xs
xsm
sm
md
lg

“ครูอารมณ์” กับคำสัมภาษณ์ครั้งสุดท้าย !

เผยแพร่:   โดย: ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

เมื่อพูดถึงผู้หญิงที่ชื่อ ครูอารมณ์ มีชัย หลายคนคงจะนึกถึงภาพสตรีผู้สูงวัยขึ้นเวทีปราศรัยด้วยเสียงที่เล็กแต่หนักแน่นบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ความพิเศษของผู้ปราศรัยคนนี้ มีความแตกต่างจากผู้ปราศรัยคนอื่นๆ ก็เพราะเป็นคนที่กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็ง บางครั้งเราจึงเห็นครูอารมณ์ปราศรัยในสภาพที่ผมร่วงเกือบหมดศีรษะอันเป็นผลข้างเคียงจากการรักษาโรคร้ายนี้

แม้ว่าหลายคนอาจเป็นห่วงสุขภาพของครูอารมณ์บนเวทีปราศรัย แต่การปราศรัยของครูอารมณ์ มีชัย กลับปรากฏให้เห็นถึงแววตาแห่งความสุขที่ได้ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

ครูอารมณ์เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ครั้งหนึ่งว่า:

หมอบอกว่าจะอยู่ได้อีก 5 ปี ปัจจุบันผ่านไปแล้ว 2 ปี เหลืออีก 3 ปี หมอสั่งห้ามไม่ให้ไปไหน เราบอกหมอว่าถ้าให้ฉันนอนเฉยๆ ฉันอาจอยู่ได้อีก 20 ปี แต่ว่าทำอะไรให้สังคมไม่ได้เลย กินนอน ดูแลลูกหลาน แล้วฉันจะอยู่ไปทำไม หายใจทิ้งไปวันๆ ฉันมาทำงานกับประชาชน ถึงฉันอยู่ได้แค่ 10 วันแล้วฉันตาย ฉันก็มีความสุข”

ครูอารมณ์ ตระหนักและรู้ดีว่าสุขภาพตัวเองไม่ดี และมีเวลาเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ ความสุขของครูอารมณ์คือการใช้เวลาที่เหลืออยู่ ทำงานและทำประโยชน์ให้กับประชาชนและแผ่นดินให้มากที่สุด จนกว่าชีวิตจะหาไม่

นั่นคือคำตอบว่า ทำไมครูอารมณ์ มีความสุขที่ได้ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯทั้งๆที่สุขภาพไม่ดี บางครั้งไม่มีคิวที่จะขึ้น ก็ยอมรอถึงตี 3 และบางครั้งก็ใส่เสื้อกันฝน หรือนั่งหลบฝนเพื่อรอที่จะขึ้นเวทีปราศรัยเกือบทั้งคืน

ความสุขของครูอารมณ์ที่ปราศรัยปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อ ปกป้องพิทักษ์รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ บางครั้งได้ทำให้ครูอารมณ์มีอาการดีขึ้นจากโรคร้าย พลังที่น่ามหัศจรรย์นี้ พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ประธานคณะกรรมการพลังแผ่นดิน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกว่าเป็น “พลังแห่งความรักชาติ” ที่มาจากจิตสำนึกดีต่อชาติบ้านเมือง

วันที่ 29 กันยายน 2551 แม้ในยามเจ็บป่วย ครูอารมณ์ มีชัย ก็ได้แสดงความกล้าหาญ ขึ้นรถขยายเสียง 6 ล้อ ร่วมกับคณะผู้ปราศรัยของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำประชาชนไปที่หน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลเพื่อทวงถามถึงเหตุผลที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้กำลังสลายอย่างโหดเหี้ยมกับผู้ชุมนุมซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรีและผู้สูงวัย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2551

แต่การทวงถามของครูอารมณ์ มีชัยและคณะในวันนั้นทำให้ พ.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ตัดสินใจใช้ แก๊สน้ำตายิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมอย่างบ้าคลั่งนับสิบลูก ซึ่งส่งผลทำให้ครูอารมณ์ มีชัย ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งอยู่แล้วได้รับผลกระทบมากยิ่งขึ้นจากพิษของแก๊สน้ำตา สุขภาพของครูอารมณ์ทรุดลงเรื่อยมานับตั้งแต่วันนั้นและต้องไปพักฟื้นตัวที่จังหวัดราชบุรี ภายหลังต่อมามีอาการทรุดลงอีกก็ได้ย้ายไปรักษาตัวที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ

วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม 2552 ในขณะที่ครูอารมณ์ มีชัย รักษาตัวอยู่ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ทางทีมงานสถานีโทรทัศน์ ASTV ได้รับคำตอบเธอว่าจะสะดวกและยินดีอย่างยิ่งที่จะขึ้นเวทีปราศรัยที่หน้า ASTV ในวันศุกร์ที่ 16 มกราคม 2552 โดยเธอบอกกับญาติๆ และคนรอบข้างว่า “เราจะต้องไปช่วย ASTV”

แต่แล้วภายหลังจากการฉายแสงเพื่อรักษาโรคมะเร็ง ก็ได้ทำให้อาการครูอารมณ์ มีชัย มีไข้สูงและอาเจียน แม้ว่าครูอารมณ์ยังมีความยินดีที่จะไปปราศรัย และหมอก็ไม่สามารถอนุญาตได้ ทีมงาน ASTV จึงได้ตัดสินใจเดินทางไปเพื่อบันทึกเป็นวีดีทัศน์ให้เธอได้มีโอกาสพูดกับพี่น้องประชาชน โดย ASTV ได้ทำเทปบันทึกภาพและเสียงของครูอารมณ์มาออกอากาศไปแล้วเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2552 การออกอากาศในวันนั้นนอกจากเธอจะได้บอกประชาชนว่า “คิดถึงทุกคน” แล้ว เธอยังขอให้พันธมิตรฯทุกคนได้ “สามัคคี รวมตัวกัน และรักกัน”

ในตอนท้ายครูอารมณ์ มีชัย ยังใช้มือตบจิ๋วและพูดด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข ผ่านกล้องของ ASTV ว่า “พันธมิตรสู้ๆ AS สู้ๆ ขอให้อดทน ทนอดด้วย”

หลังจากวันนั้น ครูอารมณ์ มีขวัญกำลังใจมากขึ้น และมีความหวังว่าเมื่อเธอมีสุขภาพแข็งแรงดีขึ้น เธอจะได้มีโอกาสขึ้นเวทีปราศรัยกับพี่น้องประชาชนที่หน้าสถานีโทรทัศน์ ASTV อีกสักครั้ง

แต่แล้วทีมงาน ASTV ได้ทราบว่า มะเร็งร้ายได้ลามไปส่วนอื่นๆของร่างกาย และเริ่มลามขึ้นไปยังสมองประมาณวันพุธที่ 28 มกราคม 2552 ASTV จึงได้ตัดสินใจรอความพร้อมของครูอารมณ์เพื่อที่จะได้มีโอกาสบันทึกภาพและเสียง โดยให้ครูอารมณ์ได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ได้มากที่สุดก่อนที่ครูอารมณ์จะถูกนำไปฉายแสงอีกครั้งในเวลา 10.00 น.ของวันศุกร์ที่ 30 มกราคม 2552

1 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนการฉายแสงในสายของวันที่ 30 มกราคม 2552 คือชั่วโมงที่เราได้มีโอกาสรู้จักผู้หญิงที่เสียสละกล้าหาญคนนี้มากยิ่งขึ้น เป็นหนึ่งชั่วโมงสุดท้ายที่เธอได้ให้สัมภาษณ์ในช่วงสุดท้ายว่า เธอมีความสุขที่ได้สัมภาษณ์ในวันนั้น เพราะได้ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติอีกครั้ง

และเป็นคำสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายของครูอารมณ์ มีชัย ซึ่งได้นำมาออกอากาศในรายการ “แอน จินดารัตน์” ทางสถานีโทรทัศน์ ASTV เมื่อวันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2552 ก่อนที่ครูอารมณ์จะสิ้นลมไม่กี่ชั่วโมง

ครูอารมณ์ มีชัย เคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 เป็นครูที่ จ.นครศรีธรรมราช เคยเป็นครูที่สอนในพื้นที่เสี่ยงภัยจากการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์ เป็นครูที่ใช้เพลงฝรั่งมาประยุกต์กับการสอนภาษาอังกฤษ และสอนภาษาอังกฤษในวิถีพุทธ จนโรงเรียนที่สอนได้รับรางวัลโรงเรียนดีเด่น แต่ความเป็นนักต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมอย่างเข้มแข็ง ทำให้ครูอารมณ์ต้องถูกโยกย้ายไปหลายโรงเรียนและต้องถูกย้ายเข้ามาสอนในกรุงเทพมหานครในช่วงปลายของการรับราชการครู และได้รับรางวัลครูต้นแบบภาษาอังกฤษปี 2540

ในบทบาทของแม่ ครูอารมณ์ มีชัย ก็ได้รับรางวัลแม่ดีเด่นแห่งชาติ สาขาผู้เสียสละและทำคุณประโยชน์เพื่อสังคม พ.ศ. 2540 ในบทบาททางสังคมได้ตั้งศูนย์ดูแลเด็กยากจน กำพร้า และดูแลเด็กที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ

ในการต่อสู้กับความอยุติธรรม ครูอารมณ์ยังได้มีส่วนร่วมในการขับไล่รัฐบาล พล.อ.สุจินดา คราประยูร และเข้าร่วมเวทีปราศรัยกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา

หลังวันที่ 30 มกราคม 2552 ถือได้ว่าเป็นการสัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชน เป็นครั้งสุดท้ายของครูอารมณ์ มีชัย หญิงเหล็ก นักต่อสู้หัวใจแกร่งผู้เสียสละ ที่สมควรที่จะได้รับการคารวะจากประชาชนทุกหมู่เหล่า

หลังจากวันนั้น ครูอารมณ์ ไม่อยู่ในสภาพที่จะให้สัมภาษณ์ได้อีก ตามองไม่เห็น มะเร็งลามไปที่ตับ ปอดติดเชื้อ แต่เมื่อได้ทราบว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะเดินทางไปที่จังหวัดอุดรธานี เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 ก็ได้แสดงอาการส่งเสียงขยับตัว ตอบสนองอยากที่จะไปด้วย ทันทีที่ได้ยินเสียงของคุณสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้เล่าให้ฟัง ในคืนที่เข้าไปเยี่ยมครูอารมณ์ เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552

ครั้งหนึ่งครูอารมณ์ ได้เคยให้สัมภาษณผ่านสื่อมวลชนว่า:

“เรารู้ว่าชีวิตนี้เราอยู่ได้ไม่ยาว ความตายอยู่ใกล้เราเสมอ เราต้องคิดว่าชีวิตเรา มันก็เหมือนขับรถ สักวันมันก็ต้องสุดถนน ซึ่งเราไม่รู้ว่าตรงไหน ที่เราจะต้องเปลี่ยนถนนสายใหม่ เช่นเดียวกันวันหนึ่งเราก็ต้องเปลี่ยนภพภูมิใหม่

เพราะฉะนั้น แต่ละวันที่จะผ่านไป เราทำทุกวันให้ดีที่สุด ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
ไม่ต้องคิดถึงพรุ่งนี้ และไม่ต้องคิดถึงเมื่อวาน ถ้าวันนี้ดี พรุ่งนี้ก็ดี พอถึงพรุ่งนี้ เมื่อวานก็ต้องดี เพราะพอถึงพรุ่งนี้ วันนี้ก็เป็นเมื่อวาน ฉะนั้น ต้องทำให้ตัวเองตายก่อนตาย คือ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่เอามายึดมั่น เพราะเราไม่สามารถเอาอะไรไปได้เลย”

เรารู้แล้ว เราปฏิบัติ ธรรมะก็คือธรรมชาติ เมื่อเรารู้จักธรรมชาติ เราต้องรู้จักการปฏิบัติตัวต่อธรรมชาติด้วย ก็คือ กฎของธรรมชาติ เราต้องรู้ว่าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร แล้วก็รับผลของการปฏิบัติ จึงทำให้เรารู้ว่า อะไรทุกอย่าง มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมชาติ บังคับอะไรไม่ได้สักอย่าง ถึงมนุษย์จะเก่ง สร้างเทคโนโลยีขึ้นมามากมาย แล้วในที่สุด ธรรมชาติก็มาลงโทษมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์เอกของโลก

ตรงนี้พอเราอยู่ใกล้ธรรมะ ใจเราจะเบิกบาน ใจเราจะบริสุทธิ์ ก็ไม่มีความกลัว ไม่มีความเครียด รู้ว่าเป็น รู้ว่าดำรงอยู่ ก็ยอมรับ”

ช่วงสุดท้ายก่อนสิ้นลมในชีวิตของครูอารมณ์ มีชัย แม้จะอยู่บนเตียงผู้ป่วยและมองไม่เห็นแล้ว แต่ก็ได้มีโอกาสทำบุญในขณะที่อยู่บนเตียงผู้ป่วย ทั้งการถวายสร้างพระพุทธรูป ถวายผ้าไตรครอง และถวายปัจจัยในวันมาฆบูชา เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552 และภิกษุสงฆ์ได้ให้ครูอารมณ์ มีชัย ได้ท่องและเปล่งวาจาบทสวดมนต์สั้นๆว่า:

พุทโธ เมนาโถ ธัมโม เมนาโถ สังโฆ เมนาโถ

พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา พระธรรมเป็นที่พึ่งของเรา พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา


ช่วงใกล้ลมหายใจสุดท้ายของครูอารมณ์ มีชัย แม้จะไม่สามารถเปล่งวาจาได้แล้ว แต่เชื่อได้ว่าจะได้ยินเสียงของ “ขวัญ” ลูกสะใภ้ เปล่งเสียงบทสวดมนต์ดังกล่าวที่ข้างหูครูอารมณ์ มีชัย

“พุทโธ เมนาโถ” คือคำสุดท้ายของบทสวดมนต์ที่ครูอารมณ์ มีชัย ได้ยิน ก่อนที่จะวายชนม์อย่างสงบ และไม่เจ็บจากโรคร้ายอีกต่อไป

ครูอารมณ์ มีชัย เป็นบุคคลที่น่ายกย่อง สรรเสริญ สมควรแก่การคารวะ ในจิตใจที่กล้าหาญ เสียสละ และคำนึงถึงแต่ประโยชน์ส่วนรวมตลอดจนชาติบ้านเมือง เชื่อได้ว่าคุณงามความดีของครูอารมณ์ที่ได้กระทำเอาไว้ในชาตินี้ย่อมจะส่งผลทำให้ดวงวิญญาณของครูอารมณ์จะต้องไปอยู่ในภพภูมิที่ดี และอยู่ในความทรงจำที่งดงามของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตลอดไป

ขอคารวะและไว้อาลัยแด่ครูอารมณ์ มีชัย


ชมคลิปวิดีโอ คำให้สัมภาษณ์ของ"ครูอารมณ์ มีชัย"ในรายการ"แอน จินดารัตน์"=>
กำลังโหลดความคิดเห็น