ASTVผู้จัดการรายวัน- สมาคมธนาคารไทย ยืนยัน ศักยภาพแบงก์ไทยยังเข้มแข็ง ไม่ได้รับกระทบจากวิกฤตการเงินมากนัก เพียงแต่ต้องคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มส่งออก เพราะแนวโน้มหนี้เสียเริ่มมีเพิ่มขึ้น ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูงต่อไป เหตุต้นทุนทางการเงินมีมากกว่าดอกเบี้ยจ่าย "ก้องเกียรติ"แนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยง ต้องมีมั้งหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตร ทองคำ รวมทั้งมีฝากแบงก์ในบางส่วน ส่วนภาพรวมวิกฤตโลกต้องใช้เวลาปีกว่าถึงจะฟื้นตัว
นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าว ในงานสัมมนาเรื่อง "จะอยู่หรือไป เศรษฐกิจไทยปี 2552"ว่า ส่วนตัวยังไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะใช้เวลาฟื้นตัวได้เร็วในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่งกรณีของสหรัฐฯ ที่ใช้งบประมาณกว่า 8 แสนล้านดอลลาร์ ฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น หากได้ผลคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวได้ในปีนี้ แต่เศรษฐกิจไทย คาดว่าจะดีขึ้นในปี 2553
ทั้งนี้ในส่วนของภาคธนาคารพาณิชย์ ยังมีความเข้มแข็ง และไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติการเงินโลก แต่จากปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบภาคอุตสาหกรรม การลงทุน ทำให้ ธนาคารพาณิชย์ ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะในภาคการส่งออก ที่จะพิจารณาสินเชื่อเข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาหนีเสีย (NPL) ซึ่งยอมรับว่า เริ่มมีสัญญาณการเกิดหนี้เสียมากขึ้นแล้ว ณ ขณะนี้
ดังนั้น ในปี2552 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (สเปรด)ในระบบธนาคารพาณิชย์ ยังอยู่ในระดับสูงต่อไป เพราะต้นทุนการเงินของธนาคาร ไม่ได้มีเพียงดอกเบี้ยจ่ายเท่านั้น แต่ยังมีภาระการตั้งสำรองหนี้ของธนาคารพาณิชย์ จากการเกิดปัญหา NPL นอกจากนี้ยังมีต้นทุนจากมาตรการกำกับดูแลและต้นทุนตามกฎหมาย ทั้งการส่งเงินเข้าสถาบันประกันเงินฝาก 40 สต./เงินฝาก 100 บาท/ปี ซึ่งสูงเมื่อเทียบต่างประเทศ รวมทั้งการเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ 3% จากรายได้ดอกเบี้ย นอกเหนือจากการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังนั้น ต้นทุนของธนาคารพาณิชย์ จะอยู่สูงถึง 1.5-2%
เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เสนอแนะลูกค้าและผู้ลงทุนว่า หากยังมีความสามารถในการชำระหนี้ ให้คงชำระหนี้ตามกำหนดต่อไป เพราะประวัติการชำระหนี้ เป็นเรื่องสำคัญทั้งในแง่ของลูกค้า และธนาคาร
ด้านนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ นายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทย คงขึ้นอยู่กับ เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจของตลาดโลก ซึ่งหลายฝ่ายหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มฟื้นได้ในช่วงปลายปีนี้ ทั้งนี้ ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มองว่า ปีนี้คงไม่ตกต่ำเหมือนปีที่ผ่านมา เนื่องจากหลังจากตั้งแต่ตุลาคม2551 ที่เกิดปัญหาซับไพร์ม และลุกลามเป็นวิกฤติการเงิน ตลาดหุ้นทั่วโลกได้มีการปรับตัวรับข่าวไปแล้ว จนมูลค่าทรัพย์สินได้ปรับลดลงมามาก นักลงทุน และกองทุนต่างๆ ได้รับรู้ผลขาดทุนจากการลงทุนไปแล้ว ดังนั้น เห็นว่าในปี 52 จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นได้ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่สดใสเท่าใดนัก
โดยขณะนี้สัญญาณการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มีหุ้นราคาถูกเป็นจำนวนมาก เกินกว่า 200 บริษัท ที่น่าลงทุน เพราะมีราคาต่ำกว่าราคาทางบัญชี ขณะที่คาดการณ์ปีนี้เชื่อว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ย จะติดลบที่ 7-8% โดยที่ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 470-590 จุด และค่า P/E อยู่ที่ 8-10 เท่า
"หุ้นเมืองไทยมีหลายตัวที่น่าลงทุน เพียงแต่ต้องเลือกลงทุนให้เป็น แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่สดใส แต่ก็เห็นว่ตอนนี้ มีหุ้นราคาถูก ซึ่งถือเป็นหุ้นราคาเถ้าแก่ ที่สามารถเข้าไปซื้อขายในตลาดได้" นายก้องเกียรติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายก้องเกียรติ แนะนำนักลงทุนว่า การลงทุนในช่วงเศรษฐกิจขณะนี้ อาจจะมีความซับซ้อนมากขึ้น นักลงทุน ควรเลือกกระจายการลงทุน ทั้งในหุ้น หุ้นกู้ที่มีเรทติ้งที่ดี พันธบัตรรัฐบาล และทองคำ แต่ขณะเดียวกัน ควรแบ่งเงินส่วนหนึ่งฝากเงินไว้ที่ธนาคารพาณิชย์ เพื่อเป็นสภาพคล่องไว้ใช้จ่ายยามจำเป็นเช่นกัน แม้จะมีผลตอบแทนต่ำ แต่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด อีกทั้งยังได้รับการคุ้มครองเงินฝากได้เต็มจำนวน
ด้านนายมังกร ธนสารศิลป์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกต้องใช้เวลาเป็นอีกปีกว่าถึงจะฟื้นตัว ซึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักคือ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบไม่มาก คือ อาหาร สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ขณะที่อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากวิกฤตินี้ คืออุตสาหกรรมที่มีฐานลูกค้าในประเทศ
นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าว ในงานสัมมนาเรื่อง "จะอยู่หรือไป เศรษฐกิจไทยปี 2552"ว่า ส่วนตัวยังไม่เชื่อว่าเศรษฐกิจโลกจะใช้เวลาฟื้นตัวได้เร็วในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่งกรณีของสหรัฐฯ ที่ใช้งบประมาณกว่า 8 แสนล้านดอลลาร์ ฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น หากได้ผลคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวได้ในปีนี้ แต่เศรษฐกิจไทย คาดว่าจะดีขึ้นในปี 2553
ทั้งนี้ในส่วนของภาคธนาคารพาณิชย์ ยังมีความเข้มแข็ง และไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติการเงินโลก แต่จากปัญหาเศรษฐกิจที่กระทบภาคอุตสาหกรรม การลงทุน ทำให้ ธนาคารพาณิชย์ ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะในภาคการส่งออก ที่จะพิจารณาสินเชื่อเข้มงวดมากขึ้น เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาหนีเสีย (NPL) ซึ่งยอมรับว่า เริ่มมีสัญญาณการเกิดหนี้เสียมากขึ้นแล้ว ณ ขณะนี้
ดังนั้น ในปี2552 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (สเปรด)ในระบบธนาคารพาณิชย์ ยังอยู่ในระดับสูงต่อไป เพราะต้นทุนการเงินของธนาคาร ไม่ได้มีเพียงดอกเบี้ยจ่ายเท่านั้น แต่ยังมีภาระการตั้งสำรองหนี้ของธนาคารพาณิชย์ จากการเกิดปัญหา NPL นอกจากนี้ยังมีต้นทุนจากมาตรการกำกับดูแลและต้นทุนตามกฎหมาย ทั้งการส่งเงินเข้าสถาบันประกันเงินฝาก 40 สต./เงินฝาก 100 บาท/ปี ซึ่งสูงเมื่อเทียบต่างประเทศ รวมทั้งการเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ 3% จากรายได้ดอกเบี้ย นอกเหนือจากการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังนั้น ต้นทุนของธนาคารพาณิชย์ จะอยู่สูงถึง 1.5-2%
เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เสนอแนะลูกค้าและผู้ลงทุนว่า หากยังมีความสามารถในการชำระหนี้ ให้คงชำระหนี้ตามกำหนดต่อไป เพราะประวัติการชำระหนี้ เป็นเรื่องสำคัญทั้งในแง่ของลูกค้า และธนาคาร
ด้านนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ นายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า เศรษฐกิจไทย คงขึ้นอยู่กับ เศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจของตลาดโลก ซึ่งหลายฝ่ายหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเริ่มฟื้นได้ในช่วงปลายปีนี้ ทั้งนี้ ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มองว่า ปีนี้คงไม่ตกต่ำเหมือนปีที่ผ่านมา เนื่องจากหลังจากตั้งแต่ตุลาคม2551 ที่เกิดปัญหาซับไพร์ม และลุกลามเป็นวิกฤติการเงิน ตลาดหุ้นทั่วโลกได้มีการปรับตัวรับข่าวไปแล้ว จนมูลค่าทรัพย์สินได้ปรับลดลงมามาก นักลงทุน และกองทุนต่างๆ ได้รับรู้ผลขาดทุนจากการลงทุนไปแล้ว ดังนั้น เห็นว่าในปี 52 จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะทำกำไรจากการลงทุนในหุ้นได้ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไม่สดใสเท่าใดนัก
โดยขณะนี้สัญญาณการลงทุนในตลาดหุ้นไทย มีหุ้นราคาถูกเป็นจำนวนมาก เกินกว่า 200 บริษัท ที่น่าลงทุน เพราะมีราคาต่ำกว่าราคาทางบัญชี ขณะที่คาดการณ์ปีนี้เชื่อว่า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ย จะติดลบที่ 7-8% โดยที่ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 470-590 จุด และค่า P/E อยู่ที่ 8-10 เท่า
"หุ้นเมืองไทยมีหลายตัวที่น่าลงทุน เพียงแต่ต้องเลือกลงทุนให้เป็น แม้ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่สดใส แต่ก็เห็นว่ตอนนี้ มีหุ้นราคาถูก ซึ่งถือเป็นหุ้นราคาเถ้าแก่ ที่สามารถเข้าไปซื้อขายในตลาดได้" นายก้องเกียรติ กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายก้องเกียรติ แนะนำนักลงทุนว่า การลงทุนในช่วงเศรษฐกิจขณะนี้ อาจจะมีความซับซ้อนมากขึ้น นักลงทุน ควรเลือกกระจายการลงทุน ทั้งในหุ้น หุ้นกู้ที่มีเรทติ้งที่ดี พันธบัตรรัฐบาล และทองคำ แต่ขณะเดียวกัน ควรแบ่งเงินส่วนหนึ่งฝากเงินไว้ที่ธนาคารพาณิชย์ เพื่อเป็นสภาพคล่องไว้ใช้จ่ายยามจำเป็นเช่นกัน แม้จะมีผลตอบแทนต่ำ แต่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด อีกทั้งยังได้รับการคุ้มครองเงินฝากได้เต็มจำนวน
ด้านนายมังกร ธนสารศิลป์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกต้องใช้เวลาเป็นอีกปีกว่าถึงจะฟื้นตัว ซึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหนักคือ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบไม่มาก คือ อาหาร สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ขณะที่อุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากวิกฤตินี้ คืออุตสาหกรรมที่มีฐานลูกค้าในประเทศ