เอเจนซี - กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้รับการจับตาคาดหมายว่า จะต้องขยายเพิ่มปริมาณตราสารหนี้ขึ้นอีกมหาศาล เนื่องจากต้องหาเงินกู้ยืมสูงถึง 2.1 ล้านล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณนี้ เพื่อมาสนับสนุนโครงการกอบกู้ช่วยชีวิตภาคการเงินการธนาคารและกระตุ้นเศรษฐกิจ
บรรดานักวิเคราะห์ คาดว่า ในวันพุธนี้ (5) กระทรวงการคลังจะประกาศออกพันธบัตรอายุ 3 ปีกันอีกครั้ง นอกจากนี้ก็ยังจะออกพันธบัตรอายุ 10 ปี และ 30 ปีถี่ขึ้นด้วย อีกทั้งยังน่าจะพิจารณาออกพันธบัตรที่มีอายุน้อยกว่านี้ออกมาขายบ่อยขึ้นเช่นกัน
"พวกเขากำลังจะต้องระดมเม็ดเงินอย่างมาก ดังนั้นจึงความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะออกพันธบัตร 3 ปีทุกๆ ไตรมาส,เปิดให้ประมูลพันธบัตรอายุ 5 ปีทุกๆ เดือน รวมทั้งเพิ่มปริมาณที่ออกในแต่ละครั้งให้สูงขึ้นอย่างมากในทุกชนิดของพันธบัตร" เป็นการคาดการณ์ของ คิม รูเพิร์ต หัวหน้าของหน่วยวิเคราะห์ตราสารหนี้ทั่วโลกของแอคชัน อีโคโนมิคส์ ในซานฟรานซิสโก
กระทรวงการคลังแถลงเมื่อวันจันทร์ (3) ว่า จะต้องกู้เงินเป็นจำนวนสูงถึง 550,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคมปีนี้ ซึ่งรวมทั้งเม็ดเงินสำหรับโครงการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางสหรัฐฯ อีก 300,000 ล้านดอลลาร์
เม็ดเงินที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการเหล่านี้สูงกว่าที่ประมาณการไว้เมื่อเดือนกรกฎาคมถึง 408,000 ล้านดอลลาร์ สืบเนื่องจากต้องเพิ่มพวกแผนการประคับประคองเศรษฐกิจขึ้นมาอีก ขณะที่รายได้จากการจัดเก็บภาษีจะต้องลดลง รวมทั้งจะต้องลดการออกตราสารหนี้ที่ไม่สามารถจะปล่อยสู่ตลาดได้ ในบรรดาหน่วยงานของมลรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งเพิ่มภาระการหาเงินให้แก่รัฐบาลกลางมากขึ้นไปอีก
ทั้งนี้กระทรวงการคลังคาดหมายว่าจะต้องกู้ยืมเงินอีก 368,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคมในปีหน้า
นอกจากนี้กระทรวงคลังยังระบุด้วยว่า จากการสำรวจความคิดเห็นบรรดาดีลเลอร์ค้าพันธบัตรรัฐบาลรายหลัก 18 ราย ทั้งหมดมีความคิดเห็นตรงกันว่าในปีงบประมาณ 2009 จะมีการขาดดุลงบประมาณถึง 988,000 ล้านดอลลาร์ มากเป็นกว่าสองเท่าตัวของระดับการขาดดุลปีงบประมาณ 2008 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2008 ที่เท่ากับ 455,000 ล้านดอลลาร์ และนับว่าสูงทำลายสถิติใหม่อยู่แล้ว
นอกจากนั้น ดีลเลอร์เหล่านี้เห็นพ้องกันอีกว่าในปีงบประมาณ 2009 การกู้ยืมจากตลาดของรัฐบาลเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1ล้านล้านดอลลาร์ โดยปริมาณเงินคาดการณ์ต่ำสุดอยู่ที่ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ และสูงสุดที่ 2.1 ล้านล้านดอลลาร์
โกลด์แมนแซคส์ หนึ่งในดีลเลอร์รายหลักเหล่านี้ ประเมินว่า ความต้องการกู้ยืมเงินภาครัฐจะอยู่ในระดับ 2.0 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะต้องนำไปใช้อุดการขาดดุลของรัฐบาลกลาง 850,000 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งอัดฉีดโครงการซื้อหลักทรัพย์และสินทรัพย์ของธนาคารที่กระทรวงการคลังจะต้องเข้าไปทำ และการออกตราสารหนี้ใหม่ทดแทนพวกที่ครบอายุไถ่ถอนเป็นมูลค่า 561,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ยอดขายพันธบัตรของพวกมลรัฐและระดับท้องถิ่น ลดลงไปถึง 100,000 ล้านดอลลาร์
บรรดานักวิเคราะห์ต่างพากันเห็นว่า กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ จะต้องเพิ่มทางเลือกในการกู้ยืมเงิน เพื่อหาเงินให้ได้มากตามที่ต้องการ โกลด์แมนแซคส์นั้นเห็นว่ารัฐบาลน่าจะต้องออกพันธบัตรอายุ 10 ปีเป็นรายเดือน และออกพันธบัตรอายุ 30 ปีเป็นราย 3 เดือน และนำเอาพันธบัตรอายุ 3 ปีมาเปิดประมูลทุกๆ ไตรมาสอีกด้วย
ขณะที่ ลู แรนดอลล์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่ง ไรต์สัน ไอซีเอพี มองว่า กระทรวงจะต้องทำมากกว่านั้นด้วยซ้ำ อาทิ จะต้องออกพันธบัตรแบบโดดๆ ครั้งเดียวนอกเหลือจากแบบที่ออกมาเป็นงวดๆ
เขาชี้ด้วยว่า มีนักวิเคราะห์อื่นๆ เสนอให้ออกพันธบัตรรูปแบบใหม่ๆ เช่น อายุ 4 ปี, 7 ปี และ15 ปี ซึ่งเขาเองไม่คิดว่ากระทรวงจะใช้ทางเลือกเช่นนี้ แต่ก็ไม่สามารถบอกปัดอย่างสิ้นเชิง
บรรดานักวิเคราะห์ คาดว่า ในวันพุธนี้ (5) กระทรวงการคลังจะประกาศออกพันธบัตรอายุ 3 ปีกันอีกครั้ง นอกจากนี้ก็ยังจะออกพันธบัตรอายุ 10 ปี และ 30 ปีถี่ขึ้นด้วย อีกทั้งยังน่าจะพิจารณาออกพันธบัตรที่มีอายุน้อยกว่านี้ออกมาขายบ่อยขึ้นเช่นกัน
"พวกเขากำลังจะต้องระดมเม็ดเงินอย่างมาก ดังนั้นจึงความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาจะออกพันธบัตร 3 ปีทุกๆ ไตรมาส,เปิดให้ประมูลพันธบัตรอายุ 5 ปีทุกๆ เดือน รวมทั้งเพิ่มปริมาณที่ออกในแต่ละครั้งให้สูงขึ้นอย่างมากในทุกชนิดของพันธบัตร" เป็นการคาดการณ์ของ คิม รูเพิร์ต หัวหน้าของหน่วยวิเคราะห์ตราสารหนี้ทั่วโลกของแอคชัน อีโคโนมิคส์ ในซานฟรานซิสโก
กระทรวงการคลังแถลงเมื่อวันจันทร์ (3) ว่า จะต้องกู้เงินเป็นจำนวนสูงถึง 550,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคมปีนี้ ซึ่งรวมทั้งเม็ดเงินสำหรับโครงการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบของธนาคารกลางสหรัฐฯ อีก 300,000 ล้านดอลลาร์
เม็ดเงินที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการเหล่านี้สูงกว่าที่ประมาณการไว้เมื่อเดือนกรกฎาคมถึง 408,000 ล้านดอลลาร์ สืบเนื่องจากต้องเพิ่มพวกแผนการประคับประคองเศรษฐกิจขึ้นมาอีก ขณะที่รายได้จากการจัดเก็บภาษีจะต้องลดลง รวมทั้งจะต้องลดการออกตราสารหนี้ที่ไม่สามารถจะปล่อยสู่ตลาดได้ ในบรรดาหน่วยงานของมลรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งเพิ่มภาระการหาเงินให้แก่รัฐบาลกลางมากขึ้นไปอีก
ทั้งนี้กระทรวงการคลังคาดหมายว่าจะต้องกู้ยืมเงินอีก 368,000 ล้านดอลลาร์ ในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคมในปีหน้า
นอกจากนี้กระทรวงคลังยังระบุด้วยว่า จากการสำรวจความคิดเห็นบรรดาดีลเลอร์ค้าพันธบัตรรัฐบาลรายหลัก 18 ราย ทั้งหมดมีความคิดเห็นตรงกันว่าในปีงบประมาณ 2009 จะมีการขาดดุลงบประมาณถึง 988,000 ล้านดอลลาร์ มากเป็นกว่าสองเท่าตัวของระดับการขาดดุลปีงบประมาณ 2008 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2008 ที่เท่ากับ 455,000 ล้านดอลลาร์ และนับว่าสูงทำลายสถิติใหม่อยู่แล้ว
นอกจากนั้น ดีลเลอร์เหล่านี้เห็นพ้องกันอีกว่าในปีงบประมาณ 2009 การกู้ยืมจากตลาดของรัฐบาลเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1ล้านล้านดอลลาร์ โดยปริมาณเงินคาดการณ์ต่ำสุดอยู่ที่ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ และสูงสุดที่ 2.1 ล้านล้านดอลลาร์
โกลด์แมนแซคส์ หนึ่งในดีลเลอร์รายหลักเหล่านี้ ประเมินว่า ความต้องการกู้ยืมเงินภาครัฐจะอยู่ในระดับ 2.0 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะต้องนำไปใช้อุดการขาดดุลของรัฐบาลกลาง 850,000 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งอัดฉีดโครงการซื้อหลักทรัพย์และสินทรัพย์ของธนาคารที่กระทรวงการคลังจะต้องเข้าไปทำ และการออกตราสารหนี้ใหม่ทดแทนพวกที่ครบอายุไถ่ถอนเป็นมูลค่า 561,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ยอดขายพันธบัตรของพวกมลรัฐและระดับท้องถิ่น ลดลงไปถึง 100,000 ล้านดอลลาร์
บรรดานักวิเคราะห์ต่างพากันเห็นว่า กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ จะต้องเพิ่มทางเลือกในการกู้ยืมเงิน เพื่อหาเงินให้ได้มากตามที่ต้องการ โกลด์แมนแซคส์นั้นเห็นว่ารัฐบาลน่าจะต้องออกพันธบัตรอายุ 10 ปีเป็นรายเดือน และออกพันธบัตรอายุ 30 ปีเป็นราย 3 เดือน และนำเอาพันธบัตรอายุ 3 ปีมาเปิดประมูลทุกๆ ไตรมาสอีกด้วย
ขณะที่ ลู แรนดอลล์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่ง ไรต์สัน ไอซีเอพี มองว่า กระทรวงจะต้องทำมากกว่านั้นด้วยซ้ำ อาทิ จะต้องออกพันธบัตรแบบโดดๆ ครั้งเดียวนอกเหลือจากแบบที่ออกมาเป็นงวดๆ
เขาชี้ด้วยว่า มีนักวิเคราะห์อื่นๆ เสนอให้ออกพันธบัตรรูปแบบใหม่ๆ เช่น อายุ 4 ปี, 7 ปี และ15 ปี ซึ่งเขาเองไม่คิดว่ากระทรวงจะใช้ทางเลือกเช่นนี้ แต่ก็ไม่สามารถบอกปัดอย่างสิ้นเชิง
