เป็นเรื่องยากลำบาก ที่จะเดาใจ ล่วงรู้เจตนาภายในใจ หรือรู้ลึกเข้าไปถึงความคิดที่แท้จริงของใคร จึงต้องดูที่การกระทำ ดังคำกล่าวที่ว่า “กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา” หรือ “กรรมส่อเจตนา”
พิธีกรรมที่มนุษย์สรรสร้างขึ้น จึงเป็นกรรมที่สะท้อนความคิด ความรู้สึกของคนที่สร้างขึ้น
พิธีสืบชะตา ที่วัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จึงน่าสนใจที่จะค้นหาความจริง ว่าคนที่ทำพิธีคิดอะไร และเมื่อทำพิธีที่มีคนเข้าร่วมรับรู้มากมาย เจ้าของงานต้องการจะสื่อความหมายอะไรให้คนรับรู้ หรือให้คนเชื่อว่าอย่างไร
1) พิธีนี้ อ้างว่า เป็นพิธีสืบชะตา หรือสะเดาะเคราะห์ให้ “ทักษิณ ชินวัตร” มีรูปทักษิณประกอบเด่นอยู่ในพิธี โดยมีพระสงฆ์ในพุทธศาสนาเข้าร่วมกับพิธีการทรงเจ้าเข้าทรง มีม้าขี่ หรือร่างทรงเป็นหญิงอายุ 50 ปี และมี พลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร เป็นประธานในพิธี ร่วมกับคนรักทักษิณจำนวนเกินร้อยคนมาร่วมพิธี
สะท้อนว่า ผู้จัดมีความรู้สึกว่า “ทักษิณ” กำลังลำบาก ตกอับ ตกต่ำอย่างมาก อยู่ในภาวะเคราะห์กรรม จึงต้องทำพิธีเพื่อเรียกฟื้นคืนสภาพ โดยใช้ทั้งพระและไสยศาสตร์เข้าประกอบกันในพิธีนี้
2) พิธีนี้ สตรีผู้อ้างว่า “เจ้ามูลเมือง” เข้ามาประทับร่างทรงของตน ได้กล่าวอ้างว่า “บัดนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งในครั้งอดีตชาติคือพระเจ้ามูลเมืองได้มาลงประทับร่างทรงแล้ว"
สะท้อนความเชื่อ หรือพยายามจะทำให้คนอื่นเชื่อว่า “ทักษิณ” คือ “เจ้าษิณ” ในอดีตชาติ เคยเป็นคนระดับเจ้าผู้ครองแคว้นครองนครมาก่อน ไม่ใช่คนธรรมดา หรือสามัญชนทั่วไป
และขณะนี้ “ทักษิณ” กำลังตกอับ ลำบากลำบน ก็เพราะกรรมเก่าที่ “เจ้าษิณ” เคยกระทำแต่ชาติปางก่อน ไม่ใช่เพราะกรรมชั่วที่ “ทักษิณ” กระทำในชาตินี้ จึงเสมือนหนึ่งเป็นการประกาศ “แก้ตัว” ให้กับ “ทักษิณ” กลายๆ ว่า ชาตินี้ ไม่ได้ทำชั่ว !?!?
ชีวิตที่ตกต่ำ เป็นผลมาจากอดีตชาติ สอดคล้องรองรับกันกับคำกล่าวอ้างจากปากของทักษิณ ชินวัตร เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ว่า “สักวันหนึ่ง ถ้าผมใช้กรรมที่เกิดขึ้นจากชาติที่แล้วหมด ทุกอย่างคงจะดีขึ้น”
3) ผู้เข้าทรง หรือม้าขี่ ยังพยายามจะทำให้เชื่อผ่านพิธีกรรมดังกล่าวต่อไปอีกด้วยว่า “ทักษิณ” ต้องลำบากลำบนอยู่ในขณะนี้ ก็เพราะว่า “เจ้าษิณ” (ในชาติที่แล้ว) ไปก่อกรรมทำเข็ญ ฆ่าฟันพม่าข้าศึก ล้มตายไปจำนวนมาก ดังคำพูดที่ว่า “ชาติก่อนหลายร้อยปีที่ผ่านมา ข้าได้ไปทำกรรมระหว่างสู้รบออกศึกกับพม่า ได้มีการฆ่า และไปเอาเงินข้าศึกฝ่ายตรงข้ามไป จนทำให้มีกรรมติดตัวมาจนถึงชาตินี้ เลยต้องกรรมหนัก”
สะท้อนว่า เป็นความพยายามของคนจัดพิธี หรือผู้กำกับการแสดง ที่จะให้เข้าใจว่า “เจ้าษิณ” ในอดีตชาติ ได้ทำการเข่นฆ่า “พม่าข้าศึก” และนำเงินทองของข้าศึกกลับเข้ามาสู่แว่นแคว้นของตนเอง เพื่อให้คนที่รับรู้พิธีกรรมนี้ รู้สึกว่า การกระทำของ “เจ้าษิณ” ในอดีตชาตินั้น แม้จะเป็นการทำบาป คือ ฆ่าคนและปล้นชิงทรัพย์ของคนอื่น แต่ก็นับเป็น “วีรกรรม” เพราะคนไทยทั่วไปมักมีความรู้สึกเป็นทุนเดิมว่า “พม่าคือผู้ร้ายประจำชาติ” ดังนั้น เมื่อสร้างเรื่องว่า “เจ้าษิณ” เคยเข่นฆ่าทำร้ายข้าศึกศัตรูของชาติ “เจ้าษิณ” ก็ต้องเป็นคนดีผู้กล้าที่ควรยกย่องเชิดชู เฉกเช่นพระมหากษัตริย์ไทยผู้ยิ่งใหญ่หลายพระองค์ เช่น พระเนรศวรมหาราช หรือพระเจ้าตากสินมหาราช เป็นต้น
ผู้กำกับ หรือผู้จัดพิธีกรรมนี้ อาจหลงลืมไปว่า การสร้างเรื่อง “เจ้ามูลเมือง” หรือ “เจ้าษิณ” ขึ้นมา โดยปราศจากหลักฐานข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์โบราณคดี กลับทำให้ผู้คนรู้สึกเชิงลบกับพิธีกรรมสมอ้างและเรื่องราวของ “เจ้าษิณ” โดยเฉพาะเมื่อผู้เชี่ยวชาญในทางประวัติศาสตร์ล้านนา ดร.ธเนศว์ เจริญเมือง ให้ข้อเท็จจริงว่า ไม่เคยมีเจ้ามูลเมืองในประวัติศาสตร์ผู้ครองนครล้านนา สอดคล้องกับอาจารย์ศักดิ์เสริญ รัตนชัย ผู้อำนวยการหอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ยืนยันว่า เรื่อง “เจ้ามูลเมือง” หรือ “เจ้าษิณ” เป็นสิ่งที่แต่งขึ้นเพื่อโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น เพราะเจ้าผู้ครองล้านนาตั้งแต่อดีตกาล ไม่มีชื่อ "เจ้ามูลเมือง" แน่นอน
4) พิธีชดใช้เงินทองที่ “เจ้าษิณ” ไปปล้นฆ่ามาจากพม่า ถูกจัดฉากขึ้นโดยนำธนบัตรใบละพันบาท ห้าร้อยบาท และร้อยบาท ส่งคืนชดใช้กรรมในอดีตชาติ โดยส่งผ่านหลังพระพุทธรูป ประหนึ่งว่าประตูทะลุมิติกาลเวลา โดยอ้างว่า เงินจำนวนนี้ มีค่าเท่ากับ 5 แสนสตางค์
สะท้อนว่า ผู้จัดพิธีดังกล่าว มิได้คำนึงถึง “พุทธคุณ” ที่ให้ลดละเลิก “โลภ โกรธ หลง” แต่กลับใช้พระพุทธรูปเป็นเครื่องมือ หรือเป็นประตูเชื่อมต่อกับชาติภพก่อน ทำให้พระพุทธรูปถูกลดทอนคุณค่า และบิดเบือนความหมาย กลายเป็นเครื่องมือเชื่อมต่อ “ทวิภพ” ซึ่งแม้แต่นักสร้างหนังเขาก็ยังไม่กล้าที่จะจินตนาการ หรือนำพระพุทธรูปมาเป็นเครื่องมือรับใช้จินตนาการประกอบพิธีโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองของตนเยี่ยงนี้
การสร้างเรื่องในทำนองว่า เมื่อ “เจ้าษิณ” เคยปล้นชิงเงินทองของพม่ามาในชาติภพที่แล้ว ก็จ่ายคืนกลับไปให้ในชาตินี้ โทษทัณฑ์ที่ “ทักษิณ” กำลังได้รับอยู่ในชาตินี้ ก็ควรจบลง เพราะหักลบกลบหนี้กันไปแล้ว ทำราวกับว่า การทุจริตเงินกู้เอ็กซิมแบงก์ ที่นำเงินประชาชนคนไทยไปให้พม่ากู้ในชาตินี้ โดยให้ลูกผู้นำทหารพม่านำเงินมาซื้อสินค้าโทรคมนาคมของบริษัทชินฯ ก็น่าจะถูกต้องแล้ว เพราะในอดีตชาติ “เจ้าษิณ” ไปเอาเงินของพม่าเขามาก่อน อย่างนั้นหรือ ?
จะอ้างต่อไปด้วยไหมว่า หากมีการคืนที่ดินรัชดา คืนภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม คืนเงินหวยบนดิน หรือคืนทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบในชาตินี้ ทุกอย่าง ก็น่าจะไถ่โทษกันไปทั้งหมด “ทักษิณ” ไม่ต้องรับกรรมใดๆ ต่อไปอีกแล้ว ?
5) พิธีสืบชะตาครั้งนี้ ยังได้นำบาตรพระมาใส่กระดาษที่แจกให้ผู้เข้าร่วมพิธีได้เขียนชื่อศัตรูของ “ทักษิณ” เป็นการระดมความเห็นของผู้เข้าร่วมอย่างเปิดเผย และได้ปรากฏชื่อของบุคคลที่คนไทยให้การเคารพเทิดทูนอย่างยิ่ง แล้วก็ยังมีชื่อของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี อาจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี นายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ เป็นต้น
สะท้อนว่า ผู้จัดพิธีมีความเชื่อ หรือต้องการจะให้คนเชื่อว่า “ทักษิณ” มีศัตรู และเหตุที่เกิดความตกต่ำในขณะนี้ ก็เพราะถูกศัตรูกลั่นแกล้งเล่นงาน (ไม่ใช่เพราะกรรมชั่วของทักษิณเอง) จึงได้ระดมกำลังของผู้ที่เข้าร่วมพิธีว่าคิดว่าใครเป็นศัตรู ซึ่งจะได้ใช้เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ความคิดความเชื่อของพวกตนอีกด้วย
วิธีการแบบนี้ ไม่สอดคล้องกับแนวทางพระพุทธศาสนา ที่มุ่งสอนให้สัตว์โลกมองกรรมของตนเอง ไม่โทษหรือโยนความผิดให้ผู้อื่น “กัมมุนาวตตีโลโก.. สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม”
แม้พิธีสืบชะตาของ “ทักษิณ ชินวัตร” ครั้งนี้ จะไม่สามารถแก้กรรมของทักษิณได้ เพราะหากรรมชั่วของคนสามารถแก้กรรมได้เหมือนกับการแก้กางเกง แก้เสื้อ แก้ผ้า แค่ผลัดเปลี่ยนแล้วก็จบสิ้นเช่นนี้ มนุษย์ทั้งหลายก็คงก่อกรรมทำชั่วกันเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วค่อยแก้กรรมเอาภายหลัง
ความจริง กรรมชั่วที่คนทำในอดีต ไม่สามารถผสมผสาน หรือหักลบกลบล้างกับกรรมดีที่ทำในปัจจุบันได้ด้วยซ้ำ แต่หากคนที่รู้ว่าตนเองเคยทำกรรมชั่วไว้ ถ้าเขาเร่งทำกรรมดีให้มากขึ้นเรื่อยๆ กรรมชั่วก็อาจจะวิ่งตามไม่ทันกรรมดีที่ทำไว้ในปัจจุบัน แต่มิได้หมายความว่ากรรมดีและกรรมชั่วจะผสมผสานหรือหักลบกลบหนี้กันแล้วเจ๊ากันไป จึงไม่เหมือนน้ำดีผสมกับน้ำเสีย หรือกำไรกับขาดทุน หรือบวกกับลบที่หักลบกันได้
พิธีสืบชะตาในครั้งนี้ ได้ยึดพื้นที่สื่อมวลชนเพื่อสร้างเรื่องราว กลบเกลื่อนว่า “ทักษิณ” คือ เจ้าผู้ปกครองนครในอดีตชาติ มีกรรมเก่า เพราะเคยไปสู้รบกับพม่าข้าศึก ฆ่าศัตรูของชาติแล้วเอาทรัพย์สินของศัตรูมา จึงทำพิธีผ่านพระพุทธรูปและพระสงฆ์ในชาตินี้เพื่อไถ่บาป ลบล้าง หรือตัดตอนกรรมในอดีตชาติ ก็เพื่อโฆษณาชวนเชื่อว่า ความตกต่ำหรือตกอับของ “ทักษิณ” ในขณะนี้ เป็นผลมาจาก “กรรมชั่ว” ของ “เจ้าษิณ” หรือ “เจ้ามูลเมือง” ในอดีตชาติ ไม่ใช่ “กรรมชั่วของทักษิณ” ในชาตินี้ !
เรียกว่า เป็นเรื่องกรรมชั่วของ “เจ้ามูลเมือง” ในชาติที่แล้ว ไม่ใช่ “เจ้ามูมมาม” ในชาตินี้
ที่สำคัญ นอกจากพยายามจะแก้ตัวแทน “ทักษิณ” แล้ว ยังส่อเจตนาว่า ชาตินี้ทั้งชาติ ไม่ต้องการจะให้ผู้คนชาวไทยหลุดพ้น ลืม “ทักษิณ” หรือ “ไอ้ษิณ” ปล่อยให้เป็นผีสาเหร่ เดินทางเป็นสัมภะเวสีอยู่ต่างแดน จึงต้องพยายามสร้างเรื่องเล่าแปลกๆ พิสดารพันลึก นำเสนอออกมาเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต