ASTVผู้จัดการรายวัน – อาร์เอส วืดเป้าปี 51 หายไปเกือบ 300 ล้านบาท ทำได้เพียง 2,382 ล้านบาท ส่วนปีนี้ตั้งทัพรับศึกใหม่เชื่อเห็นผล รายได้ขยับเพิ่มขึ้น 10% มาจากดิจิตอล ทีวี และอินสโตร์มีเดีย หลังปรับตัวลดโมเดลบิซิเนสลง
นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของปี 2551 ที่ผ่านมา ยอมรับว่าต่ำกว่าเป้าที่วางไว้เกือบ 300 ล้านบาท หรือทำได้เพียง 2,382 ล้านบาท จากที่ตั้งไว้ 2,500 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุมาจากเรื่องของลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโร ที่ขาดทุนไปกว่า 300 ล้านบาท บวกกับปัจจัยหลายๆเรื่องที่รุมเร้าเข้ามาตลอดทั้งปี จึงทำให้รายได้ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้
อย่างไรก็ตามมองว่าสถานการณ์ในปีนี้ ไม่น่ากลัวเท่าปีก่อน เนื่องจากปีนี้เราพร้อมวางแผนรับมือเต็มที่ เพราะต่างทราบกันว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกจะส่งผลอย่างไรกับเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่ในปีก่อนส่วนใหญ่ปัญหาต่างๆจะเกิดขึ้นโดยเราไม่ทันทั้งตัว ซึ่งหากมองความกังวลในปีนี้แล้ว มีแค่ 2 เรื่อง คือ 1.ผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่จะเกิดขึ้น หวังว่าทางภาครัฐจะมีนโยบายต่างๆออกมาเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคกลับคืนโดยเร็ว และ2.การเมือง อยากให้รัฐบาลชุดนี้มีเวลาในการบริหารประเทศนานขึ้น ซึ่งจะช่วยในการดำเนินธุรกิจได้
สำหรับการวางแผนรับมือนั้น ในส่วนของโมเดลบิซิเนสที่วางไว้ มีทั้งหยุดดำเนินการลง เช่น อาร์เอส ไอ-ดรีม ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำเรื่องของการนำคอนเสิร์ตต่างประเทศเข้ามา ปีนี้ชะลอไว้ก่อน เพราะต้องรอดูสถานการณ์ต่างๆ โดยกลุ่มทีมงานในบิซิเนสนี้ ได้โยกไปทำงานร่วมกับทาง สกายไฮ ในการทำคอนเสิร์ตบางส่วน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มโปรดักส์ชั่นที่ยุบลง หรือกลุ่มสิ่งพิมพ์ที่ลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 100% เหลือเพียง 25%ในปีนี้ กับหนังสือพิมพ์บันเทิง ดาราเดลี่ หรือในปีก่อนมีจำนวนพนักงานหายไปเพียง 10% จาก 1,300 คนที่มีอยู่ ถือเป็นตัวเลขปกติ
ขณะที่บางส่วนได้ปรับการทำงานให้รัดกุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวไหนที่มองว่าจะสร้างกำไร ปีนี้จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย คือ 1.ดิจิตอล กับเว็บไซต์ 3 เว็บ และรายได้จากการดาวน์โหลด ปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 40% ปีนี้คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 30% ซึ่งทางบริษัทฯได้มีการลงทุนอีก 10-20ล้านบาทในการพัฒนาเว็บไซด์และระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตให้ดีขึ้น 2.รายการโทรทัศน์ มีทั้งลดรายการที่ไม่สร้างกำไร และเพิ่มรายการกลุ่มทีนใหม่อีก 2 รายการในปีนี้ โดยได้เวลาในช่วงไพร์มไทม์ หรือในปีนี้มีทั้งหมด 8 รายการ คาดว่าจะเติบโตขึ้นถึง 80% ซึ่งเป็นการเติบโตจากรายการใหม่เป็นหลัก
3.สื่ออินสโตร์ มีเดีย จากเดิมในปีก่อนอาร์เอสได้สัมปทานสื่อดังกล่าวภายในห้างค้าปลีกอย่างบิ๊กซี คาร์ฟูร์ เทสโก้โลตัส และท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ปีนี้ได้ลงทุนเพิ่มอีก 50-60 ล้านบาทในการเพิ่มจอภาพเข้าไปติดตั้งในบิ๊กซี คาร์ฟูร์ และท็อปส์ อย่างละ 10 สาขา คาดว่าจะเป็นช่องทางการโฆษณาใหม่ๆที่ลูกค้าจะหันมาใช้มากขึ้น เพราะราคาบริการอยู่ในระดับแมกกาซีน แต่ผลตอบรับที่ได้จะใกล้เคียงกับสื่อทีวี คาดว่าจะมีการเติบโตถึง90%จากปีก่อน
ส่วนการลงทุนใหม่นั้น ปีนี้ทางบริษัทฯยังมีแผนที่จะเพิ่มสนามเอส-วัน ขึ้นมาอีก 2 แห่ง โดยขณะนี้ขอศึกษาทั้งสถานที่ และพาร์ทเนอร์ที่จะเข้าร่วม รวมไปถึงขอดูสถานการณ์ต่างๆในประเทศด้วย ขณะที่การลงทุนเปิดสนามเอส-วันขึ้นใหม่นั้น จะอยู่ที่ 90 ล้านบาทต่อสนาม ซึ่งสำหรับเอส-วัน ที่เปิดช่วงกลางปี 2551 ที่ผ่านมา ขณะนี้สร้างรายได้แล้วถึง 25 ล้านบาท จากแผนที่วางไว้ว่าต่อปีควรจะสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
นายสุรชัย กล่าวต่อว่า จากแผนการดำเนินงานที่วางไว้อย่างรัดกุมนี้ มั่นใจว่าอย่างน้อยอาร์เอส น่าจะมีการเติบโตขึ้น 10% รวมแล้วน่าจะมีรายได้รวมที่ 2,600 ล้านบาท จาก 2,382 ล้านบาทในปีก่อน มาจากคอนเท้นท์ 66% และมีเดีย 34% โดยกลุ่มคอนเท้นท์ แบ่งออกได้เป็น มิวสิค 16% ดิจิตอล 15%โชว์บิซ 26% และฟิล์ม 8% ส่วนมีเดียนั้นมาจากทีวี 11% เรดิโอ 13% และสื่ออินสโตร์ 10%
นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของปี 2551 ที่ผ่านมา ยอมรับว่าต่ำกว่าเป้าที่วางไว้เกือบ 300 ล้านบาท หรือทำได้เพียง 2,382 ล้านบาท จากที่ตั้งไว้ 2,500 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุมาจากเรื่องของลิขสิทธิ์ฟุตบอลยูโร ที่ขาดทุนไปกว่า 300 ล้านบาท บวกกับปัจจัยหลายๆเรื่องที่รุมเร้าเข้ามาตลอดทั้งปี จึงทำให้รายได้ต่ำกว่าเป้าที่วางไว้
อย่างไรก็ตามมองว่าสถานการณ์ในปีนี้ ไม่น่ากลัวเท่าปีก่อน เนื่องจากปีนี้เราพร้อมวางแผนรับมือเต็มที่ เพราะต่างทราบกันว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกจะส่งผลอย่างไรกับเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่ในปีก่อนส่วนใหญ่ปัญหาต่างๆจะเกิดขึ้นโดยเราไม่ทันทั้งตัว ซึ่งหากมองความกังวลในปีนี้แล้ว มีแค่ 2 เรื่อง คือ 1.ผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่จะเกิดขึ้น หวังว่าทางภาครัฐจะมีนโยบายต่างๆออกมาเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคกลับคืนโดยเร็ว และ2.การเมือง อยากให้รัฐบาลชุดนี้มีเวลาในการบริหารประเทศนานขึ้น ซึ่งจะช่วยในการดำเนินธุรกิจได้
สำหรับการวางแผนรับมือนั้น ในส่วนของโมเดลบิซิเนสที่วางไว้ มีทั้งหยุดดำเนินการลง เช่น อาร์เอส ไอ-ดรีม ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำเรื่องของการนำคอนเสิร์ตต่างประเทศเข้ามา ปีนี้ชะลอไว้ก่อน เพราะต้องรอดูสถานการณ์ต่างๆ โดยกลุ่มทีมงานในบิซิเนสนี้ ได้โยกไปทำงานร่วมกับทาง สกายไฮ ในการทำคอนเสิร์ตบางส่วน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มโปรดักส์ชั่นที่ยุบลง หรือกลุ่มสิ่งพิมพ์ที่ลดสัดส่วนการถือหุ้นจาก 100% เหลือเพียง 25%ในปีนี้ กับหนังสือพิมพ์บันเทิง ดาราเดลี่ หรือในปีก่อนมีจำนวนพนักงานหายไปเพียง 10% จาก 1,300 คนที่มีอยู่ ถือเป็นตัวเลขปกติ
ขณะที่บางส่วนได้ปรับการทำงานให้รัดกุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวไหนที่มองว่าจะสร้างกำไร ปีนี้จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย คือ 1.ดิจิตอล กับเว็บไซต์ 3 เว็บ และรายได้จากการดาวน์โหลด ปีที่ผ่านมาเติบโตถึง 40% ปีนี้คาดว่าจะไม่ต่ำกว่า 30% ซึ่งทางบริษัทฯได้มีการลงทุนอีก 10-20ล้านบาทในการพัฒนาเว็บไซด์และระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตให้ดีขึ้น 2.รายการโทรทัศน์ มีทั้งลดรายการที่ไม่สร้างกำไร และเพิ่มรายการกลุ่มทีนใหม่อีก 2 รายการในปีนี้ โดยได้เวลาในช่วงไพร์มไทม์ หรือในปีนี้มีทั้งหมด 8 รายการ คาดว่าจะเติบโตขึ้นถึง 80% ซึ่งเป็นการเติบโตจากรายการใหม่เป็นหลัก
3.สื่ออินสโตร์ มีเดีย จากเดิมในปีก่อนอาร์เอสได้สัมปทานสื่อดังกล่าวภายในห้างค้าปลีกอย่างบิ๊กซี คาร์ฟูร์ เทสโก้โลตัส และท็อปส์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ปีนี้ได้ลงทุนเพิ่มอีก 50-60 ล้านบาทในการเพิ่มจอภาพเข้าไปติดตั้งในบิ๊กซี คาร์ฟูร์ และท็อปส์ อย่างละ 10 สาขา คาดว่าจะเป็นช่องทางการโฆษณาใหม่ๆที่ลูกค้าจะหันมาใช้มากขึ้น เพราะราคาบริการอยู่ในระดับแมกกาซีน แต่ผลตอบรับที่ได้จะใกล้เคียงกับสื่อทีวี คาดว่าจะมีการเติบโตถึง90%จากปีก่อน
ส่วนการลงทุนใหม่นั้น ปีนี้ทางบริษัทฯยังมีแผนที่จะเพิ่มสนามเอส-วัน ขึ้นมาอีก 2 แห่ง โดยขณะนี้ขอศึกษาทั้งสถานที่ และพาร์ทเนอร์ที่จะเข้าร่วม รวมไปถึงขอดูสถานการณ์ต่างๆในประเทศด้วย ขณะที่การลงทุนเปิดสนามเอส-วันขึ้นใหม่นั้น จะอยู่ที่ 90 ล้านบาทต่อสนาม ซึ่งสำหรับเอส-วัน ที่เปิดช่วงกลางปี 2551 ที่ผ่านมา ขณะนี้สร้างรายได้แล้วถึง 25 ล้านบาท จากแผนที่วางไว้ว่าต่อปีควรจะสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
นายสุรชัย กล่าวต่อว่า จากแผนการดำเนินงานที่วางไว้อย่างรัดกุมนี้ มั่นใจว่าอย่างน้อยอาร์เอส น่าจะมีการเติบโตขึ้น 10% รวมแล้วน่าจะมีรายได้รวมที่ 2,600 ล้านบาท จาก 2,382 ล้านบาทในปีก่อน มาจากคอนเท้นท์ 66% และมีเดีย 34% โดยกลุ่มคอนเท้นท์ แบ่งออกได้เป็น มิวสิค 16% ดิจิตอล 15%โชว์บิซ 26% และฟิล์ม 8% ส่วนมีเดียนั้นมาจากทีวี 11% เรดิโอ 13% และสื่ออินสโตร์ 10%