xs
xsm
sm
md
lg

"มาร์คโรลแบ็ค"2พันตีเช็คส่งถึงบ้าน26มี.ค.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ไอเดียกระฉูด! มาร์คต่อยอดเงินประชานิยมหัวละ 2 พัน ลงมติออกเป็นเช็คเงินสดส่งถึงบ้าน 26 มี.ค.นี้ ออกโปรโมชั่น ใช้เช็คฯซื้อของในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการรับส่วนลดทันที 10-20% หวังกระตุ้นเศรษฐกิจหลายรอบ ผู้บริหารเซ็นทรัลพร้อมให้ความร่วมมือช่วยเงินหมุนเวียนมากขึ้น ขณะที่ รมว.แรงงานยันมติ สปส.นำเงิน 24 ล้านบาท จัดทำฐานข้อมูลโอนเงิน ไม่ได้ใช้เงินในทางที่ผิด เดินหน้าเปิดลงทะเบียน อสม.-ผู้สูงอายุ

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยความคืบหน้าโครงการช่วยเหลือผู้ประกันตนที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท/เดือนที่รัฐบาลจะจ่ายเงินให้หัวละ 2,000 บาท รวม 9.3 ล้านคน ว่า หลังจากงบกลางปีผ่านสภาแล้วจะดำเนินการสั่งจ่ายให้เป็นเช็คเงินสดถึงบ้านของผู้มีสิทธิ์รอบแรกได้ประมาณวันที่ 26 มี.ค.นี้ คาดว่าเงินจะถึงมือผู้มีสิทธิ์ภายใน 1-2 สัปดาห์ เมื่อได้รับเช็คแล้วรัฐบาลหวังว่าประชาชนจะนำไปซื้อสินค้าได้ทันที ซึ่งรัฐบาลจะรับภาระค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมประมาณ 40 ล้านบาท
สาเหตุที่ไม่เลือกใช้วิธีโอนเงินสดเข้าบัญชี เนื่องจากเกรงว่าจะมีบางส่วนไม่ยอมถอนออกมาใช้จ่าย ซึ่งขัดกับวัตถุประสงค์ของรัฐบาลที่ต้องการให้นำเงินดังกล่าวไปใช้จ่ายเกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหลายรอบ ส่วนผู้ที่ได้รับเป็นกลุ่มคนทำงานที่อยู่ในระบบประกันสังคม วิธีการนี้จึงน่าจะปลอดภัย
นายกอร์ปศักดิ์เล่าถึงที่มาของการเลือกใช้เช็คเงินสดว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ วันที่ 11 ก.พ.ที่ผ่านมา ได้มีการพิจารณารูปแบบการจ่ายเงินให้ประชาชนระหว่างนำใช้เงินสด คูปองหรือเช็ค โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เห็นว่าน่าจะใช้คูปองแทนเงินสด แต่มีการเกรงว่าจะมีปัญหาการทำคูปองปลอมออกมา สุดท้ายจึงมีข้อสรุปร่วมกันว่า รูปแบบการสั่งจ่ายเป็นเช็คเงินสดให้ผู้ประกันตนที่ได้รับสิทธิประมาณ 9 ล้านคน มีความคล่องตัวมากที่สุด
เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยความคืบหน้าการทำงานของ สปส.ซึ่งดูแลกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกันตนรวม 8.3 ล้านคน (อีก 1 ล้านคนเป็นข้าราชการ) ว่า ในส่วน สปส.แบ่งจ่ายเป็น 5 รอบ รอบแรกวันที่ 26 มี.ค.แล้ว มีผู้ประกันตน 4 ล้านคน วงเงินรวม 8 พันล้านบาท รอบที่ 2 วันที่ 7 เม.ย. รอบที่ 3 วันที่ 10 เม.ย. รอบที่ 4 วันที่ 4 พ.ค. และรอบสุดท้ายวันที่ 15 พ.ค.

***จับ 2 พันควบธงฟ้ากระตุ้นใช้เงิน
นายกอร์ปศักดิ์เปิดเผยด้วยว่า รัฐบาลมีแนวคิดที่จะต่อยอดการใช้เงินจำนวนดังกล่าว ด้วยการหามาตรการจูงใจการใช้เงินก้อนดังกล่าว (ทั้งโครงการรวม 1.8 หมื่นล้านบาท) โดยจะหารือกับผู้ประกอบการร้านค้ารายใหญ่ที่สนใจให้ส่วนลดราคาสินค้า 10-20% กรณีประชาชนที่นำเช็คไปซื้อสินค้าในร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ เป็นการสร้างแรงจูงใจในการใช้เช็คเงินสดซื้อสินค้าแทนที่จะนำไปเข้าธนาคาร ส่งผลมูลค่าเช็คที่ใช้ซื้อสินค้ามากกว่า 2 พันบาท เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
"นายกรัฐมนตรียังมอบหมายให้ไปพิจารณาเพิ่มเติมให้ประชาชนสามารถนำเช็คดังกล่าวไปใช้แทนเงินสดเพื่อซื้อสินค้าตามร้านค้าต่างๆ ได้ ซึ่งส่วนนี้จะนำไปหารือกับภาคเอกชนต่อไปว่าพร้อมรับเช็คแทนเงินสดหรือไม่ ซึ่งเบื้องต้นมองว่าไม่น่าจะมีปัญหาสำหรับร้านค้าใหญ่ที่ต้องการจะขายสินค้าอยู่แล้ว" นายกอร์ปศักดิ์กล่าวและว่า มาตรการการฟื้นเศรษฐกิจในระยะต่อไป จะเป็นการสร้างงานเป็นหลัก โดยจะต้องมีการตั้งเป้าว่างบประมาณที่ออกไปจะสามารถสร้างงานได้กี่ตำแหน่ง

**ร้านค้าระดับบิ๊กพร้อมร่วมมือ
นางภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการตลาดและประชาสัมพันธ์ บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ผู้บริหารท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต กล่าวว่า การที่รัฐบาลกระตุ้นให้คนใช้จ่ายด้วยการให้เงินช่วยเหลือ 2,000 บาทต่อคนนั้นสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยตามที่กำหนดนั้น ในมุมมองของรีเทลเลอร์เป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามหากจะให้รีเทลเลอร์ร่วมมือในการให้ส่วนลดอะไรนั้น คงต้องขอดูรายละเอียดก่อนว่าภาครัฐจะมีกฎเกณฑ์และการควบคุมการใช้จ่ายของผู้บริโภคอย่างไรกับเงินจำนวนนั้น อะไรที่เราสามารถทำได้เราให้ความร่วมมือเต็มที่อยู่แล้ว
แหล่งข่าวจากค้าปลีกอีกรายกล่าวว่า ถือเป็นนโยบายที่ดี แต่รัฐบาลต้องคำนึงด้วยว่า จะมีมาตรการอย่างไรที่ให้ผู้บริโภคนั้นนำเงิน 2,000 บาทไปใช้อย่างคุ้มค่าและถูกต้องตามนโยบายของรัฐ เช่นรัฐต้องกำหนดไปเลยว่าจะร่วมมือกับรีเทลเลอร์ด้านอุปโภคบริโภค เท่านั้นหรือไม่ เพราะคนอาจจะนำไปซื้ออย่างอื่นแทน หรือนำไปใช้หนี้สิน ก็ไม่เกิดประโยชน์

***รมว.แรงงานแจงงบ 24 ล้าน
กรณีคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) อนุมัติงบประมาณจำนวน 24 ล้านบาท ให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) จัดทำฐานข้อมูลและระบบซอฟต์แวร์ในการจ่ายเงินจำนวน 2,000 บาท ให้กับผู้ประกันตนที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน กล่าวว่า ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นการใช้งบประมาณในทางที่ผิด เพราะการจัดทำฐานข้อมูลให้กับคนมากถึง 8.3 ล้านคน เป็นเรื่องที่ต้องมีค่าใช้จ่าย และอยากให้มองให้กว้างขึ้นว่าเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์มากกว่า เพราะทุกอย่างต้องมีทั้งผลดีและผลเสีย และที่ผ่านมา สปส.ได้พยายามลดค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะในส่วนของค่าใช้จ่ายสำหรับการโอนเงินเข้าบัญชีผู้ประกันตนซึ่งมีการเจรจากับธนาคารสำเร็จแล้ว โดยลดลงจาก 10 บาทเหลือเพียง 5 บาทเท่านั้น

***เดินหน้า "อสม.-ผู้สูงอายุ"
รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ในระหว่างการพิจารณางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ปี2552 หากผ่านการพิจาณาจากสภาผู้แทนราษฎรในวาระ 2-3 แล้ว ขณะนี้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เริ่มจัดทำเอกสารและข้อมูลเพื่อให้บริษัทเอกชนและห้างร้านต่าง ๆ รวมทั้งอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) และผู้สูงอายุที่จะได้รับเงินช่วยเหลือค่าครองชีพในการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาลงทะเบียนเพื่อรับงบประมาณ ทั้งนี้โครงการต่าง ๆ มีรายงานละเอียดเบื้องต้นดังนี้ 1.โครงการสร้างหลักประกันด้านรายได้แก่ผู้สูงอายุ 9,000 ล้านบาท โดยผู้สูงอายุทั่วประเทศ จะต้องมาลงทะเบียนที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยต้องไปสำรวจจำนวนผู้สูงอายุและลงทะเบียนก่อนวันที่ 31 มีนาคม โดยใช้เกณฑ์ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขี้นไป เพราะรัฐบาลจะได้จัดสรรเงินให้ผู้สูงอายุคนละ 500 บาทต่อเดือน และจะจัดสรรเงินได้ในเดือนเมษายน 2552
ในเบื้องต้นกำหนดให้ผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมาลงทะเบียนที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้แก่ อบต.อบจ.และที่ทำการเขต ระหว่าง 26 กุมภาพันธ์- 15 มี.ค.นี้ เพื่อสรุปจำนวนผู้มีสิทธิรับเบี้ยผู้สูงอายุภายในวันที่ 31 มีนาคมนี้ และจะจ่ายเงินผู้มีสิทธิในปลายเดือนเมษายนนี้ ทั้งนี้ ในวันที่ 9 เมษายนนี้ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)จะจัดงานเพื่อเปิดโครงการมอบเบี้ยผู้สูงอายุ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดงาน โดยถือฤกษ์วันผู้สูงอายุแห่งชาติ หรือวันที่ 13 เมษายน เป็นการมอบเบี้ยยังชีพ
2.โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) 3,000 ล้านบาท ได้กำหนดลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ.- 17 ก.พ.นี้ โดยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและประธานชมรม อสม.ระดับตำบลทุกตำบล เป็นผู้ตรวจสอบสิทธิ รายชื่อให้ถูกต้องก่อนที่จะเสนอรายชื่อ อสม.ทั่วประเทศต่อรัฐบาล ตามนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมบทบาท อสม.ให้ปฏิบัติงานเชิงรุก ส่งเสริมสุขภาพในท้องถิ่นและชุมชน และการเฝ้าระวังโรคในชุมชนอย่างเป็นระบบ ตลอดจนเพื่อสร้างแรงจูงใจ หนุนเสริม อสม.ให้ปฏิบัติงานอย่างคล่องตัว มีประสิทธิภาพ และเป็นการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานของ อสม.ในพื้นที่จำนวน 600 บาทต่อคนต่อเดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายน 2552 โดยไม่ถือเป็นค่าจ้าง.
กำลังโหลดความคิดเห็น