ASTVผู้จัดการรายวัน – บลจ.ประเมิน สินค้าโภคภัณฑ์กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง โดยเฉพาะ "ทองคำ-สินค้าเกษตร" หลังราคาพุ่งต่อเนื่อง ระบุได้อานิสงส์ ดอกเบี้ยในตลาดโลกลดลงต่อเนื่อง จนไม่มีความจูงใจ ส่งผลให้นักลงทุนมองการสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น บลจ.นครหลวงไทย เผยเตรียมจ่อคิวกองทุนคอมมอดิดี 8 ตลาด จับจังหวะราคาปรับตัว ส่วนหุ้นกู้ แนวโน้มยังดี ผลตอบแทนยังสูงกว่าเงินฝาก
นายกำพล อัศวกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาและสนับสนุนตัวแทนขาย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนในปัจจุบันว่า จากสถานการณ์ของอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลไปถึงผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ปรับลดลงตามไปด้วย ซึ่งทำให้ความน่าสนใจของการลงทุนในตราสารหนี้ลดลงไปโดยอัตโนมัติ ทำให้นักลงทุนเริ่มพากันมองหาการลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า รวมทั้งมีความเสี่ยงที่น้อยเช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าสินทรัพย์ที่เริ่มมีการกลับเข้าไปลงทุนนั่นคือ การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือสินค้าเกษตร เนื่องจากสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งจะเห็นได้จากราคาทองคำที่ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติพากันเข้าไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์กันมากขึ้น ซึ่งนับเป็นสัญาณที่ชี้ให้เห็นว่ายังมีการลงทุนเกิดขึ้นอยู่ โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย อย่างประเทศจีน และประเทศอื่นๆ เพราะราคาหุ้นปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ถือว่าถูกมาก ซึ่งจะส่งผลดีในระยะยาวได้ ดังนั้น สถานการณ์ของการลงทุนในตลาดหุ้นในตอนนี้จึงมีการเปลี่ยนแปลงไป นั่นคือ การลงทุนในระยะสั้นเริ่มลดน้อยลง และเปลี่ยนเป็นการลงทุนในระยะยาวกันมากขึ้น
"กองทุนที่ลงทุนอยู่ในระยะสั้นตอนนี้เริ่มเทขายหุ้นออกมา ส่วนกองทุนที่เป็นการลงทุนในระยะยาวจะเข้ามาลงทุนกันมากขึ้น เช่น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว ( LTF) เป็นต้น" นายกำพล กล่าว
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นของประเทศในเอเชียอย่างจีนที่ถือเป็นประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) แม้ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 6% จากเมื่อปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 10% นั้น แต่เชื่อว่าด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจที่สูง ทำให้นักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นที่จะลงทุนอยู่
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า สินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจลงทุนในปัจจุบัน ได้แก่ หุ้นกู้ภาคเอกชน โดยมีหลายบริษัทนำเสนอออกมา เนื่องจากกลัวสภาพคล่องตึงตัว และธนาคารพาณิชย์ไม่ยอมปล่อยกู้สินเชื่อ ซึ่งในขณะนี้มีการออกหุ้นกู้ที่มีระยะเวลาประมาณ 6 – 10 ปี มาเป็นจำนวนมาก อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เข้ามาตลาดทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
ทั้งนี้ จากสาเหตุข้างต้นทำให้บริษัทมีความสนใจที่จะออกกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ด้วยเช่นกัน แต่จะมีอายุที่สั้นกว่า โดยที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ได้ปรับลดลงมาจาก 4 – 4.5% เหลือเพียง 1% เท่านั้น นอกจากนี้ กองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารของประเทศเกาหลีใต้อายุ 1 ปีที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ 4.2% นับว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจเช่นกัน
ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมเปิดขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) และกองทุนเปิด โดยเบื้องต้นจะออกกองทุนที่เน้นลงทุนในต่างประเทศ (FIF) โดยจะลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ใน 8 ตลาด โดยจะมีสินค้าอย่างข้าวสาลี ข้าวโพด น้ำมัน โดยในรอบปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนประมาณ 24% ขณะที่ราคาน้ำมันค่อนข้างผันผวน โดยราคาปรับลดลลงมาเหลือ 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ส่วนราคาทองคำที่ปรับขึ้นไป 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยกองทุนนี้มีวิธีการเลือกลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ที่ดี แต่ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลอยู่
อย่างไรก็ตาม การที่อัตราดอกเบี้ยปรับลดลงเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ทั่วโลกมีโมเดลเหมือนกัน จึงหันมาปรับลดอัตราดอกเบี้ย และใช้นโยบายการเงินการคลัง และใช้มาตรการภาษีมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใช้เงินอัดฉีดเข้าไปในประเทศของตนเอง อาทิ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีการพึ่งพิงอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อย (SME) เป็นหลัก จึงอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปในระบบดังกล่าวมากขึ้น ส่วนประเทศอื่นอาจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวโดยเร็ว อาทิ การสร้างโครงการขนาดใหญ่ (Mega project) เป็นต้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะกลับมาเห็นผลอย่างชัดเจนในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปี 2552 หากรัฐบาลทั่วโลกสามารถใช้นโยบายอัดฉีดเม็ดเงินลงไปในระบบได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนราคาหุ้นในปัจจุบันยังมีโอกาสทยอยปรับตัวลงต่ำ แต่ก็มีโอกาสปรับขึ้นไม่สูงมากเช่นกัน ซึ่งนักลงทุนในปัจจุบันจะหันไปทำการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรมากกว่า และถือว่าระดับราคาน่าสนใจ และเข้าไปลงทุนได้ บริษัทจึงตัดสินใจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมากขึ้น โดยราคาหุ้นจะปรับขึ้นไปเร็ว หากมีสัญญาณดี หุ้นจะปรับตัวขึ้นไป หากภาวะเศรษฐกิจไม่มีปัญหามาก
นายกำพล อัศวกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาและสนับสนุนตัวแทนขาย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนในปัจจุบันว่า จากสถานการณ์ของอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลไปถึงผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ปรับลดลงตามไปด้วย ซึ่งทำให้ความน่าสนใจของการลงทุนในตราสารหนี้ลดลงไปโดยอัตโนมัติ ทำให้นักลงทุนเริ่มพากันมองหาการลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่สามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า รวมทั้งมีความเสี่ยงที่น้อยเช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าสินทรัพย์ที่เริ่มมีการกลับเข้าไปลงทุนนั่นคือ การลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) ไม่ว่าจะเป็นทองคำหรือสินค้าเกษตร เนื่องจากสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งจะเห็นได้จากราคาทองคำที่ปรับตัวพุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน นักลงทุนต่างชาติพากันเข้าไปลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์กันมากขึ้น ซึ่งนับเป็นสัญาณที่ชี้ให้เห็นว่ายังมีการลงทุนเกิดขึ้นอยู่ โดยเฉพาะการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย อย่างประเทศจีน และประเทศอื่นๆ เพราะราคาหุ้นปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ถือว่าถูกมาก ซึ่งจะส่งผลดีในระยะยาวได้ ดังนั้น สถานการณ์ของการลงทุนในตลาดหุ้นในตอนนี้จึงมีการเปลี่ยนแปลงไป นั่นคือ การลงทุนในระยะสั้นเริ่มลดน้อยลง และเปลี่ยนเป็นการลงทุนในระยะยาวกันมากขึ้น
"กองทุนที่ลงทุนอยู่ในระยะสั้นตอนนี้เริ่มเทขายหุ้นออกมา ส่วนกองทุนที่เป็นการลงทุนในระยะยาวจะเข้ามาลงทุนกันมากขึ้น เช่น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว ( LTF) เป็นต้น" นายกำพล กล่าว
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นของประเทศในเอเชียอย่างจีนที่ถือเป็นประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) แม้ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับประมาณ 6% จากเมื่อปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ระดับประมาณ 10% นั้น แต่เชื่อว่าด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจที่สูง ทำให้นักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นที่จะลงทุนอยู่
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บลจ.นครหลวงไทย กล่าวว่า สินทรัพย์ที่มีความน่าสนใจลงทุนในปัจจุบัน ได้แก่ หุ้นกู้ภาคเอกชน โดยมีหลายบริษัทนำเสนอออกมา เนื่องจากกลัวสภาพคล่องตึงตัว และธนาคารพาณิชย์ไม่ยอมปล่อยกู้สินเชื่อ ซึ่งในขณะนี้มีการออกหุ้นกู้ที่มีระยะเวลาประมาณ 6 – 10 ปี มาเป็นจำนวนมาก อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เข้ามาตลาดทุนเพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
ทั้งนี้ จากสาเหตุข้างต้นทำให้บริษัทมีความสนใจที่จะออกกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ด้วยเช่นกัน แต่จะมีอายุที่สั้นกว่า โดยที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ได้ปรับลดลงมาจาก 4 – 4.5% เหลือเพียง 1% เท่านั้น นอกจากนี้ กองทุนที่เน้นลงทุนในตราสารของประเทศเกาหลีใต้อายุ 1 ปีที่สามารถให้ผลตอบแทนที่ 4.2% นับว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจเช่นกัน
ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมเปิดขายกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) และกองทุนเปิด โดยเบื้องต้นจะออกกองทุนที่เน้นลงทุนในต่างประเทศ (FIF) โดยจะลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ใน 8 ตลาด โดยจะมีสินค้าอย่างข้าวสาลี ข้าวโพด น้ำมัน โดยในรอบปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนประมาณ 24% ขณะที่ราคาน้ำมันค่อนข้างผันผวน โดยราคาปรับลดลลงมาเหลือ 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล ส่วนราคาทองคำที่ปรับขึ้นไป 1,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยกองทุนนี้มีวิธีการเลือกลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ที่ดี แต่ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาข้อมูลอยู่
อย่างไรก็ตาม การที่อัตราดอกเบี้ยปรับลดลงเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ทั่วโลกมีโมเดลเหมือนกัน จึงหันมาปรับลดอัตราดอกเบี้ย และใช้นโยบายการเงินการคลัง และใช้มาตรการภาษีมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการใช้เงินอัดฉีดเข้าไปในประเทศของตนเอง อาทิ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีการพึ่งพิงอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อย (SME) เป็นหลัก จึงอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปในระบบดังกล่าวมากขึ้น ส่วนประเทศอื่นอาจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวโดยเร็ว อาทิ การสร้างโครงการขนาดใหญ่ (Mega project) เป็นต้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะกลับมาเห็นผลอย่างชัดเจนในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปี 2552 หากรัฐบาลทั่วโลกสามารถใช้นโยบายอัดฉีดเม็ดเงินลงไปในระบบได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนราคาหุ้นในปัจจุบันยังมีโอกาสทยอยปรับตัวลงต่ำ แต่ก็มีโอกาสปรับขึ้นไม่สูงมากเช่นกัน ซึ่งนักลงทุนในปัจจุบันจะหันไปทำการซื้อขายเพื่อเก็งกำไรมากกว่า และถือว่าระดับราคาน่าสนใจ และเข้าไปลงทุนได้ บริษัทจึงตัดสินใจเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมากขึ้น โดยราคาหุ้นจะปรับขึ้นไปเร็ว หากมีสัญญาณดี หุ้นจะปรับตัวขึ้นไป หากภาวะเศรษฐกิจไม่มีปัญหามาก