หลังทำรายการ “โต๊ะข่าว – โต๊ะข้าว” ไปได้สักพักหนึ่ง “พี่แป๊ว” สริยา เจริญผล วัย 57 ปี พิธีกรร่วมผู้สาธิตวิธีการทำอาหารหลากหลายผ่านทางหน้าจอ เอเอสทีวี นิวส์ 1 ตอน 3 ทุ่มครึ่งวันเสาร์ ก็กลายเป็นแม่ครัวคนดังฮอตฮิตติดลมบนทั้งคนทั้งร้านไปเป็นที่เรียบร้อย
จริงๆ แล้วพี่แป๊ว สริยา ไม่ได้เป็นเพียงแค่แม่ครัวหัวป่าก์ แต่เพียงถ่ายเดียวเท่านั้น หากแต่สริยา เจริญผล อดีตนักเรียนวิชาศิลปะจากกรุงโรม ผู้คล่องแคล่ว และเชี่ยวชาญด้านอาหารนานาชาติหาตัวจับยากคนนี้ ยังเป็นเจ้าของร้านอาหารอิตาเลียนชื่อดังคับฟ้ากรุงเทพ นาม “Delicatezza” ด้วย
Delicatezza (เดลิคาเตซซ่า) เป็นภาษาอิตาเลียน ตั้งอยู่กลางซอยทองหล่อ 10 ซึ่งพี่แป๊ว สริยา บอกว่า คำคำนี้หมายถึง “ความละเมียดละไม”
ความละเมียดละไมที่อวดโฉมผ่าเผยในตึก 2 ชั้น สีส้มตัดเขียว อบอวลหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นอาหารอิตาเลียนชั้นดีตลอดเวลา ร้านอาหารกว้างขวางแสนสวย ซึ่งเป็นความฝันที่กลายเป็นจริงของพี่แป๊ว พาตัวเองมาอวดโฉมให้ชาวกรุงได้ลิ้มลองรสชาติอาหารอิตาเลียนหลากหลายมาได้ 8 ปีแล้ว
ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นเมื่อปีเศรษฐกิจตกต่ำยุคต้มยำกุ้ง เจ้าของร้านที่ควงตำแหน่งเชฟใหญ่หน้าเตาไฟ ได้สานต่อความฝันของตัวเอง ด้วยการเช่าช่วงร้านอาหารเล็กๆ คูหาเดียวต่อจากเพื่อนสนิท วันนั้น สริยา เจริญผล เพิ่งกลับมาปักหลักที่เมืองไทยได้ไม่นาน หลังจากบ้านไปอยู่โรมถึง 25 ปี เธอตัดสินใจนำเงินออมที่มีอยู่เปิดร้านขายอาหารอิตาเลียนเล็กๆ ทำเอง ขายเอง และเริ่มต้นแบบพอตัวแค่ 4 โต๊ะเท่านั้น ที่ปากซอยทองหล่อ 17
ในขั้นทดลองเปิดร้านเพื่อเป็นการชิมลาง พี่แป๊วลงมือทำเองทุกอย่างตามความสามารถที่เคยร่ำเรียนมา ตั้งแต่ออกแบบร้าน ตกแต่งร้าน ทำอาหาร ช่วยเด็กๆ เสิร์ฟ และคิดเงินจนถึงช่วยล้างจานก็บ่อยๆ
เดลิคาเตซซ่าในยุคเริ่มต้นจึงมี “เด็ก” ในร้านเพียง 4 คน กับลูกค้าที่มาเยือนซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนฝูง คนใกล้ชิด และลูกค้า “ดูหมอ”
น้อยคนนักที่จะรู้ความสามารถพิเศษด้านนี้ของพี่แป๊ว แต่คนส่วนใหญ่ที่รู้แล้ว ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “พี่แป๊วดูหมอแม่นจริงๆ”
ตัวพี่แป๊วเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีสัมผัสที่ 6 รู้แต่ว่าตัวเองทำอาหารอิตาเลียนเก่งฉกาจจากเสียงชมเชยของเพื่อนฝูง จนกระทั่งเพื่อนสาวคนสนิทที่อยู่บ้านติดกันในกรุงโรมเกิดอาการอกหักรักขม แล้วมาชวนพี่แป๊วไปเรียนวิชาไพ่ทาโรต์แก้กลุ้ม เรียนไปเรียนมาพี่แป๊วกลับเห็นเป็นชอบ จากเพื่อนมาชวนจึงกลายเป็นชวนเพื่อนๆ มาทดสอบพลังจิตที่ซ่อนเร้นภายในจิตวิญญาณของเธอ
แล้ววิชาที่เธอคิดจะเรียนเล่นๆ นี่ละ ที่กลายเป็นอาชีพแรกของพี่แป๊วหลังกลับมาปักหลักที่บ้านเกิดเมืองนอน
“ปากต่อปากทำให้คนมาดูหมอกันทะลักทลาย พอทำไปได้ไม่กี่ปี พี่แป๊วปวดหัวมาก เราแบกรับความทุกข์จากคนมาดูมากเกินไป หลังจากนั้นก็เลยเลิก ก่อนเลิกก็ภาวนากับพระเจ้าว่า เราจะไม่หันมาดูหมออีกแล้วละ เราจะไปทำอาชีพอื่นแล้ว ขอให้พระเจ้าอวยชัยให้เราด้วย” พี่แป๊วผู้เป็นคาทอลิกที่ดีเล่าความในหนหลังให้ฟัง
เมื่อเก็บไพ่ทาโรต์ ปิดฉากอาชีพหมอดู พี่แป๊วก็มาเปิดร้าน Delicatezza ความละเมียดละไมที่จับใจนักกินไปทั้งเมือง
เมื่อปากต่อปากพัดกระพือกันออกไปอีก ร้านเล็กๆ ของพี่แป๊วก็เนืองแน่น เธอเพิ่มโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่า จนแทบไม่มีทางเดิน แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคต่อการลิ้มชิมรสของนักกินอาหารอิตาเลียนแต่ประการใด หลายคนกลับนึกสนุกที่จะมานั่ง ยืน และเดินรับลมรอโต๊ะว่าง เพียงเพื่อจะได้ชิมอาหารอิตาเลียนชั้นดีที่พี่แป๊วคัดสรรมาตั้งแต่เหนือจรดใต้
“ทุกคืนจะมีคนดังมานั่งมากมายและหลายวงการ” พี่แป๊วพูดถึงนักชิมรสนิยมวิไลอย่างธรรมชาติๆ ไม่โอ้อวดราวกับเป็นเรื่องสามัญเหลือเกินที่ต้องทำอาหารให้คนดังได้ชวนกันชิมทุกๆ ค่ำคืน
แต่แล้วในคืนวันหนึ่งในร้านเล็กๆ ที่ทำให้พี่แป๊วประหลาดใจ เมื่อ “คนดัง” คนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในร้านอย่างเงียบๆ และนั่งลงที่โต๊ะเล็กๆ ตัวหนึ่ง ชายสูงโปร่งผิวขาวหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้ สั่งอาหารเบาๆ ไม่ดูเมนู ระหว่างรอคอย เขาจะนั่งอ่านหนังสือฝรั่งที่ถือติดมือมา และเมื่ออาหารมาเสิร์ฟ เขาจะรับประทานไปขณะที่สายตาก็ไม่ละจากตัวหนังสือเลย
“กินเร็วมาก กินเสร็จ ก็เช็กบิลกลับเลย มาอย่างนี้บ่อยๆ มาจนวันหนึ่งตัดสินใจเดินไปทักเอง แล้วบอกว่า ดีใจมากที่คุณสนธิมากินข้าวที่ร้านพี่แป๊ว เพราะพี่แป๊วเป็นแฟนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์” พี่แป๊วเล่าพร้อมรอยยิ้มประกาย
จากนั้นมาพี่แป๊วกับคุณสนธิ นายใหญ่แห่งบ้านพระอาทิตย์ ก็พูดคุยถูกคอกันมาตลอด โชคชะตาและอาหารอิตาเลียนพาคนสองคนนี้มาเจอกันที่ Delicatezza โดยทั้งสองฝ่ายไม่ได้ล่วงรู้เลยว่า อีกไม่นานเขา และเธอจะผูกพันกันและกันในฐานะที่คนหนึ่งเป็นแกนนำพันธมิตรฯ และอีกคนหนึ่งปวารณาตัวเป็น “ผู้ชุมนุม” ผู้สวมเสื้อ “เราจะสู้เพื่อในหลวง” ในการชุมนุมกู้ชาติปี 2549
หลายๆ คนที่ไปร้านพี่แป๊วมักจะเห็นภาพเจนตา เป็นภาพพี่แป๊วทำอาหารอิตาเลียนมือเป็นระวิงในครัวสะอาดที่มองเห็นผ่านกระจกใส ขณะที่ด้านหลังของเธอจะมีจอทีวีขนาด 28นิ้ว 1 เครื่อง และกดแช่ไว้ที่ช่องนิวส์ 1
“พอว่างจากการงานพี่แป๊วจะไปชุมนุมเสมอๆ ตามไปทุกที่ทั้งที่ธรรมศาสตร์ สวนลุมฯ และสนามหลวง” พี่แป๊วเล่า
ต่อมาเมื่อการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นในวันที่ 19 กันยายน 2549 การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอุบัติขึ้น วาระนั้นทุกคนต่างหันหลังกลับไปใช้ชีวิตตามวิถีปกติอย่างที่เคยเป็นมา แม้ในใจหลายคนจะคับข้องกับการปฏิวัติที่ไม่สะเด็ดน้ำก็ตามที พี่แป๊วก็เหมือนกัน เธอกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำร้านอาหารอิตาเลียนรสเลิศตามปกติ โดยแทบไม่มีลูกค้าคนไหนรู้เลยว่า ไม่กี่วันก่อนเธอปลีกเวลาหน้าเตาไฟไปกู้ชาติมาแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปซอยทองหล่อกลายเป็นแหล่งอินเทรนด์ของคนเมืองอย่างรวดเร็ว ความแออัดทำให้พี่แป๊วเริ่มฉุกคิดที่จะขยายร้าน จากนั้นก็ตัดสินใจเพิ่มทุนและย้าย “ความละเมียดละไม” มาอยู่ที่แห่งใหม่ที่ใหญ่กว่า สะดวกกว่า สวยกว่า ร่มรื่นด้วยต้นไม้มากกว่า
ที่นี่เองคือร้าน Delicatezza กลางซอยทองหล่อ 10 ศูนย์รวมความอร่อยของอาหารอิตาเลียน ที่เจ้าของร้านยังคงเจตนารมณ์เดิม คือ ทำอาหารไปพลาง หูก็ฟังรายการวิเคราะห์ข่าวทางเอเอสทีวี ไปพลางๆ กันตกข่าว
“พี่บ้าการเมืองมาตั้งแต่เด็กๆ พี่ไม่ชอบความอยุติธรรม พี่ชอบพันธมิตรฯ และเป็นพันธมิตรฯ” พี่แป๊วบอกเหตุผลที่ติดนิวส์ 1
“พี่พิภพมาบ่อยรายนี้ชอบทานแกะย่าง เขาชอบมากับคุณสุริยะใสและคุณปรีดา ส่วนคุณสนธิมาเหมือนเดิม แบบเดิมคือมาคนเดียวกับหนังสือหนึ่งเล่ม นั่งคนเดียวเงียบๆ นานๆ จะมากับหลานๆ และพนักงาน คุณสนธิชอบเส้นสปาเกตตี้ผัดกับไส้กรอก และ ข้าวอิตาเลียนรีซอตโตผัดกุ้ง คุณสนธิชอบทานของหวานมาก ทุกครั้งต้องสั่งไอศกรีมมอคคา ราดครีมสดเยอะๆ ทุกที” เธอเล่าอย่างภูมิใจ และเสริมสีสันว่า
“ตอนมีการชุมนุมทั้งสองครั้ง บางทีคุณสนธิมาทานกับแขกผู้ใหญ่ มีครั้งหนึ่งมาเจอกันพร้อมหน้าทั้งสองสี คุณสนธินิ่งมาก เขานั่งทานอาหารอย่างสงบ คุยกับแขกที่มาด้วยอย่างธรรมดา แล้วก็ลุกออกไปตามปกติ คือ ต่างคนต่างกิน แล้วแยกย้ายกันไปต่างคนต่างทำหน้าที่”
“พี่แป๊วชอบการเมือง แต่ไม่ชอบความแตกแยกของประชาชนที่มีต้นเหตุมาจากการเมืองพิกลพิการ” สริยาบอกอย่างนี้กับผู้มาเยือนทุกคน และอธิบายต่อไปอีกว่า
“ ในระบอบประชาธิปไตยนั้น เราต้องยอมรับได้กับทุกๆ ความเห็น ไม่ดูแคลนคนคิดต่างหรือปิดกั้น คนไทยทุกคนไม่ว่าจะสีอะไรก็แล้วแต่ เราแตกต่างทางความคิดกันได้ แต่เราต้องไม่แตกแยกกัน เราต้องร่วมมือกันสร้างประเทศของเราให้เจริญรุ่งเรือง ไม่ใช่มาแย่งกันกอบโกยผลประโยชน์ไปเป็นของตัวเองด้วยการอิงอำนาจการเมือง และหลอกลวงประชาชน” พี่แป๊วตอกย้ำเจตนารมณ์มุ่งมั่น และขยายความอีกว่า
“ตอนยังสาวพี่แป๊วเข้าร่วมกิจกรรมการเมืองกับขบวนการนิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่โรมทุกครั้ง” เธอเล่าระหว่างพักอัดเทปรายการโต๊ะข่าว-โต๊ะข่าว และขยายความน่าตื่นเต้นว่า “พี่แป๊วเคยทำมาหมดแล้วทั้งหาอาหาร เดินขบวน ส่งน้ำ จนถึงทำระเบิดขวดและปาด้วย” สาวใหญ่วัย 57 ปีของวันนี้เล่าเรื่องราวแก่นแก้วแต่หนหลังด้วยเสียงตื่นเต้นไม่คลาย
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่ประการใดที่พี่แป๊วในวันนี้จะเข้าร่วมขบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขับไล่ทรราชโกงบ้านกินเมือง ที่ต่อมาเธอขยับเลื่อนฐานะจากผู้ชุมนุมในปี 49 มาเป็น “แม่ยกพันธมิตรฯ” ในอีก 2 ปีถัดมา
ครั้งล่าสุดไม่เพียงแต่จะรวบรวมสมัครพรรคพวกทั้งถนนสุขุมวิท มาช่วยส่งข้าว ส่งน้ำ ส่งเงินบริจาคเท่านั้น แต่ยังเป็น “นักรบมือตบ” ด้วย
“พี่รักอุดมการณ์ของคุณสนธิ และแกนนำทั้งหมด พี่รักการต่อสู้ที่เข้มแข็งของประชาชนในนามพันธมิตรฯ พี่เชื่อว่า 193 วันของเราไม่สูญเปล่า สักวันหนึ่งไม่ไกลจากนี้เราจะต้องได้การเมืองใหม่อย่างที่ตั้งใจไว้” พี่แป๊วขึงขัง
ความผูกพันระหว่างพี่แป๊วกับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ต่อเนื่องมาจนบัดนี้ ทุกครั้งที่คุณสนธิอยากผ่อนคลาย จะเลือกมาหลบมุมสงบที่ร้านพี่แป๊ว และรับประทานอาหารในเมนูเดิมๆ ไม่เคยเปลี่ยน ด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่า
“เมื่อพี่แป๊วเอาเดลิคาเตซซ่ามาเสี่ยงกับเราได้ เราก็ต้องมาแสดงน้ำใจกับพี่แป๊วได้เหมือนกัน แม้จะเล็กน้อยไม่เท่ากับที่พี่แป๊วเคยสูญเสียไปในช่วงการต่อสู้ที่เข้มข้น แต่ก็ไม่น้อยจนมองไม่เห็น” คุณสนธิ ผู้กลืนเลือด อธิบายสั้นๆ แต่ลึกซึ้งแบบนี้
ช่วงการต่อสู้ที่เข้มข้นในความหมายของคุณสนธิ คือ ช่วงที่พี่แป๊วตามไปช่วยเราถึงทำเนียบรัฐบาล ช่วงนั้นพี่แป๊วไปกินไปนอนไปวิ่งหนีกระสุนเอ็ม 79 และระเบิดแก๊สน้ำตากับพวกเรา ถมยังเฮี้ยวขนาดเอาร้านอาหารชื่อดังมูลค่าการลงทุนเกือบ 30 ล้านบาทของตัวเองมาเป็นศูนย์กลางการแจกเอกสารกู้ชาติ และต่อต้านการสลายการชุมนุมที่โหดเหี้ยม
นับถึงวันนี้เดลิคาเตซซ่ายังขายดิบขายดีไม่มีตกเหมือนวันแรกที่เปิดร้าน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีอะไร ทุกคนรักและคิดถึงรสชาติอาหารอิตาเลียนของพี่แป๊วเกินกว่าจะตะขิดตะขวงใจในอุดมการณ์ที่แตกต่างกันได้ เพราะอาหารไม่มีขีดขั้นและสีเสื้อ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่คนมีชื่อเสียงจากทุกๆ วงการ และเสื้อทุกๆ สีแห่แหนมาลิ้มชิมรสมือของพี่แป๊วเนืองแน่นทุกวัน
นี่คือเรื่องราวของ สริยา เจริญผล หรือพี่แป๊ว แม่ยกพันธมิตรฯ อีกคนหนึ่ง ที่ครั้งหนึ่งเคยคุกเข่าต่อแท่นบูชาพระผู้เป็นเจ้า และขอแก้คำสัญญาที่จะไม่ดูไพ่ทาโรต์ตลอดชีวิตให้กลับมาอีก เธอภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ขอทำหน้าที่ดวงตาสวรรค์อีกหนให้กับคุณสนธิ คนที่ทำงานใหญ่เพื่อบ้านเพื่อเมือง
คราวนี้เป็นการขอครั้งสำคัญเพื่อเปิดไพ่ทาโรต์ ทำนายชะตาของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ในระหว่างเหตุการณ์การชุมนุมเริ่มเขม็งเกลียวอึมครึม วันนั้นเธอถอยสร้อยไม้กางเขน และหยิบสำรับไพ่ที่ซุกเอาไว้ในลิ้นชักมาแรมปี
ต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จิตอธิษฐาน และสัมผัสที่ 6 ของเธอที่เริ่มทำงานอีกหน ท่ามกลางความเงียบที่ปกคลุมบ้านพระอาทิตย์ในคืนวันหนึ่ง คุณสนธินิ่งสงบ และเยือกเย็นเช่นเคย มือซ้ายเปิดไพ่ทาโรต์ของพี่แป๊ว แม่หมอมองตามไพ่ 3 ใบไม่วางตา เมื่อหงายหน้าไพ่ขึ้น พี่แป๊วโล่งอก ส่งยิ้มกว้างให้คุณสนธิ
ไพ่ทาโรต์ทุกใบเผยความลับสวรรค์ออกมา ต่อหน้าทุกคนที่จ้องตาไม่กะพริบ พี่แป๊วพูดเสียงพึมพำ ให้ได้ยินกันเพียง 2 คนกับคุณสนธิว่า “คุณสนธิเปิดไพ่ 3 ครั้งๆ ละใบ ทุกครั้งได้แต่....แปลว่า...แน่นอน”
คำทำนายของพี่แป๊วจะว่ากระไร ไปสอบถามกันเอาเอง แต่ที่รู้ๆ เมื่อเวลาต่อมาอีกไม่กี่อาทิตย์ ทุกสิ่งอันเป็นไปตามบัญชาสวรรค์ไม่ผิดเพี้ยน และคำทำนายครอบคลุมมาถึงเหตุการณ์เสื้อแดงชุมนุมในวันนี้ด้วย
บอกให้เอาบุญ...ทักษิณน่าจะอยากรู้นะว่า พี่แป๊วเห็นอะไรจากไพ่ทาโรต์ในมือคุณสนธิ
จะได้ไม่เสียเงินเปล่าๆ ปลี้ๆ ในการชุมนุมเสื้อแดงครั้งนี้....เก็บเอาไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิตก่อนหมดตูดเถอะทักษิณ