ASTVผู้จัดการรายวัน - วิริยะประกันภัยปรับกลยุทธปี52 เน้นเพิ่มประสิทธิภาพ ปรับระบบเทคโนโลยี แต่ไม่เพิ่มบุคลากร เพื่อรองรับเศรษฐกิจถดถอยและต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น ยันแม้ยอดขายรถลดลงแต่อู่ซ่อมรถยังแข็งแกร่งและยังไม่มีรายใดขาดสภาพคล่อง
นายวรกุล บุณยัษฐิติ กรรมการรองผู้จัดการ บริษัท อู่วิกรม จำกัด ในฐานะประธานชมรมศูนย์ซ่อมมาตรฐานวิริยะประกันภัย ภาค6 เปิดเผยว่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้จะถดถอย แต่อู่ซ่อมรถในเครือวิริยะทุกแห่งยังคงมีสภาพคล่องที่ดี และส่วนใหญ่ยังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง เนื่องจากดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลานาน จึงมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว และทางวิริยะยังไม่เคยมีหนี้คงค้างกับอู่รถแห่งใดทั้งสิ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการอู่รถทุกรายที่เป็นอู่ซ่อมรถในเครือวิริยะก็ต้องดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและทำให้ตัวเองมีความแข็งแกร่งต่อไป เพราะจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาก็ส่งผลกระทบต่ออู่ซ่อมรถค่อนข้างมากทั้งในเรื่องของปริมาณงานและต้นทุนในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น
ส่วนนโยบายในการดำเนินธุรกิจของวิริยะในปีนี้ จะให้ความสำคัญกับการปรับยุทธศาสตร์ การดำเนินธุรกิจแนวใหม่ โดยหันมาเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ให้มีความรวดเร็ว เพื่อที่จะสามารถรับงานได้มากกว่าเดิม โดยที่ไม่ต้องเพิ่มจำนวนบุคลากร แต่จะนำระบบเครื่องมือที่ทันสมัยมาใช้ในการทำงาน เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น
"ในปีนี้คงเน้นด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน โดยมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยเข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถรับงานได้เพิ่มขึ้น แต่ยังคงจำนวนบุคลากรไว้เท่าเดิม เพื่อเป็นการชดเชยกับต้นทุนต่างๆที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนค่าแรงงานอยู่ที่ 40-50% ค่าอุปกรณ์ 20-25% ที่เหลือเป็นค่าบริหารจัดการทั่วไป หรือสรุปได้ว่าหากไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ก็ต้องเพิ่มรายรับ คือต้องซ่อมให้เร็วขึ้น เพื่อรับรถได้มากขึ้น เพราะส่วนต่างในปัจจุบันไม่ได้สูงเหมือนในอดีตแล้ว"
ส่วนกรณีที่ยอดขายรถยนต์ในปัจจุบันได้ปรับตัวลดลงนั้น ขณะนี้ยังไม่ส่งผลกระทบต่ออู่ซ่อมรถ เพราะปัจจุบันอู่ซ่อมรถจะมีลูกค้าที่ซื้อรถมาแล้ว 3-4 ปีขึ้นไปมาใช้บริการ ส่วนรถยนต์ใหม่จะไปใช้บริการซ่อมกับศูนย์มากกว่า อย่างกรณีของอู่วิกรม ในปีนี้ก็ให้น้ำหนักกับการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้รวดเร็วกว่าเดิม อะไรที่ใช้เครื่องทุ่นแรงได้ก็จะนำมาใช้ อย่างเช่นกรณีที่จะนำสีสูตรน้ำมาใช้ในอีก 2 เดือนข้างหน้าแม้ว่าราคาสูงกว่าเดิมแต่ก็ทำให้มีความรวดเร็วในการดำเนินงาน ซึ่งโดยรวมแล้วทำให้ต้นทุนลดลง เพราะทำงานได้เร็วกว่าเดิม20-30% ซึ่งจะทำให้สามารถรองรับรถที่มาทำสีจาก 120 คันต่อเดือน เป็น 140 คันต่อเดือน ซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ นโยบายหลักของวิริยะคือเน้นเรื่องบริการหลังการขาย และการพัฒนาศูนย์ซ่อมมาตรฐานวิริยะให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศกว่า 400 แห่ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในการบริการด้านการซ่อม ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ศูนย์สินไหมที่มีอยู่ทั่วประเทศ 80 แห่งสามารถอนุมัติสินไหมได้ไม่จำกัดวงเงิน โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์มาใช้การทำงาน ซึ่งจะเป็นการรักษาส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทให้อยู่ในอันดับ 1 ต่อไป
นายวรกุล บุณยัษฐิติ กรรมการรองผู้จัดการ บริษัท อู่วิกรม จำกัด ในฐานะประธานชมรมศูนย์ซ่อมมาตรฐานวิริยะประกันภัย ภาค6 เปิดเผยว่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้จะถดถอย แต่อู่ซ่อมรถในเครือวิริยะทุกแห่งยังคงมีสภาพคล่องที่ดี และส่วนใหญ่ยังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง เนื่องจากดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลานาน จึงมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว และทางวิริยะยังไม่เคยมีหนี้คงค้างกับอู่รถแห่งใดทั้งสิ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการอู่รถทุกรายที่เป็นอู่ซ่อมรถในเครือวิริยะก็ต้องดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวังและทำให้ตัวเองมีความแข็งแกร่งต่อไป เพราะจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาก็ส่งผลกระทบต่ออู่ซ่อมรถค่อนข้างมากทั้งในเรื่องของปริมาณงานและต้นทุนในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น
ส่วนนโยบายในการดำเนินธุรกิจของวิริยะในปีนี้ จะให้ความสำคัญกับการปรับยุทธศาสตร์ การดำเนินธุรกิจแนวใหม่ โดยหันมาเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ให้มีความรวดเร็ว เพื่อที่จะสามารถรับงานได้มากกว่าเดิม โดยที่ไม่ต้องเพิ่มจำนวนบุคลากร แต่จะนำระบบเครื่องมือที่ทันสมัยมาใช้ในการทำงาน เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น
"ในปีนี้คงเน้นด้านการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงาน โดยมีอุปกรณ์ที่ทันสมัยเข้ามาช่วย เพื่อให้สามารถรับงานได้เพิ่มขึ้น แต่ยังคงจำนวนบุคลากรไว้เท่าเดิม เพื่อเป็นการชดเชยกับต้นทุนต่างๆที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะต้นทุนค่าแรงงานอยู่ที่ 40-50% ค่าอุปกรณ์ 20-25% ที่เหลือเป็นค่าบริหารจัดการทั่วไป หรือสรุปได้ว่าหากไม่สามารถลดค่าใช้จ่ายได้ก็ต้องเพิ่มรายรับ คือต้องซ่อมให้เร็วขึ้น เพื่อรับรถได้มากขึ้น เพราะส่วนต่างในปัจจุบันไม่ได้สูงเหมือนในอดีตแล้ว"
ส่วนกรณีที่ยอดขายรถยนต์ในปัจจุบันได้ปรับตัวลดลงนั้น ขณะนี้ยังไม่ส่งผลกระทบต่ออู่ซ่อมรถ เพราะปัจจุบันอู่ซ่อมรถจะมีลูกค้าที่ซื้อรถมาแล้ว 3-4 ปีขึ้นไปมาใช้บริการ ส่วนรถยนต์ใหม่จะไปใช้บริการซ่อมกับศูนย์มากกว่า อย่างกรณีของอู่วิกรม ในปีนี้ก็ให้น้ำหนักกับการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้รวดเร็วกว่าเดิม อะไรที่ใช้เครื่องทุ่นแรงได้ก็จะนำมาใช้ อย่างเช่นกรณีที่จะนำสีสูตรน้ำมาใช้ในอีก 2 เดือนข้างหน้าแม้ว่าราคาสูงกว่าเดิมแต่ก็ทำให้มีความรวดเร็วในการดำเนินงาน ซึ่งโดยรวมแล้วทำให้ต้นทุนลดลง เพราะทำงานได้เร็วกว่าเดิม20-30% ซึ่งจะทำให้สามารถรองรับรถที่มาทำสีจาก 120 คันต่อเดือน เป็น 140 คันต่อเดือน ซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ นโยบายหลักของวิริยะคือเน้นเรื่องบริการหลังการขาย และการพัฒนาศูนย์ซ่อมมาตรฐานวิริยะให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศกว่า 400 แห่ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในการบริการด้านการซ่อม ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ศูนย์สินไหมที่มีอยู่ทั่วประเทศ 80 แห่งสามารถอนุมัติสินไหมได้ไม่จำกัดวงเงิน โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์มาใช้การทำงาน ซึ่งจะเป็นการรักษาส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทให้อยู่ในอันดับ 1 ต่อไป