกเคว้งคว้างก็ตามที

เอเอฟพีรายงานว่า หน่วยงานที่ยึดทรัพย์มาร์กอสนั้นมีชื่อว่า คณะกรรมการกำกับดูแลการบริหารของประธานาธิบดี หรือ พีซีจีจี

หน่วยงานนี้เคยถูกสมาชิกรัฐสภาบางคนตั้งข้อสงสัยว่าไม่มีน้ำยา ถึงกับเสนอให้ยุบทิ้งเสีย

แต่จนแล้วจนรอดพีซีจีจีที่ตั้งขึ้นมาเมื่อปี 1986 ก็สามารถคลานกระดุ๊บๆ กว่า 20 ปี ไปยึดทรัพย์มาร์กอส –ครอบครัวและพรรคพวกเอามาคืนประเทศฟิลิปปินส์จนได้ แม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็ยังดีเสียกว่าไม่ได้เลย

นึกถึงประเทศฟิลิปปินส์ทีไร ก็นึกไม่ออกเลยว่า ประเทศที่เคยเรืองรองที่สุดในแถบเอเชีย จะกลายมาเป็นประเทศที่ตกทุกข์ได้ยากประชาชนยากจนข้นแค้นแสนสาหัส จนถึงกับต้องขายแรงงานกิน

ทั้งหมดนี้มาจากสาเหตุ “การทุจริตคอร์รัปชัน” และ “นักการเมืองสารเลว”

ก่อนหน้านี้ประเทศฟิลิปปินส์เคยเป็นศูนย์กลางของการค้า การเงิน การธนาคาร และการศึกษาที่เยี่ยมยอด

ความที่ฟิลิปปินส์เคยเป็นเมืองขึ้นมาก่อน ทั้งของสเปน และ อเมริกา ประเทศนี้จึงถูกสั่งสอนให้เรียนรู้เรื่องเทคโนโลยี และประชาธิปไตยแบบตะวันตก

แต่กาลเวลาต่อมาเมื่อฟิลิปปินส์เสื่อมโทรม นักธุรกิจ - นักวิชาการดีๆหนีออกนอกประเทศกันเสียเป็นส่วนใหญ่ เทคโนโลยี่ก็ล้าหลัง สถานศึกษาเหล่านี้ก็ร่วงโรยไปตามกาลเวลา และประชาธิปไตยก็ประดักประเดิดเต็มที

ในอดีตฟิลิปปินส์เคยเอาตัวรอดมาได้จากการเป็นอาณานิคมของสเปน แต่ไม่สามารถหลุดพ้นกรงเล็บของอเมริกา ทำให้ฟิลิปปินส์ก็ต้องหวานอมขมกลืนกับ “ฐานทัพอเมริกัน” ที่ตั้งหราอยู่ในพื้นที่ใกล้เกาะกวม ที่นั่นเรียกว่า ฐานทัพคลาก

ท่ามกลางมายาภาพของอเมริกา คนฟิลิปินส์ไม่รู้เลยว่า อนาคตอันใกล้กำลังจะกลัดหนอง ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่มาจากน้ำมือคนฟิลิปปินส์ขายชาติด้วยกันเอง ที่ยอมตกเป็นทาส เป็นเบี้ยล่าง เป็นลูกไล่ตามก้นอเมริกา เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง และคนคนนั้นที่ทำให้ฟิลิปปินส์สิ้นเนื้อประดาตัว คือ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส

จอมเผด็จการมาร์กอสที่เพิ่งถูกยึดทรัพย์ครั้งมโหฬารหลังจากที่เขาตายไปแล้วถึง 20 ปี มีชื่อเต็มๆ ว่า เฟอร์ดินานด์ เอ็ดราลิน มาร์กอส เขามีพ่อเป็นนักการเมืองต๊อกต๋อย ที่มีคู่แข่งคนสำคัญซึ่งกำลังโดดเด่นตีคู่กันขึ้นมา ภายหลังชายคนนี้ถูกฆ่า และมาร์กอสหนุ่มผู้กำลังมีไฟ ถูกกล่าวหาว่า เป็นคนลงมือ

ผลคือ ลูกชายรูปหล่อ ปากหวาน ของนักการเมืองพิษสงร้ายกาจก็ถูกลากคอเข้าคุก แต่ระหว่างที่รอการอุทธรณ์อยู่นั้น มาร์กอสน้อยดันสอบเนติบัณฑิตจากในคุกได้คะแนนสูงสุดของประเทศ ทำให้เขาโด่งดังเป็นพลุแตก

เมื่อรอดคุกมาได้ด้วย “วิธีพิเศษ” มาร์กอสก็แต่งเรื่องโม้ไปใหญ่โตว่า ตัวเขานั้นเป็นผู้บัญชาการสงครามกองโจร ปล้นสะดมคนรวยมาช่วยคนจน เวลานั้นผู้คนต่างกล่าวขานถึงนามแห่งเฟอร์ดินานด์ มาร์กอสกันอึงมี่ จนในที่สุด ผู้บัญชาการจอมปลอมก็เดินเข้าสู่สนามการเมืองตามบิดา เขาเป็น ส.ส. ในปี 1949 เป็น ส.ว. ในปี 1959 และอีก 6 ปีต่อมาเขาชนะการเลือกตั้งได้เป็น “ประธานาธิบดี”

เมื่อเป็นประธานาธิบดีได้ 2 สมัยแล้ว มาร์กอสเกิดติดใจ เลยฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเสีย แล้วประกาศกฎอัยการศึก เพื่อหมายมั่นจะครองอำนาจเป็นประธานาธิบดีเผด็จการต่อไปตราบนานเท่านาน

ตอนนั้นมาร์กอสเนื้อหอมทำอะไรก็ดีไปหมด ประชาชนหูบอด ตาบอด เพราะเห็นว่าทำงานไว กล้าหาญ

แต่ต่อมาคนชั้นกลางกลับงุ่นง่านกับมาร์กอสเสียเอง เมื่อเห็นว่าประธานาธิบดีมีแต่พูด และให้สัญญาหลอกลวงประชาชนไปวันๆ แต่ไม่เคยทำอะไรเพื่อประเทศชาติเสียที ดีแต่ออกนโยบายสร้างโน่นสร้างนี่ แล้วกอบโกยผลประโยชน์กันเองในหมู่พี่น้องผองเพื่อน โดยไม่เหลียวแลคนส่วนใหญ่ในประเทศ

เมื่อคนชั้นกลางที่มีการศึกษาเริ่มบ่นกระปอดกระแปด มาร์กอสก็ส่งเมียรักคนสวย คือ นางอีเมลดา มาร์กอส ที่มีพื้นเพมาจากสาวบ้านนอกที่ชนะรางวัลจากการประกวดนางงามมาทั่วทุกสารทิศ ให้เดินทางออกไปเยี่ยมเยียนประชาขน เน้นหนักไปที่คนยากคนจนและชุมชนแออัด

อีเมลดาในเครื่องแต่งกายชั้นดีจากยุโรป หอบกระเป๋าใบใหญ่ภายในบรรจุเงินสดมากมาย แล้วเดินแจกเงินให้กับเด็กยากไร้ และสตรีที่อดอยากทุกหนทุกแห่งและทุกสลัมอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าของสุภาพสตรีหมายเลข 1 แห่งฟิลิปปินส์เปื้อนรอยยิ้มพริ้มเพราเสมอ แถมบางครั้งเธอถึงกับหลั่งน้ำตาพรากๆ เมื่อเห็นเพื่อนร่วมชาติไม่มีแม้แต่ขนมปังสักแผ่นประทังชีวิต

มาร์กอสปิดปากคนชั้นรากหญ้าด้วยเงินและนโยบายประชานิยม จนรากฐานการเมืองของเขาแข็งแกร่ง ยิ่งมั่นคงมากเท่าไรมาร์กอสยิ่งโกงชาติมากเท่านั้น แถมได้อเมริกามาค้ำจุนเก้าอี้ด้วยแล้ว เวลานั้นจึงไม่มีใครในฟิลิปปินส์ที่จะเรืองอำนาจและมั่งคั่งเท่ากับครอบครัวประธานาธิบดีมาร์กอส

อีกฟากหนึ่งของกรุงมนิลา เบญิกโญ นินอย อาควิโน ลูกชายนักการเมืองผู้มั่งคั่ง มีอุดมการณ์แข็งแกร่ง เป็นนักหนังสือพิมพ์ผู้ปราดเปรื่อง และคมกริบ เมื่อเขาเห็นอะไรที่ไม่ชอบมาพากลแล้ว นินอยจะไม่มีวันยอมหันหลังให้เป็นอันเด็ดขาด

งานเขียนของนินอยทุกชิ้นจึงตีแผ่เบื้องลึกเบื้องหลังการทุจริตคอร์รัปชันทุกระดับชั้นทุกวงการ เขาแล่เนื้อเถือหนังครอบครัวและบริวารของประธานาธิบดีมาร์กอสจนล่อนจ้อน ศัตรูของนินอยไม่ใช่เป็นแค่เพียงเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ผู้เหลิงระเริงในอำนาจวาสนาเท่านั้น แต่กลับเป็น “มะเร็งร้าย” แห่งการโกงกินที่ฟิลิปปินส์จะสิ้นชาติได้ถ้าไม่ขจัดลงไปไม่ได้ด้วย

นินอยเป็นนักหนังสือพิมพ์ได้พักใหญ่ ก็ผันกายลงเล่นการเมืองตามพ่อ และปู่ แล้วเขาก็ชนะการเลือกตั้งได้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดในบ้านเกิดที่เมืองทาร์ลาค และต่อมาก้าวขึ้นเป็นวุฒิสมาชิกหนุ่มในวัย 35 ปี

ในตำแหน่งนี้เองที่ส่งให้นินอยกลายเป็นศัตรูหมายเลข 1 ของมาร์กอสไปโดยปริยาย เมื่อเขามุ่งมั่นเปิดโปงกระบวนการโกงกินของเครือข่าย เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จนหมดไส้หมดพุง

ในที่สุดนินอยถูกจับเป็นนักโทษการเมือง และติดคุก 7 ปี แต่ในเวลาต่อมา นางคอราซอน อาควิโน และครอบครัวของเขาเดินเกมใต้ดินกับอเมริกา สามารถเอานินอยออกมาจากคุกได้ และหนีไปลี้ภัยที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาซูเซตส์ ที่นั่นเองนินอยหันมาเรียนหนังสืออย่างจริงจังทั้งที่ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเอ็มไอที พร้อมๆ กับการเดินสายปาฐกถาเรื่อง การเมืองในฟิลิปปินส์

แต่แล้วเมื่อการทุจริตคอร์รัปชันแผ่กระสานส่านเซ็นครอบคลุมไปทั่วทุกหย่อมหญ้า คนฟิลิปปินส์กำลังอดอยาก แต่เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส และเครือข่ายกลับรวยเอาๆ

ตอนนั้นนินอยตัดสินใจกลับมาตุภูมิ แม้รู้ว่าภัยร้ายเรียงรายมารอบตัว

เมื่อเขาเดินทางสู่สนามบินกรุงมนิลา ที่นั่นเขามองลงมาเห็น “คอราซอน” และลูกสาว รอรับเขาอยู่พร้อมกับประชาชนผู้สนับสนุนจำนวนหนึ่ง นาทีนั้นเองอดีตผู้นำฝ่ายค้านนินอย อาควิโนก็หันไปบอกกับสื่อมวลชนที่บินมาพร้อมกับเขาว่า “พวกคุณคอยดูนะ เราอาจจะเจออะไรดีๆ ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้”

แม้ว่า สื่อมวลชนจะล้อมรอบตัวเขาอยู่ แต่ “กระสุน” ที่มาจากไหนไม่รู้หนึ่งนัด ก็เดินทางแหวกอากาศมาเจาะทะลุร่างของเขา แรงกระสุนผลักให้นินอยล้มตึงลงไป และสิ้นใจในทันทีขณะที่ก้าวลงบันไดเครื่องบิน

การตายของนินอย อาควิโน คือ ชนวนการเปลี่ยนแปลงในฟิลิปปินส์ เมื่อสิ้นชีพอดีตผู้นำฝ่ายค้านแล้ว ผู้คนก็หันรีหันขวาง หันไปคว้าเอาแม่บ้านสมองไวผู้อ่อนโยนนุ่มนิ่มอย่างคอราซอนมาเป็นตัวตายตัวแทน

สุภาพสตรีที่เดินทางกลับบ้านก่อนสามีในชุดสีเหลือง เดินน้ำตาอาบแก้มนำนักศึกษา ประชาชน และพระสงฆ์ – นางชี แห่งโบสถ์โรมัน คาทอลิกมุ่งหน้าสู่ถนนใหญ่กลางกรุงมนิลา และเริ่มปฏิบัติการ “เสื้อเหลืองกู้ชาติ”

นับเป็นการเคลื่อนขบวนแสดงพลังบริสุทธิ์ของประชาชนผู้ตื่นรู้ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด หลังจากที่มวลมหาประชาชนแอบเดิน แอบด่า มาร์กอสมานานเกือบ 3 ปี

การเดินขบวนด้วยความเข้มข้น “ม้วนเดียวจบ” ครั้งนั้นมีคนเข้าร่วมนับล้านคน ใช้เวลา 4 วัน 4 คืน กับแนวอหิงสาที่ประกาศว่า “ไม่ชนะ ไม่เลิก” จึงโค่นเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ลงไปได้

ก่อนหน้าการโค่นบัลลังก์มาร์กอสจะมาถึง ทำเนียบมาลากันยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับชะตากรรมที่กำลังคืบคลานเข้ามา วันนั้นผัวเมียจอมบงการบ้าอำนาจ ยังอ้างปากคอสั่นว่า เขามาจากการเลือกตั้ง และประชาชนเลือกเขามาอย่างท่วมท้น

การดิ้นรนต่อสู้ของมาร์กอส ด้วยอำนาจที่บ้าคลั่งผลักดันให้ประชาชนออกมามากมายเป็นประวัติการณ์ คนพวกนี้พร้อมใจชูกำปั้น และตะโกนเป็นระยะๆ ว่า “มาร์กอส...ออกไป”

การชุมนุมที่ร้อนแรงจากคนเป็นล้านๆ ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ถึง People Power หรือ The Philippine Revolution of 1986 นั่นคือ การรวมตัวของประชาชนที่มองไม่เห็นเลยว่าอะไรจะมาแก้ไขปัญหาการโกงกินของนักการเมืองผู้ชั่วร้ายได้นอกจากอำนาจอันบริสุทธิ์ของประชาชน

ตอนนั้นมาร์กอสหน้ามืดถึงขนาดสั่งกองทัพอันเกรียงไกรของเขา ขนอาวุธยุทโธปกรณ์ออกไปเข่นฆ่าประชาชนที่กำลังประท้วง เมื่อรถถังและปืนเคลื่อนมาสู่สถานที่ชุมนุม เหล่าบรรดาพระสงฆ์ และแม่ชี พร้อมใจกันนั่งขวางถนน กั้นรถถัง เอาตัวเองเป็นเกราะกำบังกระสุนให้ประชาชน

วินาทีนั้นประวัติศาสตร์จารึกไว้ว่า กองกำลังทหารจำนวนมากมือตก ลดปืนลง และนิ่งอึ้ง พวกเขาไม่กล้ายิงพระและนางชี พวกเขาไม่กล้าเข่นฆ่าผู้คนผู้กำลังก่อกบฏต่อมาร์กอส และในที่สุดกองทัพยิ่งใหญ่ก็พ่ายแพ้ เมื่อนายทหารหนุ่มฟิเดล รามอส ตัดสินใจโดดเข้าร่วมกับประชาชนเพื่อโค่นมาร์กอสด้วย

หลังนาทีวิกฤตไม่นาน เฟอร์ดินานด์ มาร์กอสได้รับสายร้อนจากวอชิงตัน ดี. ซี. ปลายสายเป็นเสียงของวุฒิสมาชิกอเมริกันนาม พอล ลาซัลท์ เพื่อนสนิท ซึ่งให้คำแนะนำเรียบๆว่า “ตัดให้ขาดเถิดเพื่อนเอ๋ย”

จากนั้นเฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่หลายลำก็บินลงที่ด้านหลังทำเนียบมาลากันยังเพื่อรับมาร์กอส –อีเมลดา –ลูกน้อย 2 คนไปยังสนามบินคลาก แล้วหนีไปลี้ภัยที่ฮอนโนลูลู ฮาวาย สหรัฐฯ นับแต่นั้นเป็นต้นมา

เป็นอันปิดฉากยุคทรราชมาร์กอสที่ครองอำนาจด้วยเผด็จการมายาวนาน 20 ปีลงด้วยน้ำตาและความขมขื่นของปวงชน ผัว-เมียทรราชคู่นี้ทิ้งทำเนียบมาลากันยังไว้ในฟิลิปปินส์ที่ว่างเปล่า กับรองเท้าแบรนด์เนมของ อีเมลดากว่า 3,000 คู่ไว้ดูต่างหน้า

ว่ากันว่า มาร์กอสขนเงินดอลลาร์ เพชรนิลจินดา และทองคำจำนวนมหาศาลติดตัวไปเสวยสุขในต่างแดนด้วย ต่อมาเมื่ออำนาจของมาร์กอสถูกทำลาย การเมืองใหม่เข้ามาแทนที่ แม้จะกระท่อนกระแท่น แต่ฟิลิปปินส์ก็ยังพอถูลู่ถูกังไปได้ไม่แร้นแค้น

แต่จะดีกว่านี้ไหมถ้าฟิลิปปินส์ไม่ถูกปล้นสะดมโดยคนกันเองที่ตักตวงผลประโยชน์ไปจากประชาชนด้วยความทารุณโหดร้าย ละโมบโลภมาก ขาดความยุติธรรม และไร้ศีลธรรม

หลายปีต่อมามาร์กอสผู้ถูกทางการตามล่า จนแทบไม่มีแผ่นดินจะอยู่ ต้องซุ่มเงียบเดียวดายในฮาวาย ที่นั่นเขาป่วยหนักเป็นโรคไต และตายด้วยความทุกข์ทรมานในคฤหาสน์หลังงามซึ่งสร้างจากเงินที่เขาคดโกงชาติบ้านเมืองไป

บ้านใหญ่หลังนี้เองที่ประชากรในฮอนโนลูลูรังเกียจสุดแสน เล่ากันว่าทุกครั้งที่คนไหนจะขับรถผ่านบ้านหลังนี้ ทุกคนจะบีบแตรไล่จนเป็นนิจสิน

เมื่อมาร์กอสตายลงไปเขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่า สมบัติที่เขาโกงชาติไปฝากไว้ในบัญชีประเทศต่างๆ โดยเฉพาะที่สวิตเซอร์แลนด์ ถูกทางการตามล่าตามยึดไม่หยุดหย่อน แม้ต้องใช้เวลาหลายสิบปี แต่องค์กรที่ล่าขุมทรัพย์มาร์กอสก็ไม่ลดละ ประเทศฟิลิปปินส์ทุ่มเทต้นทุนลงไปมหาศาลเพื่อล่าสมบัติชาติกลับคืนมา

แต่แล้วในที่สุดพีซีจีจีก็สามารถล่าเงินกลับมาได้เกืยบ 64,000 ล้านบาท คาดกันว่า มาร์กอสปล้นสมบัติชาติออกไปหลายแสนล้านบาททีเดียว

ส่วนอีเมลดา มาร์กอส กับลูกๆ นั้นเล่าต่างก็เสวยสุขในต่างแดนไปตามๆ กัน ด้วยเงินที่โกงไปจากประชาชนเพื่อนร่วมชาติ คนพวกนี้ถูกสังคมอเมริกันรังเกียจไม่คบหาสมาคมด้วย

เวลานี้อีเมลดากลับมาอยู่ที่มนิลาแล้ว เธอใช้ชีวิตสุขสบายมาก ในวัย 78 ปี กลางอพาร์ตเมนต์ชั้น 34 ในคอนโดมิเนียมหรูหรากลางกรุงมนิลา อีเมลดาถูกศาลตัดสินยกฟ้องกรณีโอนเงินไปไว้ในต่างแดน วันที่เธอชนะคดีทุจริตคอร์รัปชัน เธอเดินออกมาจากศาลหน้าตาผ่องแผ้ว ยิ้มหวานเหมือนเคย กรีดน้ำตาอ้อนประชาชนเหมือนเคย และชูสองนิ้วหมายถึงชัยชนะต่อหน้ากล้อง

อีเมลดาเล่นละครตอนสุดท้ายอย่างไม่รู้เบื่อจริงๆ

เห็นชะตากรรมคนโกงชาติจากฟิลิปปินส์แล้วหมั่นเขี้ยวเหลือเกิน...เมื่อไรน่ะบ้านเราจะมีอัศวินม้าขาวมาปราบ “พระเจ้ามูลเมือง” ให้แดดิ้นลงไปเหมือนกับเฟอร์ดินานด์ มาร์กอสเสียที

เห็นเย้วๆ อยู่ต่างแดนเพื่อทำลายชาติบ้านเมืองอยู่อย่างนี้แล้ว อยากถามคนรับผิดชอบนัก

มัวนั่งทำอะไรกันอยู่หรือ.
กำลังโหลดความคิดเห็น