ถ้าใครเคยมาเยี่ยมสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี ก็คงจะคุ้นชินกับภาพของห้องส่งขนาดเล็กที่แออัดยัดเยียดไปด้วยฉากรายการเกือบทุกรายการที่ถูกนำมาใช้ภายในห้องส่งเดียว คุ้นกับเก้าอี้เล็กๆ ที่นั่งไม่สบาย ซ้ำยังต้องเบียดเสียดยัดเยียด เพราะพื้นที่คับแคบและค่อนข้างร้อน (น่าจะเป็นห้องส่งที่อบอุ่นที่สุดที่มีในโลกใบนี้) เพราะหลายครั้งที่เครื่องปรับอากาศต้องทำงานหนักตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อเครื่องไม่ได้พัก ก็มีบ้างที่ต้องป่วยและลางาน ไม่ต่างจากคน
แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆ ให้กับแฟนๆ เอเอสทีวีเลย ผู้ชมจากทุกจังหวัดยังคงหมุนเวียนมาเยี่ยมเรา จะมีบางตาบ้างก็ช่วงหลังวันแสดงคอนเสิร์ตการเมืองครั้งสำคัญๆ ซึ่งก็เป็นปกติวิสัยคล้ายเมื่อครั้งยังชุมนุม 193 วัน ที่ผู้ชุมนุมมีวันที่ต้องออมแรง และวันระดมพล เต็มออกๆ เหมือนอย่างที่เคยทำมา ...อย่างเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ก็มีผู้ชมรายการ News Hour อยู่เพียงคนสองคนในห้องส่ง หนึ่งในนั้นเป็นชายวัยเลยเกษียณ ท่าทางเคร่งเครียด สีหน้าแทบจะไม่มีอารมณ์อื่นนอกจากจับจ้องมาที่การดำเนินรายการของสองพิธีกร กระทั่งจบรายการ ชายคนดังกล่าวก็เดินตรงเข้ามาหาเรา และเล่าบางเรื่องที่น่าสนใจ
คุณลุงท่านนี้เป็นหนึ่งในพันธมิตรฯ ไทยในอเมริกา เป็นคนไทยที่พำนักอยู่ในแอริโซนา ติดตามรายการของเอเอสทีวี และเฝ้าดูการขับเคลื่อนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาตลอด 193 วัน แม้จะไม่ได้มีโอกาสร่วมชุมนุม แต่ผลของการชุมนุมได้ชักนำให้ท่านกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน กลับมาเพียงเพื่อยืนยันความเป็น “คนไทย” ที่น่าภาคภูมิใจอีกครั้ง
ชื่อ แพทริก เป็นชื่อใหม่ของท่านในอเมริกา และการกลับมาเหยียบยืนบนแผ่นดินแม่ครั้งนี้ ก็เป็นการกลับมาครั้งแรกในรอบหลายสิบปี เป็นการตัดสินใจกลับมา ทั้งที่เคยคิดว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว และแม้ว่าเราจะมีเวลาคุยกับอาคันตุกะจากต่างแดนน้อยมาก แต่เราจับใจความได้ว่า
... ชีวิตของลุงแพทริกเหมือนโชคชะตาเล่นตลก ลุงเล่าว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน โรงงานผลิตพรมของท่านในเมืองไทย ที่มีคนงานกว่า 400 คน ต้องปิดตัวลงอย่างเจ็บช้ำเพราะถูกเอารัดเอาเปรียบจากคู่แข่งที่มีเส้นสนกลใน มีผู้มีอำนาจให้การหนุนหลัง บาดแผลความอยุติธรรมที่ฝังในใจ ทำให้ลุงแพทริกและครอบครัว ตัดสินใจเลือกจะไปใช้ชีวิตยังดินแดนแห่งโอกาส นั่นคือสหรัฐอเมริกา และตัดสินใจที่จะหันหลังให้บ้านเกิดเมืองนอน อย่างถาวรจนกระทั่งได้รู้จักกับเอเอสทีวี ช่องทีวีดาวเทียมช่องหนึ่ง ที่เป็นเสมือนหน้าต่างใบใหม่ ที่เชื่อมสายใยของคนไทยไกลบ้านให้ได้รู้ความเป็นไปภายในบ้านเกิดเมืองนอน เอเอสทีวีช่วยรื้อฟื้นภาพเมืองไทยหลายๆ ภาพในลิ้นชักความทรงจำของลุงแพทริก
ลุงเล่าว่า ติดตามเอเอสทีวีมาตลอด ติดตามการเคลื่อนไหว การต่อสู้ของคนไทย ในนาม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คนมือเปล่าที่กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้กับผู้มีอำนาจรัฐ กล้าสู้เมื่อรู้ว่าประชาชนถูกเอาเปรียบ เมื่อรู้ว่าทรัพยากรของชาติถูกกอบโกย และกล้าสู้เมื่อรู้ว่าสถาบันซึ่งเป็นเสมือนหัวใจของชาติถูกทำลาย
การต่อสู้ของพันธมิตรฯ ที่ส่งสัญญาณผ่านจอภาพเอเอสทีวี ทำให้ลุงแพทริก และภรรยาในแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ตัดสินใจว่า ควรจะร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เพราะอย่างน้อยท่านก็เป็นคนไทย และสิ่งที่ท่านทำในเวลานั้น คือส่งเงินก้อนแรกๆ จำนวนหลายร้อยหลายพันดอลลาร์เพื่อมาร่วมต่อชีวิตให้กับเพื่อนๆ มวลชนพันธมิตรฯ ในไทย ..จนกระทั่งวันนี้ วันที่พันธมิตรฯ ประกาศยุติการเคลื่อนไหว เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลใหม่บริหารประเทศ ลุงแพทริกตัดสินใจที่จะบินกลับเมืองไทยเป็นครั้งแรก และมุ่งหน้ามาหาที่สถานีของเรา ท่านมาพร้อมกับคำพูดประโยคสั้นๆ ว่า
“ขอบคุณมากกับความกล้าหาญของพันธมิตรฯ ที่ทำให้ท่านตัดสินใจได้แล้วว่า ท่านจะต้องกลับมาที่นี่ เพราะวันนี้ทัศนคติของท่านที่มีต่อบ้านเกิดเมืองนอนเปลี่ยนไปมาก อย่างน้อยท่านก็ได้รับรู้ได้ว่า การเมืองใหม่ ธรรมาภิบาล และความเป็นธรรมในสังคมไทย จะเกิดขึ้นไม่ใช่ด้วยใคร แต่ด้วยมือของประชาชนตัวเล็กๆ อย่างเรา แม้จะต้องใช้การต่อสู้อีกกี่ร้อยกี่พันวันก็ตาม”
คนไทยในอเมริกาอีกคนหนึ่ง ที่อยากจะกล่าวถึง เป็นพี่ชายที่ได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ครั้งสำคัญ..วันที่พันธมิตรฯ มีภารกิจที่ต้องแสดงให้คนทั่วไปได้รู้ว่า รัฐบาลนอมินีไร้อำนาจที่จะบริหารประเทศต่อไปได้แล้ว วันนั้นจำได้ว่า ผู้ชุมนุมทุกคนมาด้วยใจและเป้าหมายที่เป็นหนึ่งเดียว แม้จะไม่รู้ว่ากาลข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราเลยก็ตาม เชื่อหรือไม่ วันนั้นพี่ชายจากแดนไกลของเราในชุดคาวบอย สวมเสื้อกั๊กกับหมวกปีกกว้าง มายืนปักหลักอยู่หน้าสถานีโทรทัศน์ที่ถูกรัฐบาลนอมินีครอบงำ และใช้เป็นเครื่องมือส่งผ่านข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนมอมเมาสังคม พี่ชายและอีกหลายคนมาเพื่อหวังจะแสดงพลังคัดค้านอำนาจที่เลวร้ายให้คนภายนอกได้รับรู้ว่า นักการเมืองเลวๆ กำลังทำอะไรกับประเทศของเรา
ในวันนั้น มือของพี่ชายของเรา ถือกล้องวิดีโอที่จะบันทึกภาพครั้งประวัติศาสตร์ ภาพพลังของประชาชนที่รู้ทันความเลวร้ายของระบอบทักษิณ แต่ทว่าการมารวมตัวของเรากลับถูกซ้อนแผนทำให้ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่จากรัฐตำรวจรวบตัว และรวบรัดนำไปฝากขังในเรือนจำ ณ วินาทีนั้นเอง ที่สถานะ “นักท่องเที่ยว” ของพี่ชายฉัน ก็ถูกเปลี่ยนเป็น “นักโทษในเรือนจำ” ชั่วพริบตา
พี่ชายของเรา ถูกฝากขังนานถึงเกือบครึ่งเดือน โดยที่สัปดาห์แรกแทบจะไม่มีใครรู้เลยว่าในรายชื่อเกือบร้อยคนที่ถูกรัฐตำรวจกลั่นแกล้ง มีเขาเป็นหนึ่งในนั้นด้วย... พี่ชายเล่าว่าถือเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว ที่จะไม่มีวันลืม สัปดาห์แรกๆ ในเรือนจำพอทนกับสภาพแออัดของเรือนจำ และอาหารการกินที่ยากลำบาก แต่เข้าสัปดาห์ที่สองสุขอนามัยที่ย่ำแย่ เต็มไปด้วยเชื้อโรค ทำให้ชายที่มีร่างกายกำยำอย่างเขา กลับต้องล้มป่วยลงอย่างหนัก แต่ใครจะเชื่อว่าโชคชะตาเช่นกันที่เล่นตลกกับนักสู้พันธมิตรฯ จากแดนไกลที่ถูกคุมขังในเรือนจำ เพราะการต่อสู้ที่พาเขาไปอยู่หลังกรงขัง กลับทำให้เขาได้พบกับญาติที่ไม่เคยมีโอกาสได้พบกันมาก่อน
พี่ชายเล่าว่าผู้คุมเรือนจำคนหนึ่ง สะดุดตากับใบหน้าท่าทางของพี่ ชื่อเป็นฝรั่งแต่หน้าตากระเดียดไปทางหนุ่มใต้ซะงั้น เขาจึงเข้ามาสอบถามพี่ชายว่าเป็นไงมาไงถึงเข้ามาอยู่ในตารางได้ พี่เล่าให้ผู้คุมคนนั้นฟังว่าเป็นคนไทยอยู่ต่างแดน แต่กลับมาต่อสู้กับพันธมิตรฯ แล้วถูกจับ และแล้วย้อนอดีตไปว่า สมัยอยู่เมืองไทยเคยอยู่จังหวัด... อยู่บ้านแถว.. ผู้คุมเรือนจำท่านนั้นพยายามซักถามอีกว่าพี่ชายเดิมชื่อไทยว่าอะไร และใช้นามสกุลอะไร พ่อแม่ชื่ออะไร เชื่อไหมพอได้ฟังคำตอบจากพี่ชาย ปรากฏว่าหยดน้ำใสๆไหลซึมมาจากตาของผู้คุมวัยสูงอายุท่านนั้น ใครจะรู้มาก่อนว่า ชายสองคนจากคนละมุมของโลกกลับมีโอกาสได้มาพบเจอกันครั้งแรก และได้รู้ว่าเป็นญาติกัน นามสกุลเดียวกัน ก็ตอนมาพบกันใน “คุก” ในสภาพแบบนั้น
ตั้งแต่นั้นประสบการณ์ในคุกของพี่ชายฉัน ก็พอจะอบอุ่นขึ้นมาบ้าง เพราะได้รับความเกื้อกูลด้วยดีจากญาติที่เพิ่งพบเจอ พี่เล่าว่า อยู่รอดและได้รองท้องจากขนมของญาติท่านนั้นอยู่หลายมื้อ และยังได้รับกำลังใจอันดี จนกระทั่งได้ยื่นประกันตัว
นี่เป็นเพียงเรื่องเล่าเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่าง 193 วันของการชุมนุม และทำให้ฉันพอจะอนุมานได้เองว่า ตำนานการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เกิดขึ้นได้อาศัยหลายองค์ประกอบสำคัญ ตั้งแต่ตัวแกนนำ ผู้ชุมนุม ความอดทน เสียสละ หัวใจรักชาติ หรือแม้กระทั่งอาจจะมีเรื่องของชะตาลิขิต มาผสมปนเปอยู่ไม่มากก็น้อย เพราะอย่างน้อยก็ด้วยการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ นี่แหละ ที่ช่วยดึงคนไทยรักชาติหลายคนให้ได้กลับมาทำอะไรเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง และทำให้คนไทยทำลายชาติบางคนกระเด็นออกไปจากบ้านเราอย่างไม่มีวันจะได้กลับมาอีก...
แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆ ให้กับแฟนๆ เอเอสทีวีเลย ผู้ชมจากทุกจังหวัดยังคงหมุนเวียนมาเยี่ยมเรา จะมีบางตาบ้างก็ช่วงหลังวันแสดงคอนเสิร์ตการเมืองครั้งสำคัญๆ ซึ่งก็เป็นปกติวิสัยคล้ายเมื่อครั้งยังชุมนุม 193 วัน ที่ผู้ชุมนุมมีวันที่ต้องออมแรง และวันระดมพล เต็มออกๆ เหมือนอย่างที่เคยทำมา ...อย่างเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ก็มีผู้ชมรายการ News Hour อยู่เพียงคนสองคนในห้องส่ง หนึ่งในนั้นเป็นชายวัยเลยเกษียณ ท่าทางเคร่งเครียด สีหน้าแทบจะไม่มีอารมณ์อื่นนอกจากจับจ้องมาที่การดำเนินรายการของสองพิธีกร กระทั่งจบรายการ ชายคนดังกล่าวก็เดินตรงเข้ามาหาเรา และเล่าบางเรื่องที่น่าสนใจ
คุณลุงท่านนี้เป็นหนึ่งในพันธมิตรฯ ไทยในอเมริกา เป็นคนไทยที่พำนักอยู่ในแอริโซนา ติดตามรายการของเอเอสทีวี และเฝ้าดูการขับเคลื่อนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาตลอด 193 วัน แม้จะไม่ได้มีโอกาสร่วมชุมนุม แต่ผลของการชุมนุมได้ชักนำให้ท่านกลับมายังบ้านเกิดเมืองนอน กลับมาเพียงเพื่อยืนยันความเป็น “คนไทย” ที่น่าภาคภูมิใจอีกครั้ง
ชื่อ แพทริก เป็นชื่อใหม่ของท่านในอเมริกา และการกลับมาเหยียบยืนบนแผ่นดินแม่ครั้งนี้ ก็เป็นการกลับมาครั้งแรกในรอบหลายสิบปี เป็นการตัดสินใจกลับมา ทั้งที่เคยคิดว่าจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว และแม้ว่าเราจะมีเวลาคุยกับอาคันตุกะจากต่างแดนน้อยมาก แต่เราจับใจความได้ว่า
... ชีวิตของลุงแพทริกเหมือนโชคชะตาเล่นตลก ลุงเล่าว่าเมื่อหลายสิบปีก่อน โรงงานผลิตพรมของท่านในเมืองไทย ที่มีคนงานกว่า 400 คน ต้องปิดตัวลงอย่างเจ็บช้ำเพราะถูกเอารัดเอาเปรียบจากคู่แข่งที่มีเส้นสนกลใน มีผู้มีอำนาจให้การหนุนหลัง บาดแผลความอยุติธรรมที่ฝังในใจ ทำให้ลุงแพทริกและครอบครัว ตัดสินใจเลือกจะไปใช้ชีวิตยังดินแดนแห่งโอกาส นั่นคือสหรัฐอเมริกา และตัดสินใจที่จะหันหลังให้บ้านเกิดเมืองนอน อย่างถาวรจนกระทั่งได้รู้จักกับเอเอสทีวี ช่องทีวีดาวเทียมช่องหนึ่ง ที่เป็นเสมือนหน้าต่างใบใหม่ ที่เชื่อมสายใยของคนไทยไกลบ้านให้ได้รู้ความเป็นไปภายในบ้านเกิดเมืองนอน เอเอสทีวีช่วยรื้อฟื้นภาพเมืองไทยหลายๆ ภาพในลิ้นชักความทรงจำของลุงแพทริก
ลุงเล่าว่า ติดตามเอเอสทีวีมาตลอด ติดตามการเคลื่อนไหว การต่อสู้ของคนไทย ในนาม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” คนมือเปล่าที่กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้กับผู้มีอำนาจรัฐ กล้าสู้เมื่อรู้ว่าประชาชนถูกเอาเปรียบ เมื่อรู้ว่าทรัพยากรของชาติถูกกอบโกย และกล้าสู้เมื่อรู้ว่าสถาบันซึ่งเป็นเสมือนหัวใจของชาติถูกทำลาย
การต่อสู้ของพันธมิตรฯ ที่ส่งสัญญาณผ่านจอภาพเอเอสทีวี ทำให้ลุงแพทริก และภรรยาในแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ตัดสินใจว่า ควรจะร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เพราะอย่างน้อยท่านก็เป็นคนไทย และสิ่งที่ท่านทำในเวลานั้น คือส่งเงินก้อนแรกๆ จำนวนหลายร้อยหลายพันดอลลาร์เพื่อมาร่วมต่อชีวิตให้กับเพื่อนๆ มวลชนพันธมิตรฯ ในไทย ..จนกระทั่งวันนี้ วันที่พันธมิตรฯ ประกาศยุติการเคลื่อนไหว เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลใหม่บริหารประเทศ ลุงแพทริกตัดสินใจที่จะบินกลับเมืองไทยเป็นครั้งแรก และมุ่งหน้ามาหาที่สถานีของเรา ท่านมาพร้อมกับคำพูดประโยคสั้นๆ ว่า
“ขอบคุณมากกับความกล้าหาญของพันธมิตรฯ ที่ทำให้ท่านตัดสินใจได้แล้วว่า ท่านจะต้องกลับมาที่นี่ เพราะวันนี้ทัศนคติของท่านที่มีต่อบ้านเกิดเมืองนอนเปลี่ยนไปมาก อย่างน้อยท่านก็ได้รับรู้ได้ว่า การเมืองใหม่ ธรรมาภิบาล และความเป็นธรรมในสังคมไทย จะเกิดขึ้นไม่ใช่ด้วยใคร แต่ด้วยมือของประชาชนตัวเล็กๆ อย่างเรา แม้จะต้องใช้การต่อสู้อีกกี่ร้อยกี่พันวันก็ตาม”
คนไทยในอเมริกาอีกคนหนึ่ง ที่อยากจะกล่าวถึง เป็นพี่ชายที่ได้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ครั้งสำคัญ..วันที่พันธมิตรฯ มีภารกิจที่ต้องแสดงให้คนทั่วไปได้รู้ว่า รัฐบาลนอมินีไร้อำนาจที่จะบริหารประเทศต่อไปได้แล้ว วันนั้นจำได้ว่า ผู้ชุมนุมทุกคนมาด้วยใจและเป้าหมายที่เป็นหนึ่งเดียว แม้จะไม่รู้ว่ากาลข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราเลยก็ตาม เชื่อหรือไม่ วันนั้นพี่ชายจากแดนไกลของเราในชุดคาวบอย สวมเสื้อกั๊กกับหมวกปีกกว้าง มายืนปักหลักอยู่หน้าสถานีโทรทัศน์ที่ถูกรัฐบาลนอมินีครอบงำ และใช้เป็นเครื่องมือส่งผ่านข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนมอมเมาสังคม พี่ชายและอีกหลายคนมาเพื่อหวังจะแสดงพลังคัดค้านอำนาจที่เลวร้ายให้คนภายนอกได้รับรู้ว่า นักการเมืองเลวๆ กำลังทำอะไรกับประเทศของเรา
ในวันนั้น มือของพี่ชายของเรา ถือกล้องวิดีโอที่จะบันทึกภาพครั้งประวัติศาสตร์ ภาพพลังของประชาชนที่รู้ทันความเลวร้ายของระบอบทักษิณ แต่ทว่าการมารวมตัวของเรากลับถูกซ้อนแผนทำให้ผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่จากรัฐตำรวจรวบตัว และรวบรัดนำไปฝากขังในเรือนจำ ณ วินาทีนั้นเอง ที่สถานะ “นักท่องเที่ยว” ของพี่ชายฉัน ก็ถูกเปลี่ยนเป็น “นักโทษในเรือนจำ” ชั่วพริบตา
พี่ชายของเรา ถูกฝากขังนานถึงเกือบครึ่งเดือน โดยที่สัปดาห์แรกแทบจะไม่มีใครรู้เลยว่าในรายชื่อเกือบร้อยคนที่ถูกรัฐตำรวจกลั่นแกล้ง มีเขาเป็นหนึ่งในนั้นด้วย... พี่ชายเล่าว่าถือเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตเลยทีเดียว ที่จะไม่มีวันลืม สัปดาห์แรกๆ ในเรือนจำพอทนกับสภาพแออัดของเรือนจำ และอาหารการกินที่ยากลำบาก แต่เข้าสัปดาห์ที่สองสุขอนามัยที่ย่ำแย่ เต็มไปด้วยเชื้อโรค ทำให้ชายที่มีร่างกายกำยำอย่างเขา กลับต้องล้มป่วยลงอย่างหนัก แต่ใครจะเชื่อว่าโชคชะตาเช่นกันที่เล่นตลกกับนักสู้พันธมิตรฯ จากแดนไกลที่ถูกคุมขังในเรือนจำ เพราะการต่อสู้ที่พาเขาไปอยู่หลังกรงขัง กลับทำให้เขาได้พบกับญาติที่ไม่เคยมีโอกาสได้พบกันมาก่อน
พี่ชายเล่าว่าผู้คุมเรือนจำคนหนึ่ง สะดุดตากับใบหน้าท่าทางของพี่ ชื่อเป็นฝรั่งแต่หน้าตากระเดียดไปทางหนุ่มใต้ซะงั้น เขาจึงเข้ามาสอบถามพี่ชายว่าเป็นไงมาไงถึงเข้ามาอยู่ในตารางได้ พี่เล่าให้ผู้คุมคนนั้นฟังว่าเป็นคนไทยอยู่ต่างแดน แต่กลับมาต่อสู้กับพันธมิตรฯ แล้วถูกจับ และแล้วย้อนอดีตไปว่า สมัยอยู่เมืองไทยเคยอยู่จังหวัด... อยู่บ้านแถว.. ผู้คุมเรือนจำท่านนั้นพยายามซักถามอีกว่าพี่ชายเดิมชื่อไทยว่าอะไร และใช้นามสกุลอะไร พ่อแม่ชื่ออะไร เชื่อไหมพอได้ฟังคำตอบจากพี่ชาย ปรากฏว่าหยดน้ำใสๆไหลซึมมาจากตาของผู้คุมวัยสูงอายุท่านนั้น ใครจะรู้มาก่อนว่า ชายสองคนจากคนละมุมของโลกกลับมีโอกาสได้มาพบเจอกันครั้งแรก และได้รู้ว่าเป็นญาติกัน นามสกุลเดียวกัน ก็ตอนมาพบกันใน “คุก” ในสภาพแบบนั้น
ตั้งแต่นั้นประสบการณ์ในคุกของพี่ชายฉัน ก็พอจะอบอุ่นขึ้นมาบ้าง เพราะได้รับความเกื้อกูลด้วยดีจากญาติที่เพิ่งพบเจอ พี่เล่าว่า อยู่รอดและได้รองท้องจากขนมของญาติท่านนั้นอยู่หลายมื้อ และยังได้รับกำลังใจอันดี จนกระทั่งได้ยื่นประกันตัว
นี่เป็นเพียงเรื่องเล่าเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่าง 193 วันของการชุมนุม และทำให้ฉันพอจะอนุมานได้เองว่า ตำนานการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เกิดขึ้นได้อาศัยหลายองค์ประกอบสำคัญ ตั้งแต่ตัวแกนนำ ผู้ชุมนุม ความอดทน เสียสละ หัวใจรักชาติ หรือแม้กระทั่งอาจจะมีเรื่องของชะตาลิขิต มาผสมปนเปอยู่ไม่มากก็น้อย เพราะอย่างน้อยก็ด้วยการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ นี่แหละ ที่ช่วยดึงคนไทยรักชาติหลายคนให้ได้กลับมาทำอะไรเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง และทำให้คนไทยทำลายชาติบางคนกระเด็นออกไปจากบ้านเราอย่างไม่มีวันจะได้กลับมาอีก...