รอยเตอร์ – ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ประกาศเมื่อวันเสาร์ (28 ก.พ.) ว่าเขาจะต่อสู้กับขั้วอำนาจเก่าโดยเฉพาะพวกนักล็อบบี้และกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ซึ่งกำลังหาทางเข้ามาชิงส่วนแบ่งจากงบประมาณมูลค่า 3.55 ล้านล้านดอลลาร์ไป โดยเขายืนยันว่าจะใช้เงินงบประมาณเพื่อปฏิรูปประเทศตามที่ได้ให้คำมั่นไว้อย่างคุ้มค่า
แผนงบประมาณการใช้จ่ายของโอบามา ตั้งเอาไว้ว่าจะมีการขาดดุลงบประมาณสูงมากถึง 1.17 ล้านล้านดอลลาร์ อีกทั้งจะมีการขึ้นภาษีกับพวกคนรวย ดึงเงินอีกหลายพันล้านดอลลาร์จากธุรกิจประกันสุขภาพ และการยกเลิกการให้เงินอุดหนุนและการยกเว้นภาษีแก่ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจการเกษตร และบริษัทน้ำมันด้วย
“การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้พวกกลุ่มผลประโยชน์และนักล็อบบี้ทั้งหลายที่เติบโตมาในระบบการทำธุรกิจแบบเก่าไม่พอใจเท่าไร” โอบามากล่าวในรายการสนทนาทางสถานีวิทยุประจำสัปดาห์ และบอกว่า “ผมรู้ว่าคนพวกนี้กำลังจะหาทางต่อสู้เมื่อเราพูดเรื่องนี้ออกไป แต่ผมขอบอกกับพวกเขาว่า ผมก็จะสู้เช่นกัน”
ทางด้านพรรครีพับลิกันได้ออกมาพูดในรายการตอบโต้ชี้แจงทางวิทยุว่า การจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายงบประมาณของพรรคเดโมแครตจะทำลายสิ่งที่เรียกกันว่า “ความฝันของชาวอเมริกัน” ที่เชื่อว่าการทำงานหนักจะสร้างชีวิตที่ดีให้กับพลเมืองรุ่นหลังๆ ต่อไป
“ในสัปดาห์นี้ ประธานาธิบดีได้เสนอเพิ่มงบประมาณก้อนมหาศาลเป็นประวัติการณ์ต่อคองเกรส ขณะเดียวกันก็ผลักดันการขาดดุลงบประมาณไปจนถึงระดับซึ่งเคยคิดกันว่าไม่มีทางเป็นไปได้” วุฒิสมาชิกริชาร์ด เบอร์ ซึ่งเป็นตัวแทนของรีพับลิกัน กล่าวทางวิทยุ
เขาบอกอีกว่างบประมาณของโอบามาทำให้รัฐบาลต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยถึงวันละหนึ่งพันล้านดอลลาร์จากหนี้สินที่ก่อขึ้นไปจนถึงทศวรรษหน้า
“แทนที่เราจะทำงานหนักเพื่อให้ลูกหลานมีชีวิตที่ดีขึ้นในวันข้างหน้า กลับกลายเป็นว่าเรากำลังเรียกร้องให้ลูกหลานทำงานหนักเพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ต้องคิดมากสำหรับการตัดสินใจในวันนี้” เบอร์กล่าว
แต่โอบามาบอกว่าแผนงบประมาณจัดทำขึ้นเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงตามที่เขาสัญญาไว้ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง นอกจากนั้นงบประมาณของเขายังสะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงว่าสหรัฐฯ กำลังเผชิญหน้าอยู่กับวิกฤตการณ์ทางการเงิน ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ และการขาดดุลงบประมาณสูงนับล้านล้านดอลลาร์
“จากสภาพความเป็นจริงดังกล่าว เราจะต้องรอบคอบกว่าเดิมในเรื่องการตัดโครงการที่เราไม่ต้องการทิ้งไปเพื่อให้สามารถนำเงินไปลงทุนในสิ่งที่จำเป็นได้” เขาเสริมว่าการตรวจสอบงบประมาณโดยละเอียดแบบหน้าต่อหน้าทำให้สามารถประหยัดเงินได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเวลา 10 ปี
“ผมตระหนักดีว่าการผ่านงบประมาณนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย” โอบามากล่าว “เพราะมันแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่จริงๆ และยังคุกคามกลุ่มอำนาจเดิมในวอชิงตันด้วย”
เขายกตัวอย่างว่าธุรกิจประกันภัยอาจไม่อยากเข้ามาร่วมแข่งขันในโครงการประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ แต่จำเป็นต้องทำเพื่อให้โครงการคงอยู่และเป็นการลดค่าใช้จ่ายลงด้วย ส่วนธุรกิจธนาคารและสถาบันการเงินที่ให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาก็อาจไม่อยากสูญเสียเงินอุดหนุน แต่รัฐบาลจะประหยัดเงินถึงเกือบ 50,000 ล้านดอลลาร์ และทำให้มหาวิทยาลัยต่างๆ
มีเงินหมุนเวียนใช้จ่ายมากขึ้น
นอกจากนั้นบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอาจไม่อยากเสียประโยชน์จากการงดเว้นภาษี 30,000 ล้านดอลลาร์ แต่รัฐบาลต้องนำเงินไปใช้ในการวิจัยด้านพลังงานที่หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้
“ระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอาจใช้ได้กับกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอำนาจและมีสายสัมพันธ์กับวอชิงตันมาเป็นเวลานาน แต่ผมไม่เห็นด้วยเพราะผมทำงานให้กับประชาชนอเมริกันทั้งประเทศ” โอบามากล่าว
“ผมไม่ได้เข้ามารับตำแหน่งเพื่อจะทำแบบเดียวกับที่เราเคยทำกันมา หรือเพียงแค่แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมเล็กๆ น้อยๆ ผมเข้ามาเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ซึ่งประเทศชาติเรียกร้องเมื่อมีการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา”
แผนงบประมาณการใช้จ่ายของโอบามา ตั้งเอาไว้ว่าจะมีการขาดดุลงบประมาณสูงมากถึง 1.17 ล้านล้านดอลลาร์ อีกทั้งจะมีการขึ้นภาษีกับพวกคนรวย ดึงเงินอีกหลายพันล้านดอลลาร์จากธุรกิจประกันสุขภาพ และการยกเลิกการให้เงินอุดหนุนและการยกเว้นภาษีแก่ธุรกิจธนาคาร ธุรกิจการเกษตร และบริษัทน้ำมันด้วย
“การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้พวกกลุ่มผลประโยชน์และนักล็อบบี้ทั้งหลายที่เติบโตมาในระบบการทำธุรกิจแบบเก่าไม่พอใจเท่าไร” โอบามากล่าวในรายการสนทนาทางสถานีวิทยุประจำสัปดาห์ และบอกว่า “ผมรู้ว่าคนพวกนี้กำลังจะหาทางต่อสู้เมื่อเราพูดเรื่องนี้ออกไป แต่ผมขอบอกกับพวกเขาว่า ผมก็จะสู้เช่นกัน”
ทางด้านพรรครีพับลิกันได้ออกมาพูดในรายการตอบโต้ชี้แจงทางวิทยุว่า การจัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายงบประมาณของพรรคเดโมแครตจะทำลายสิ่งที่เรียกกันว่า “ความฝันของชาวอเมริกัน” ที่เชื่อว่าการทำงานหนักจะสร้างชีวิตที่ดีให้กับพลเมืองรุ่นหลังๆ ต่อไป
“ในสัปดาห์นี้ ประธานาธิบดีได้เสนอเพิ่มงบประมาณก้อนมหาศาลเป็นประวัติการณ์ต่อคองเกรส ขณะเดียวกันก็ผลักดันการขาดดุลงบประมาณไปจนถึงระดับซึ่งเคยคิดกันว่าไม่มีทางเป็นไปได้” วุฒิสมาชิกริชาร์ด เบอร์ ซึ่งเป็นตัวแทนของรีพับลิกัน กล่าวทางวิทยุ
เขาบอกอีกว่างบประมาณของโอบามาทำให้รัฐบาลต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยถึงวันละหนึ่งพันล้านดอลลาร์จากหนี้สินที่ก่อขึ้นไปจนถึงทศวรรษหน้า
“แทนที่เราจะทำงานหนักเพื่อให้ลูกหลานมีชีวิตที่ดีขึ้นในวันข้างหน้า กลับกลายเป็นว่าเรากำลังเรียกร้องให้ลูกหลานทำงานหนักเพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ต้องคิดมากสำหรับการตัดสินใจในวันนี้” เบอร์กล่าว
แต่โอบามาบอกว่าแผนงบประมาณจัดทำขึ้นเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงตามที่เขาสัญญาไว้ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง นอกจากนั้นงบประมาณของเขายังสะท้อนให้เห็นข้อเท็จจริงว่าสหรัฐฯ กำลังเผชิญหน้าอยู่กับวิกฤตการณ์ทางการเงิน ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ และการขาดดุลงบประมาณสูงนับล้านล้านดอลลาร์
“จากสภาพความเป็นจริงดังกล่าว เราจะต้องรอบคอบกว่าเดิมในเรื่องการตัดโครงการที่เราไม่ต้องการทิ้งไปเพื่อให้สามารถนำเงินไปลงทุนในสิ่งที่จำเป็นได้” เขาเสริมว่าการตรวจสอบงบประมาณโดยละเอียดแบบหน้าต่อหน้าทำให้สามารถประหยัดเงินได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงเวลา 10 ปี
“ผมตระหนักดีว่าการผ่านงบประมาณนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย” โอบามากล่าว “เพราะมันแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่จริงๆ และยังคุกคามกลุ่มอำนาจเดิมในวอชิงตันด้วย”
เขายกตัวอย่างว่าธุรกิจประกันภัยอาจไม่อยากเข้ามาร่วมแข่งขันในโครงการประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ แต่จำเป็นต้องทำเพื่อให้โครงการคงอยู่และเป็นการลดค่าใช้จ่ายลงด้วย ส่วนธุรกิจธนาคารและสถาบันการเงินที่ให้กู้ยืมเงินเพื่อการศึกษาก็อาจไม่อยากสูญเสียเงินอุดหนุน แต่รัฐบาลจะประหยัดเงินถึงเกือบ 50,000 ล้านดอลลาร์ และทำให้มหาวิทยาลัยต่างๆ
มีเงินหมุนเวียนใช้จ่ายมากขึ้น
นอกจากนั้นบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติอาจไม่อยากเสียประโยชน์จากการงดเว้นภาษี 30,000 ล้านดอลลาร์ แต่รัฐบาลต้องนำเงินไปใช้ในการวิจัยด้านพลังงานที่หมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้
“ระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอาจใช้ได้กับกลุ่มผลประโยชน์ที่มีอำนาจและมีสายสัมพันธ์กับวอชิงตันมาเป็นเวลานาน แต่ผมไม่เห็นด้วยเพราะผมทำงานให้กับประชาชนอเมริกันทั้งประเทศ” โอบามากล่าว
“ผมไม่ได้เข้ามารับตำแหน่งเพื่อจะทำแบบเดียวกับที่เราเคยทำกันมา หรือเพียงแค่แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมเล็กๆ น้อยๆ ผมเข้ามาเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ซึ่งประเทศชาติเรียกร้องเมื่อมีการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา”