เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการรายวัน - ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทและยุโรปร่วงรุนแรงในวันจันทร์(1) เมื่อเอไอจีและเอชเอสบีซี 2 สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของโลก ต่างออกมาเผยว่าต้องการเม็ดเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อประคับประคองกิจการเอาไว้ ความหวั่นผวาจากวอลล์สตรีท ยังส่งผลกระทบถึงหุ้นแถบเอเชียวานนี้(2) แม้จะอยู่ในระดับที่ผ่อนเพลาลงแล้ว
ความต้องการเม็ดเพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาลของ 2 ยักษ์ใหญ่ ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯและยุโรป ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายปี แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาในวันเดียวกัน จะดีกว่าที่คาดไว้ก็ตาม
ในวันจันทร์ที่กรุงวอชิงตัน อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี)ได้รับข้อเสนอจากทางการสหรัฐฯที่จะให้เงินอัดฉีดอีก 30,000 ล้านดอลลาร์เพื่อฟื้นฟูบริษัท หลังจากที่บริษัทประกันภัยซึ่งเคยใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ประกาศผลขาดทุนในไตรมาสที่สี่ปีที่แล้วว่าสูงถึง 61,700 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นการขาดทุนรายไตรมาสครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทอเมริกัน นอกจากนี้ยังทำให้ยอดขาดทุนของเอไอจีทั้งปี 2008 ขึ้นมาเป็น 99,300 ล้านดอลลาร์
รัฐบาลสหรัฐฯซึ่งได้เคยอัดฉีดเงินเข้าสู่เอไอจีแล้วหลายระลอกรวมเป็นมูลค่า 150,000 ล้านดอลลาร์ แถลงว่า แพกเกจความช่วยเหลือก้อนใหม่ที่มีมาตรการในด้านการปรับโครงสร้างหลายประการนี้ มีความจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เอไอจีต้องล้มครืนและก่อให้เกิดความหายนะติดตามมา
การล้มครืนของเอไอจี ซึ่งเข้าไปทำธุรกิจอยู่ใน 130 ประเทศทั่วโลก คาดกันว่าจะส่งผลสะเทือนให้แก่เศรษฐกิจที่กำลังอ่อนแอจากภาวะถดถอย
"เมื่อพิจารณาจากความเสี่ยงต่อระบบที่เอไอจียังคงก่อให้เกิดขึ้น ตลอดจนความเปราะบางของตลาดในเวลานี้แล้ว ถ้าหากรัฐบาลไม่ลงมือกระทำอะไรเลย ต้นทุนที่อาจเกิดขึ้น(จากการล้มของเอไอจี)ทั้งของเศรษฐกิจโดยรวม และของผู้เสียภาษี ก็จะอยู่ในระดับที่สูงอย่างยิ่งยวด" กระทรวงการคลังสหรัฐฯและธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)กล่าวในคำแถลงร่วม
แพกเกจความช่วยเหลือก้อนใหม่นี้ มีมาตรการอย่างเช่น การปรับโครงสร้างความช่วยเหลือเดิมที่ให้แก่เอไอจีท โดยการลดจำนวนเงินปันผลมหาศาลที่บริษัทต้องการจ่ายให้กับรัฐบาลภายใต้สัญญาเดิม
"นโยบายที่ออกมานี้เห็นได้ชัดว่าทางการสหรัฐฯพยายามเต็มที่ที่จะมิให้เอไอจีล้มคว่ำลงมาเหมือนกรณีเลห์แมน ซึ่งจะตามมาด้วยภาวะล้มละลายของตลาด" เดวิด โกตอกแห่งคัมเบอร์แลนด์ แอดไวเซอร์กล่าว "และดูเหมือนว่าจะไม่มีเพดานจำกัดจำนวนเม็ดเงินที่รัฐบาลจะอัดฉีดเข้าไปในกรณีนี้"
ในวันเดียวกัน การประกาศผลประกอบการของเอชเอสบีซี ธนาคารใหญ่ที่สุดในยุโรปที่ลดลงไปถึง 70% จากเมื่อปีก่อน ซึ่งทำให้ธนาคารเผยว่าต้องการออกหุ้นใหม่เพื่อเพิ่มทุนเป็นจำนวนเกือบ 18,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อประคองกิจการให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤต
นอกจากนั้น เอชเอสบีซียังจะลดพนักงานลง 6,100 ตำแหน่ง พร้อมๆ กับการออกหุ้นใหม่เป็นจำนวนมหึมาที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ เพื่อระดมทุนที่ต้องการ
เอชเอสบีซีได้ชื่อว่าเป็นธนาคารที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยได้ปฏิเสธความช่วยเหลือที่ทางการอังกฤษเสนอให้เมื่อเร็ว ๆนี้ ในขณะที่ธนาคารคู่แข่งอื่น ๆจำเป็นต้องตอบรับความช่วยเหลือดังกล่าว
คริส ลาฟากิส แห่ง อีโคโนมิค ดอตคอมกล่าวว่าการประกาศนี้ยิ่งจะทำให้นักลงทุนหนีหายไปจากตลาดมากยิ่งขึ้น "ประกอบกับกรณีของเอไอจี การเสนอขายหุ้นของเอชเอสบีซีไม่ได้ช่วยทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจหรือมีภาพชัดเจนของสถาบันการเงินมากขึ้นแม้แต่น้อย เพราะไม่แน่ใจว่าการระดมทุนนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่"
ในตลาดวอลล์สตรีทเมื่อวันจันทร์ ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดิ่งลง 4.24% มาปิดที่ 6,763.29 จุด อันเป็นการปิดที่ระดับต่ำกว่าหลัก 7,000 ครั้งแรกตั้งแต่เดือนเมษายนปี 1997 เป็นต้นมา
ส่วนดัชนีสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส 500 ที่ใช้หุ้นจำนวนมากกว่าเป็นฐานการคำนวณ ก็ปรากฏว่าดิ่งลง 4.66% ปิดที่ 700.82 อันเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายปี 1996 เป็นต้นมา ด้านดัชนีแนสแดค ซึ่งมีหุ้นพวกเทคโนโลยีเป็นตัวนำนั้น ร่วงลง 3.99% มาปิดที่ 1,322.85
ข้ามไปที่ลอนดอน ในวันจันทร์เช่นกัน ดัชนีไฟแนนเชียลไทมส์ 100 ดำดิ่งลงมา 5.33% อยู่ที่ 3,625.83 จุด อันเป็นระดับที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งเดือนมีนาคมปี 2003 เป็นต้นมา ส่วนที่แฟรงเฟิร์ต ดัชนีแด๊กซ์ร่วง 3.48% และที่ปารีส ดัชนีแค็ก 40 ลดลงไป 4.48% สู่ระดับต่ำสุดในรอบหกปี
สำหรับตลาดแถบเอเชียเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีหุ้นสำคัญของตลาดส่วนใหญ่ต่างอยู่ในแดนลบ ถึงแม้จะไม่สาหัสเท่าทางวอลล์สตรีทและยุโรป
ดัชนีหุ้นนิกเกอิของตลาดโตเกียวปิด -0.69% เนื่องจากวานนี้รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศจะนำเงิน 5,000 ล้านดอลลาร์จากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ มาช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ที่ต้องการเงินทุน จะได้ไม่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องลำบากมากขึ้นอีก
ทางด้านดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกง ปิด -2.3%, สิงคโปร์ -0.32%, เซี่ยงไฮ้ -1.05%
ความต้องการเม็ดเพิ่มขึ้นจำนวนมหาศาลของ 2 ยักษ์ใหญ่ ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯและยุโรป ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายปี แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯที่ประกาศออกมาในวันเดียวกัน จะดีกว่าที่คาดไว้ก็ตาม
ในวันจันทร์ที่กรุงวอชิงตัน อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป (เอไอจี)ได้รับข้อเสนอจากทางการสหรัฐฯที่จะให้เงินอัดฉีดอีก 30,000 ล้านดอลลาร์เพื่อฟื้นฟูบริษัท หลังจากที่บริษัทประกันภัยซึ่งเคยใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ประกาศผลขาดทุนในไตรมาสที่สี่ปีที่แล้วว่าสูงถึง 61,700 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นการขาดทุนรายไตรมาสครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทอเมริกัน นอกจากนี้ยังทำให้ยอดขาดทุนของเอไอจีทั้งปี 2008 ขึ้นมาเป็น 99,300 ล้านดอลลาร์
รัฐบาลสหรัฐฯซึ่งได้เคยอัดฉีดเงินเข้าสู่เอไอจีแล้วหลายระลอกรวมเป็นมูลค่า 150,000 ล้านดอลลาร์ แถลงว่า แพกเกจความช่วยเหลือก้อนใหม่ที่มีมาตรการในด้านการปรับโครงสร้างหลายประการนี้ มีความจำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เอไอจีต้องล้มครืนและก่อให้เกิดความหายนะติดตามมา
การล้มครืนของเอไอจี ซึ่งเข้าไปทำธุรกิจอยู่ใน 130 ประเทศทั่วโลก คาดกันว่าจะส่งผลสะเทือนให้แก่เศรษฐกิจที่กำลังอ่อนแอจากภาวะถดถอย
"เมื่อพิจารณาจากความเสี่ยงต่อระบบที่เอไอจียังคงก่อให้เกิดขึ้น ตลอดจนความเปราะบางของตลาดในเวลานี้แล้ว ถ้าหากรัฐบาลไม่ลงมือกระทำอะไรเลย ต้นทุนที่อาจเกิดขึ้น(จากการล้มของเอไอจี)ทั้งของเศรษฐกิจโดยรวม และของผู้เสียภาษี ก็จะอยู่ในระดับที่สูงอย่างยิ่งยวด" กระทรวงการคลังสหรัฐฯและธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)กล่าวในคำแถลงร่วม
แพกเกจความช่วยเหลือก้อนใหม่นี้ มีมาตรการอย่างเช่น การปรับโครงสร้างความช่วยเหลือเดิมที่ให้แก่เอไอจีท โดยการลดจำนวนเงินปันผลมหาศาลที่บริษัทต้องการจ่ายให้กับรัฐบาลภายใต้สัญญาเดิม
"นโยบายที่ออกมานี้เห็นได้ชัดว่าทางการสหรัฐฯพยายามเต็มที่ที่จะมิให้เอไอจีล้มคว่ำลงมาเหมือนกรณีเลห์แมน ซึ่งจะตามมาด้วยภาวะล้มละลายของตลาด" เดวิด โกตอกแห่งคัมเบอร์แลนด์ แอดไวเซอร์กล่าว "และดูเหมือนว่าจะไม่มีเพดานจำกัดจำนวนเม็ดเงินที่รัฐบาลจะอัดฉีดเข้าไปในกรณีนี้"
ในวันเดียวกัน การประกาศผลประกอบการของเอชเอสบีซี ธนาคารใหญ่ที่สุดในยุโรปที่ลดลงไปถึง 70% จากเมื่อปีก่อน ซึ่งทำให้ธนาคารเผยว่าต้องการออกหุ้นใหม่เพื่อเพิ่มทุนเป็นจำนวนเกือบ 18,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อประคองกิจการให้ผ่านพ้นภาวะวิกฤต
นอกจากนั้น เอชเอสบีซียังจะลดพนักงานลง 6,100 ตำแหน่ง พร้อมๆ กับการออกหุ้นใหม่เป็นจำนวนมหึมาที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ เพื่อระดมทุนที่ต้องการ
เอชเอสบีซีได้ชื่อว่าเป็นธนาคารที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยได้ปฏิเสธความช่วยเหลือที่ทางการอังกฤษเสนอให้เมื่อเร็ว ๆนี้ ในขณะที่ธนาคารคู่แข่งอื่น ๆจำเป็นต้องตอบรับความช่วยเหลือดังกล่าว
คริส ลาฟากิส แห่ง อีโคโนมิค ดอตคอมกล่าวว่าการประกาศนี้ยิ่งจะทำให้นักลงทุนหนีหายไปจากตลาดมากยิ่งขึ้น "ประกอบกับกรณีของเอไอจี การเสนอขายหุ้นของเอชเอสบีซีไม่ได้ช่วยทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจหรือมีภาพชัดเจนของสถาบันการเงินมากขึ้นแม้แต่น้อย เพราะไม่แน่ใจว่าการระดมทุนนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่"
ในตลาดวอลล์สตรีทเมื่อวันจันทร์ ดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ดิ่งลง 4.24% มาปิดที่ 6,763.29 จุด อันเป็นการปิดที่ระดับต่ำกว่าหลัก 7,000 ครั้งแรกตั้งแต่เดือนเมษายนปี 1997 เป็นต้นมา
ส่วนดัชนีสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส 500 ที่ใช้หุ้นจำนวนมากกว่าเป็นฐานการคำนวณ ก็ปรากฏว่าดิ่งลง 4.66% ปิดที่ 700.82 อันเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายปี 1996 เป็นต้นมา ด้านดัชนีแนสแดค ซึ่งมีหุ้นพวกเทคโนโลยีเป็นตัวนำนั้น ร่วงลง 3.99% มาปิดที่ 1,322.85
ข้ามไปที่ลอนดอน ในวันจันทร์เช่นกัน ดัชนีไฟแนนเชียลไทมส์ 100 ดำดิ่งลงมา 5.33% อยู่ที่ 3,625.83 จุด อันเป็นระดับที่ย่ำแย่ที่สุดนับตั้งเดือนมีนาคมปี 2003 เป็นต้นมา ส่วนที่แฟรงเฟิร์ต ดัชนีแด๊กซ์ร่วง 3.48% และที่ปารีส ดัชนีแค็ก 40 ลดลงไป 4.48% สู่ระดับต่ำสุดในรอบหกปี
สำหรับตลาดแถบเอเชียเมื่อวานนี้ว่า ดัชนีหุ้นสำคัญของตลาดส่วนใหญ่ต่างอยู่ในแดนลบ ถึงแม้จะไม่สาหัสเท่าทางวอลล์สตรีทและยุโรป
ดัชนีหุ้นนิกเกอิของตลาดโตเกียวปิด -0.69% เนื่องจากวานนี้รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศจะนำเงิน 5,000 ล้านดอลลาร์จากทุนสำรองเงินตราต่างประเทศ มาช่วยเหลือบริษัทต่างๆ ที่ต้องการเงินทุน จะได้ไม่ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องลำบากมากขึ้นอีก
ทางด้านดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกง ปิด -2.3%, สิงคโปร์ -0.32%, เซี่ยงไฮ้ -1.05%
