ASTVผู้จัดการรายวัน – “อภิสิทธิ์” ขอ 3 วันตัดสินใจอนาคต รมต.ที่ถูกกล่าวหากระทำผิด ยันยึดประโยชน์ส่วนรวมและหลัก 9 ข้อที่ได้ประกาศไว้ ส่วนกรณี “สุเทพ” ถูก กกต.ชี้มูล คดียังไม่สิ้นสุด เจ้าตัวยันไม่ได้ช่วยน้องชายให้ได้รับเลือก นายก อบจ.สุราษฎร์ ตามที่ถูกกล่าวหา งง! กกต.เพิ่งปูดข่าวถูกดำเนินคดีอาญา ทั้งที่เป็นเรื่องเก่า แถมคดียังไม่สิ้นสุด ลั่นไม่คิดสร้างมาตรฐานพิสดารลาออกทั้งที่ยังไม่มีความผิด เผย “สุเทพ” อาจหลุดอาญา เหตุ กกต.ไม่เรียกไปชี้แจงก่อนวินิจฉัย ขณะที่ “สุเมธ” ปฏิเสธอุ้ม “บุญจง” บอกตอนวินิจฉัยไม่ให้ราคาเพราะเป็นแค่ผู้สมัครสอบตก
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอยืนยันคำพูดที่เคยบอกว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 3 วันในการพิจารณาประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับรัฐมนตรีในรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกรทะรวงมหาดไทยและนายวิฑูรย์ นามบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเมื่อครบเวลาแล้วก็จะเรียนให้ทราบ
ผู้สื่อข่าวถามว่าผลที่ออกมาประชาชนจะพอใจใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เมื่อถึงเวลาแล้วจะเรียนให้ทราบ เมื่อถามว่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่ให้กับสังคมหรือดีที่สุดสำหรับรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ก็ยังย้ำคำเดิมว่า ครบเวลาแล้วจะเรียนให้ทราบ โดยยึดประโยชน์ของส่วนรวม และอยู่ในหลักการ 9 ข้อ ที่ได้ประกาศเอาไว้ในการทำงานร่วมกันในคณะรัฐมนตรี ส่วนจะเป็นอย่างไรจะแจ้งให้ทราบ
ส่วนกรณีของของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นการร้องเรียนในช่วงของการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ซึ่งถ้าเข้าใจไม่ผิดเป็นเรื่องไปจัดกิจกรรม หรือไปร่วมกิจกรรมวันสงกรานต์ อย่างไรก็ตาม กระบวนการขึ้นอยู่กับทางศาลอุทธรณ์เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในกรณีของนายกฯอบจ.อย่างไรแล้วก็จะส่งเรื่องกลับมายัง กกต.เพื่อพิจารณาในเรื่องของคดีอาญาตามกฎหมายต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบว่า ข้อยุติในส่วนของศาลอุทธรณ์ก็ดีและการดำเนินงานในส่วนของ กกต.ก็ดีเป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่ามติ กกต.จะมีผลเหมือนมติของ ป.ป.ช.ที่ผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาจะต้องสร้างมาตรฐานทางการเมืองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่ามติกกต.ขณะนี้จะเป็นเรื่องของผู้สมัคร ยังไม่ได้ดำเนินคดีอาญากับนายสุเทพ ซึ่งยังมีขั้นตอนอีกมาก คือศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยเสร็จแล้วก็กลับไปที่กกต. กกต.ก็ต้องสอบสวนอะไรต่างๆ และตนเข้าใจว่านายสุเทพยังไม่ได้มีโอกาสไปชี้แจงข้อเท็จจริงเลย เพราะว่าคดีนี้เป็นคดีเลือกตั้ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประกาศผลการเลือกตั้งหรือจะสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือจะเพิกถอนสิทธิ์นายกฯอบจ.
ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่าไม่มีใครจะต้องออกจากตำแหน่งในขณะนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีอะไร ต้องรอให้กระบวนการทุกอย่างเดินไปและมีความชัดเจนมากกว่านี้
ส่วนที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สว.สรรหาจะยื่น ป.ป.ช.เอาผิด 3 รัฐมนตรี ที่ยกลงมือลงคะแนนในการผ่าน ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็อยู่ที่การตัดสินของ ป.ป.ช. เป็นเรื่องความเห็นทางกฎหมาย เพราะว่าข้อเท็จจริงก็เป็นข้อเท็จจริง
ผู้สื่อข่าวถามว่านายกรัฐมนตรีจะกล้าตัดสินใจในการเปลี่ยนแปลงในส่วนที่จะทำให้เกิดผลกระทบกับรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยืนยันเหมือนเดิมว่าตัดสินใจเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
**”เทพเทือก”ปัดทุจริตเลือกตั้ง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ากรณีที่ กกต.ระบุว่ากำลังดำเนินคดีอาญากับตนฐานจูงใจทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง นายก อบจ.สุราษฎรธานีนั้น เป็นเรื่องเก่าก่อนจัดตั้งรัฐบาล ซึ่ง กกต.ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับการเลือกตั้งนายก อบจ.สุราษฎร์ธานี ส่วนที่เกี่ยวข้องกับตนเพราะเป็น ส.ส.ในพื้นที่เขต 1 ที่เพิ่งย้ายในลงสมัคร และมีการจัดงานวันสงกรานต์ ที่ ต.หน้าทอน อ.เกาะสมุย จึงไปกับ นายชุมพล กาญจนะ และนายประพันธ์ นิลวัชรมณี ส.ส.ด้วยกัน มีการทำบุญ และแจกผ้าขนหนูที่มีชื่อของ ส.ส.ทั้ง 3 คน จากนั้นก็เดินทางกลับ ไม่มีการปราศรัยใดๆ
“ต่อมามีคนไปร้องเรียน นายธานี เทือกสุบรรณ น้องชายของตนซึ่งลงรับสมัครนายกฯอบจ.สุราษฎร์ ว่าที่ผมไปร่วมงานสงกรานต์ทำให้มีผลได้ ผลเสียต่อคะแนนของน้องชายผม ซึ่งน้องชายผมก็ไม่ได้เดินทางไปด้วย แต่ถ้าจะเอาเรื่องทำบุญสงกรานต์ว่ามีผลต่อคะแนน คนแค่หยิบมือเดียว แต่คะแนนของนายธานีได้เกือบสองแสนคะแนนก็ไม่น่าจะมีผล”
นายสุเทพ กล่าวว่า ที่ร้องว่ามีการแจกทุนการศึกษานั้น เป็นข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จ เพราะตนไม่เคยไปแจกทุนการศึกษาที่เกาะสมุยเลย เพราะช่วงหลังกฎหมายห้ามว่า คนเป็น ส.ส.ให้เงินใครเกิน 3 พันบาทไม่ได้ ส่วนนายธานีให้ทุนการศึกษาในนามนายก อบจ.ในช่วงที่เขายังเป็นนายกฯอยู่ ซึ่งอนุกรรมการสอบสวนของ กกต.ก็ยกคำร้องไปแล้ว เข้าใจว่าการให้ข่าวของกกต.คงจะสับสน แต่มาขณะนี้กลับมีคนมาสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับตน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในระยะนี้แน่นอนเพราะเรื่องกกต.ต้องสรุปสำนวนใบเหลืองกับน้องชายของตน โดยไปยื่นคำร้องกับศาลอุธรณ์ ถ้าศาลพิจารณาและมีคำพิพากษาออกมาให้ใบเหลืองกับน้องชายตน โดยต้องมีการเลือกตั้งใหม่ เมื่อถึงตอนนั้น กกต.ค่อยมาตั้งเรื่องการดำเนินคดีอาญากับตนในข้อหาทำผิดกฎหมายเลือกตั้งได้ ซึ่งยืนยันว่าจะสู้คดีว่าการที่ไปทำบุญในงาน ประเพณีสงกรานต์จะผิดกกหมายเลือกตั้งอย่างไร ซึ่งจะต้องสู้กัน 3 ศาลจนถึงฎีกา
**ไม่พิสดารสร้างมาตรฐานอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะพิจารณาลาออกจากตำแหน่งเพื่อสร้างมาตรฐาน ทางการเมืองหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนคงไม่ไปสร้างมาตรฐานพิสดารอะไรขนาดนั้น เป็นเรื่องไปทำบุญตามประเพณี ไม่ได้ไปทำผิดกฎหมายอะไร หรือไปฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ได้ทำให้ประชาชนเดือนร้อนอะไร และยังเป็นปัญหาที่ต้องตีความกันอีกว่า การไปทำบุญในตามประเพณีมันผิดหรือไม่ อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า เกรงว่าจะมีคนเปรียบเทียบกับกรณีของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม. หรือไม่ นายสุเทพ ตอบว่า มันเป็นคนละเรื่องและคนละประเด็นกัน ถ้าเป็นการใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน เรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน อาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ป.ป.ช.ชี้มูล แต่นี่เป็นเรื่องการเลือกตั้งของ กกต.
ต่อข้อถามว่าว่าหนักใจหรือไม่เพราะมีตำแหน่งเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี หากถูกดำเนินคดีอาญาอาจต้องหลุดจากตำแหน่งได้ นายสุเทพตอบว่า ไม่หนักใจเพราะคำว่าคดีอาญาต้องดูว่าเป็นคดีอะไร เพราะคดีขับรถชนคนก็ถือเป็นคดีอาญา มันไม่จำเป็นต้องออกจากตำแหน่ง และกรณีนี้ก็อยากที่จะพิสูจน์ความจริงในศาลยุติธรรม เพราะมั่นใจว่าสามารถชี้แจงกับประชาชนได้ และได้รายงานเรื่องนี้กับนายกฯแล้ว ซึ่งนายกฯก็เข้าใจ แต่ยอมรับว่าต่อจากนี้ก็ต้องระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก่อน กกต.ลงมติไม่เคยเรียกไปชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาอะไรเลย
**ไม่ติดใจกกต.เพิ่งปูดข่าวในช่วงนี้
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า สงสัยหรือไม่เพราะอะไร กกต.มีมติมาตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. 2551 แต่เพิ่งมาเปิดเผยข้อมูลในช่วงนี้ เหมือนมีเจตนาที่จะเขย่าเสถียรภาพของรัฐบาล นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่เป็นไร ตนไม่คิดมากและไม่สงสัย กกต.คนไหน ถือว่า กกต.งานเยอะ คงจะจำไม่ได้ทั้งหมด
เมื่อถามต่อว่า ไม่คิดหรือว่าจะมีกกต.เสื้อแดง อยู่ใน 5 กกต. นายสุเทพ ตอบว่า “ไม่คิดอะไรเลย อย่าไปกังวลใจอะไรขนาดนั้นเพราะเวลานี้เสื้ออะไรก็ไม่มี”
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยได้ยกเรื่องของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ว่าทำผิดเช่นเดียวกับนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย และอาจมีผลถึงขั้น ยุบพรรคภูมิใจไทย นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ทราบรายละเอียดอะไร จึงไม่อยากวิจารณ์อะไรไปก่อน
**”สุเทพ”ส่อหลุดคดีอาญา
รายงานข่าวจากกกต. แจ้งว่า กรณี กกต.มีมติให้มีการเลือกตั้งนายก อบจ. สุราษฎร์ธานี ใหม่ เนื่องจากนายธานี เทือกสุบรรณ ผู้ได้รับเลือกตั้ง ถูกร้องเรียนว่า แจกทุนการศึกษาในช่วงเลือกตั้ง ซึ่งจากมติครั้งดังกล่าว นอกจากจะสั่งเลือกตั้งใหม่แล้ว ยังได้สั่งให้ดำเนินคดีอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องและร่วมแจกทุนการศึกษา ประกอบด้วย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นาย ชุมพล กาญจนะ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ และ นายประพนธ์ นิลวัชรมณี หัวคะแนน โดยขณะนี้กรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างดำเนินการเขียนสำนวนส่งให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย หากศาลไม่เห็นด้วยกับมติของ กกต. นายสุเทพก็ถือว่าไม่มีความผิด
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้มีความเป็นไปได้ว่าศาลอาจจะสั่งยกฟ้อง เนื่องจากในสำนวนที่ กกต. สั่งเลือกตั้งใหม่และให้ดำเนินคดีอาญาและเตรียมส่งฟ้องศาลนั้น ปรากฏว่าไม่ได้เรียกนายสุเทพ มาสอบสวนทั้งในชั้น กกต. จังหวัด และ กกต. กลาง ซึ่งมีผลทำให้สำนวนอ่อนลง และเชื่อว่านายสุเทพจะยกประเด็นนี้ขึ้นมาต่อสู้ในชั้นศาลด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้หากศาลยกคำร้อง กกต.ไม่สามารถนำคำร้องกลับมาสอบสวนเพิ่มเติมได้ เนื่องจากอายุความเกิน 1 ปีแล้ว นอกจากนี้ กกต.ก็อาจมีความเสี่ยงผิดตาม พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 มาตรา 29 ห้ามมิให้กรรมการการเลือกตั้ง กรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด และอนุกรรมการ กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่เพื่อเป็นคุณ หรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดในการเลือกตั้ง หรือกระทำการหรือละเว้นกระทำการ โดยทุจริตหรือประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือการออกเสียงประชามติ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี
**เลขาฯกกต.ยันไม่ถึงขั้นถูกยุบพรรค
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวว่ากรณีนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ระบุว่านาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกดำเนินคดีอาญาหลังเข้าไปช่วยแจกสิ่งขณะหาเสียงให้นายธานี เทือกสุบรรณ ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฏร์ธานีนั้น เป็นเพียงกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นเท่านั้น ไม่ใช่การทำผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะเข้าตามมาตรา 237 แห่งรัฐธรรมนูญประกอบกับมาตรา 94 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่มีผลถึงขั้นยุบพรรคการเมืองได้ เพราะกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นต่างกันใช้กับ ส.ส.ไม่ได้
โดยนายสุเทพ ถูกข้อหาตามมาตรา 57 ของกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นและกฎหมายดังกล่าวก็ไม่ได้เขียนให้เป็นผลเชื่อมโยงจนพรรคถูกยุบได้ ดังนั้น การจะยุบพรรคได้ต้องทำผิดตามกฎหมายเลือกตั้งส.ส.เท่านั้น ทั้งนี้ นายสุเทพ ยังไม่ถูกดำเนินคดีอาญาในทางกฎหมายก็ให้สันนิษฐานว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่และยังต้องสู้กันต่อไปในกระบวนการหากศาลยืนตามมติกกต.
ส่วนที่ฝ่ายค้านและกลุ่มเสื้อแดงจะหยิบยกกรณีที่กกต.การดำเนินคดีอาญา นายบุญจง ล่าช้าขึ้นมาตรวจสอบ นายสุทธิพล กล่าวว่า กกต.เป็นองค์กรอิสระที่ให้คุณให้โทษกับนักการเมืองเมื่อใดที่กกต.ไม่ให้โทษ กกต.ก็จะเพลี่ยงพล้ำทุกครั้ง ทั้งนี้ ทุกยุคเมื่อเกิดปัญหาข้อโต้แย้งขึ้นมา กกต.ก็จะถูกลากเข้าไปให้ถูกตรวจสอบเสมอ
**กกต.ยันไม่ได้ดองเรื่อง”บุญจง”
นายสุทธิพล กล่าวด้วยว่าว่าการที่สื่อมวลชน ระบุว่า กกต.ดองสำนวนคดีอาญานายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ถึง 4 เดือน ก่อนมีการตั้งสำนักวินิจฉัยและคดีนั้นไม่เป็นความจริง เพราะก่อนหน้านั้นฝ่ายสืบสวนสอบสวนก็มีร่างคำวินิจฉัยสำนวนเลือกตั้งท้องถิ่นจำนวนมาก ทำให้เกิดความล่าช้า กกต.จึงตั้งสำนักวินิจฉัยและคดีขึ้นมาเมื่อเดือนกันยายน 2551 ก็เพื่อให้การจัดทำคำวินิจฉัยส่งศาลมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น แต่หลังจากมีการจัดตั้งสำนักวินิจฉัยและคดีขึ้นมาหากยังมีปัญหาอยู่ ก็ต้องหาทางปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น
ทั้งนี้ การที่สำนักกฎหมายและคดีจะดำเนินคดีอาญาโดยทันทีเลยไม่ได้ เพราะต้องรอร่างคำวินิจฉัยจากสำนักวินิจฉัยและคดีก่อน และต้องรอ กกต.ทั้ง 5 ลงนามด้วย เพื่อสั่งฟ้องต่อศาล ดังนั้น หาก กกต.ต้องการช่วยนายบุญจงจริงคงไม่ดำเนินคดีอาญา
ส่วนที่มีเอกสารระบุว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ จ.สุรินทร์ถูกให้ดำเนินคดีอาญา ตามมาตรา 59 และ 60 ในข้อหาติดแผ่นป้ายโฆษณาหาเสียงโดยไม่ระบุชื่อ ของผู้ว่าจ้าง ซึ่งไม่ใช่ตามมาตรา 53 ตามที่เลขาฯ กกต.ได้ชี้แจง นายสุทธิพล กล่าวว่า ตนไม่ได้อ้างมาตรา 53 เพราะตนแค่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ในสำนักงานเท่านั้น ซึ่งในขณะนี้ก็ติดภารกิจอยู่ต่างจังหวัดด้วยจะให้ดูเอกสารได้เลยคงเป็นไปได้ยาก และหากไม่ชี้แจงก็หาว่า กกต.หมกเม็ดอีก อีกทั้งการวินิจฉัยสำนวนคัดค้านเลือกตั้งท้องถิ่น ก็ขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของ กกต. เพราะถ้าหากเป็นเรื่องในระดับข้อหาหมิ่นประมาท ก็ให้ดำเนินคดีอาญาได้ ดังนั้นจึงไปก้าวล่วงดุลพินิจของ กกต.ไม่ได้ และตามมาตรา 59 และ 60 ก็ยังสามารถถูกดำเนินคดีอาญาได้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับเลือกตั้ง และไม่ใช่แค่ มาตรา 53 เท่านั้น ซึ่งมาตราอื่นในกฎหมายเดียวดันก็ถูกให้ใบเหลือง หรือใบแดง ได้หากเกิดการเลือกตั้งไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมตามมาตรา 111 ก็เป็นเหตุให้ส่งศาลฎีกาได้เหมือนกัน
นายสุทธิพล กล่าวว่า การที่สื่อบอกว่า กกต.มี 2 เสียงให้ใบแดงนายบุญจงนั้น ที่ตนได้ชี้แจงก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงได้รับรายงานเข้ามายังไม่เห็นเอกสารมติดังกล่าวเลย และก็ทราบมาว่า กกต.มีมติเอกฉันท์ให้ดำเนินคดีอาญานายบุญจงด้วย แต่ ก็เข้าใจว่าอาจมี 2 เสียงของ กกต.ตามที่เป็นข่าวที่ยังให้ใบแดงนายบุญจงไปพร้อมกัน
นายสุเมธ อุปนิสากร กกต. ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวถึงกรณีที่ กกต. เคยมีมติให้ดำเนินคดีอาญากับ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทยว่า ตนจำไม่ได้ว่า กกต.เคยมีมติดังกล่าวไปว่าอย่างไร และยังจำไม่ได้ว่า ตนเองเคยให้ ใบแดงกับนายบุญจง หรือไม่ เพราะเวลาวินิจฉัยตนไม่ได้สนใจชื่อผู้ถูกร้องมากนัก และไม่ได้ดูว่าใครสังกัดพรรคไหน ดูเพียงว่าใครเป็นจำเลยที่ 1 หรือ จำเลยที่ 2 เท่านั้น อีกทั้ง ตอน กกต.วินิจฉัยสำนวนของนายบุญจงนั้น นายบุญจงเป็นผู้สมัครที่สอบตก จึงไม่ให้ความสนใจ และไม่คิดว่านายบุญจงจะได้มาเป็นรัฐมนตรีในอนาคต ทั้งนี้ ยืนยันว่า กกต.ไม่ได้อุ้มนายบุญจงตามที่เป็นข่าวอย่างแน่นอน
“ใครจะไปอุ้มคุณบุญจง ยืนยันได้ว่าไม่มีใครมาล็อบบี้ กกต. แน่นอน และในวันนี้ (2 ก.พ.) นี้ ผมจะไปถามข้อเท็จจริงจากสำนักวินิจฉัยและคดี ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบกรณีดังกล่าวว่า กกต. เคยมีมติออกมาเป็นอย่างไร ส่วนข้อกล่าวหาว่า กกต. ดองเรื่องนี้ไว้ทั้งๆ ที่ กกต.มีมติให้ดำเนินคดีอาญากับนายบุญจงตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. 2551 นั้น ขอเรียนว่าในขณะนั้นเรื่องดังกล่าวอยู่ที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวน และช่วงเวลาดังกล่าวมีเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้งเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงทำให้การทำสำนวนต่างๆ ล่าช้า กระทั่งเมื่อเดือน ก.ย.2551 กกต.มีคำสั่งแต่งตั้งสำนักวินิจฉัยและคดีขึ้นมา ซึ่งที่ประชุม กกต.ก็มอบหมายให้ผมเป็นผู้ควบคุมสำนักดังกล่าว โดยโอนสำนวนที่ค้างอยู่ในสำนักสืบสวนสอบสวน มาให้สำนักวินิจฉัยและคดีเป็นผู้ดูแลแทน ทั้งนี้ ผมจะเร่งรัดดำเนินการโดยเร็ว”นายสุเมธกล่าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอยืนยันคำพูดที่เคยบอกว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 3 วันในการพิจารณาประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับรัฐมนตรีในรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกรทะรวงมหาดไทยและนายวิฑูรย์ นามบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเมื่อครบเวลาแล้วก็จะเรียนให้ทราบ
ผู้สื่อข่าวถามว่าผลที่ออกมาประชาชนจะพอใจใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เมื่อถึงเวลาแล้วจะเรียนให้ทราบ เมื่อถามว่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดที่ให้กับสังคมหรือดีที่สุดสำหรับรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ก็ยังย้ำคำเดิมว่า ครบเวลาแล้วจะเรียนให้ทราบ โดยยึดประโยชน์ของส่วนรวม และอยู่ในหลักการ 9 ข้อ ที่ได้ประกาศเอาไว้ในการทำงานร่วมกันในคณะรัฐมนตรี ส่วนจะเป็นอย่างไรจะแจ้งให้ทราบ
ส่วนกรณีของของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นการร้องเรียนในช่วงของการเลือกตั้งสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) ซึ่งถ้าเข้าใจไม่ผิดเป็นเรื่องไปจัดกิจกรรม หรือไปร่วมกิจกรรมวันสงกรานต์ อย่างไรก็ตาม กระบวนการขึ้นอยู่กับทางศาลอุทธรณ์เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในกรณีของนายกฯอบจ.อย่างไรแล้วก็จะส่งเรื่องกลับมายัง กกต.เพื่อพิจารณาในเรื่องของคดีอาญาตามกฎหมายต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบว่า ข้อยุติในส่วนของศาลอุทธรณ์ก็ดีและการดำเนินงานในส่วนของ กกต.ก็ดีเป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่ามติ กกต.จะมีผลเหมือนมติของ ป.ป.ช.ที่ผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาจะต้องสร้างมาตรฐานทางการเมืองหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่ามติกกต.ขณะนี้จะเป็นเรื่องของผู้สมัคร ยังไม่ได้ดำเนินคดีอาญากับนายสุเทพ ซึ่งยังมีขั้นตอนอีกมาก คือศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยเสร็จแล้วก็กลับไปที่กกต. กกต.ก็ต้องสอบสวนอะไรต่างๆ และตนเข้าใจว่านายสุเทพยังไม่ได้มีโอกาสไปชี้แจงข้อเท็จจริงเลย เพราะว่าคดีนี้เป็นคดีเลือกตั้ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการประกาศผลการเลือกตั้งหรือจะสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือจะเพิกถอนสิทธิ์นายกฯอบจ.
ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่าไม่มีใครจะต้องออกจากตำแหน่งในขณะนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีอะไร ต้องรอให้กระบวนการทุกอย่างเดินไปและมีความชัดเจนมากกว่านี้
ส่วนที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สว.สรรหาจะยื่น ป.ป.ช.เอาผิด 3 รัฐมนตรี ที่ยกลงมือลงคะแนนในการผ่าน ร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็อยู่ที่การตัดสินของ ป.ป.ช. เป็นเรื่องความเห็นทางกฎหมาย เพราะว่าข้อเท็จจริงก็เป็นข้อเท็จจริง
ผู้สื่อข่าวถามว่านายกรัฐมนตรีจะกล้าตัดสินใจในการเปลี่ยนแปลงในส่วนที่จะทำให้เกิดผลกระทบกับรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยืนยันเหมือนเดิมว่าตัดสินใจเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
**”เทพเทือก”ปัดทุจริตเลือกตั้ง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่ากรณีที่ กกต.ระบุว่ากำลังดำเนินคดีอาญากับตนฐานจูงใจทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง นายก อบจ.สุราษฎรธานีนั้น เป็นเรื่องเก่าก่อนจัดตั้งรัฐบาล ซึ่ง กกต.ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับการเลือกตั้งนายก อบจ.สุราษฎร์ธานี ส่วนที่เกี่ยวข้องกับตนเพราะเป็น ส.ส.ในพื้นที่เขต 1 ที่เพิ่งย้ายในลงสมัคร และมีการจัดงานวันสงกรานต์ ที่ ต.หน้าทอน อ.เกาะสมุย จึงไปกับ นายชุมพล กาญจนะ และนายประพันธ์ นิลวัชรมณี ส.ส.ด้วยกัน มีการทำบุญ และแจกผ้าขนหนูที่มีชื่อของ ส.ส.ทั้ง 3 คน จากนั้นก็เดินทางกลับ ไม่มีการปราศรัยใดๆ
“ต่อมามีคนไปร้องเรียน นายธานี เทือกสุบรรณ น้องชายของตนซึ่งลงรับสมัครนายกฯอบจ.สุราษฎร์ ว่าที่ผมไปร่วมงานสงกรานต์ทำให้มีผลได้ ผลเสียต่อคะแนนของน้องชายผม ซึ่งน้องชายผมก็ไม่ได้เดินทางไปด้วย แต่ถ้าจะเอาเรื่องทำบุญสงกรานต์ว่ามีผลต่อคะแนน คนแค่หยิบมือเดียว แต่คะแนนของนายธานีได้เกือบสองแสนคะแนนก็ไม่น่าจะมีผล”
นายสุเทพ กล่าวว่า ที่ร้องว่ามีการแจกทุนการศึกษานั้น เป็นข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จ เพราะตนไม่เคยไปแจกทุนการศึกษาที่เกาะสมุยเลย เพราะช่วงหลังกฎหมายห้ามว่า คนเป็น ส.ส.ให้เงินใครเกิน 3 พันบาทไม่ได้ ส่วนนายธานีให้ทุนการศึกษาในนามนายก อบจ.ในช่วงที่เขายังเป็นนายกฯอยู่ ซึ่งอนุกรรมการสอบสวนของ กกต.ก็ยกคำร้องไปแล้ว เข้าใจว่าการให้ข่าวของกกต.คงจะสับสน แต่มาขณะนี้กลับมีคนมาสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับตน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในระยะนี้แน่นอนเพราะเรื่องกกต.ต้องสรุปสำนวนใบเหลืองกับน้องชายของตน โดยไปยื่นคำร้องกับศาลอุธรณ์ ถ้าศาลพิจารณาและมีคำพิพากษาออกมาให้ใบเหลืองกับน้องชายตน โดยต้องมีการเลือกตั้งใหม่ เมื่อถึงตอนนั้น กกต.ค่อยมาตั้งเรื่องการดำเนินคดีอาญากับตนในข้อหาทำผิดกฎหมายเลือกตั้งได้ ซึ่งยืนยันว่าจะสู้คดีว่าการที่ไปทำบุญในงาน ประเพณีสงกรานต์จะผิดกกหมายเลือกตั้งอย่างไร ซึ่งจะต้องสู้กัน 3 ศาลจนถึงฎีกา
**ไม่พิสดารสร้างมาตรฐานอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะพิจารณาลาออกจากตำแหน่งเพื่อสร้างมาตรฐาน ทางการเมืองหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า ตนคงไม่ไปสร้างมาตรฐานพิสดารอะไรขนาดนั้น เป็นเรื่องไปทำบุญตามประเพณี ไม่ได้ไปทำผิดกฎหมายอะไร หรือไปฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่ได้ทำให้ประชาชนเดือนร้อนอะไร และยังเป็นปัญหาที่ต้องตีความกันอีกว่า การไปทำบุญในตามประเพณีมันผิดหรือไม่ อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า เกรงว่าจะมีคนเปรียบเทียบกับกรณีของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม. หรือไม่ นายสุเทพ ตอบว่า มันเป็นคนละเรื่องและคนละประเด็นกัน ถ้าเป็นการใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน เรื่องของการบริหารราชการแผ่นดิน อาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ป.ป.ช.ชี้มูล แต่นี่เป็นเรื่องการเลือกตั้งของ กกต.
ต่อข้อถามว่าว่าหนักใจหรือไม่เพราะมีตำแหน่งเป็นถึงรองนายกรัฐมนตรี หากถูกดำเนินคดีอาญาอาจต้องหลุดจากตำแหน่งได้ นายสุเทพตอบว่า ไม่หนักใจเพราะคำว่าคดีอาญาต้องดูว่าเป็นคดีอะไร เพราะคดีขับรถชนคนก็ถือเป็นคดีอาญา มันไม่จำเป็นต้องออกจากตำแหน่ง และกรณีนี้ก็อยากที่จะพิสูจน์ความจริงในศาลยุติธรรม เพราะมั่นใจว่าสามารถชี้แจงกับประชาชนได้ และได้รายงานเรื่องนี้กับนายกฯแล้ว ซึ่งนายกฯก็เข้าใจ แต่ยอมรับว่าต่อจากนี้ก็ต้องระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก่อน กกต.ลงมติไม่เคยเรียกไปชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาอะไรเลย
**ไม่ติดใจกกต.เพิ่งปูดข่าวในช่วงนี้
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า สงสัยหรือไม่เพราะอะไร กกต.มีมติมาตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. 2551 แต่เพิ่งมาเปิดเผยข้อมูลในช่วงนี้ เหมือนมีเจตนาที่จะเขย่าเสถียรภาพของรัฐบาล นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่เป็นไร ตนไม่คิดมากและไม่สงสัย กกต.คนไหน ถือว่า กกต.งานเยอะ คงจะจำไม่ได้ทั้งหมด
เมื่อถามต่อว่า ไม่คิดหรือว่าจะมีกกต.เสื้อแดง อยู่ใน 5 กกต. นายสุเทพ ตอบว่า “ไม่คิดอะไรเลย อย่าไปกังวลใจอะไรขนาดนั้นเพราะเวลานี้เสื้ออะไรก็ไม่มี”
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยได้ยกเรื่องของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ว่าทำผิดเช่นเดียวกับนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย และอาจมีผลถึงขั้น ยุบพรรคภูมิใจไทย นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่ทราบรายละเอียดอะไร จึงไม่อยากวิจารณ์อะไรไปก่อน
**”สุเทพ”ส่อหลุดคดีอาญา
รายงานข่าวจากกกต. แจ้งว่า กรณี กกต.มีมติให้มีการเลือกตั้งนายก อบจ. สุราษฎร์ธานี ใหม่ เนื่องจากนายธานี เทือกสุบรรณ ผู้ได้รับเลือกตั้ง ถูกร้องเรียนว่า แจกทุนการศึกษาในช่วงเลือกตั้ง ซึ่งจากมติครั้งดังกล่าว นอกจากจะสั่งเลือกตั้งใหม่แล้ว ยังได้สั่งให้ดำเนินคดีอาญากับผู้ที่เกี่ยวข้องและร่วมแจกทุนการศึกษา ประกอบด้วย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นาย ชุมพล กาญจนะ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ และ นายประพนธ์ นิลวัชรมณี หัวคะแนน โดยขณะนี้กรณีดังกล่าวอยู่ระหว่างดำเนินการเขียนสำนวนส่งให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย หากศาลไม่เห็นด้วยกับมติของ กกต. นายสุเทพก็ถือว่าไม่มีความผิด
อย่างไรก็ตาม กรณีนี้มีความเป็นไปได้ว่าศาลอาจจะสั่งยกฟ้อง เนื่องจากในสำนวนที่ กกต. สั่งเลือกตั้งใหม่และให้ดำเนินคดีอาญาและเตรียมส่งฟ้องศาลนั้น ปรากฏว่าไม่ได้เรียกนายสุเทพ มาสอบสวนทั้งในชั้น กกต. จังหวัด และ กกต. กลาง ซึ่งมีผลทำให้สำนวนอ่อนลง และเชื่อว่านายสุเทพจะยกประเด็นนี้ขึ้นมาต่อสู้ในชั้นศาลด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้หากศาลยกคำร้อง กกต.ไม่สามารถนำคำร้องกลับมาสอบสวนเพิ่มเติมได้ เนื่องจากอายุความเกิน 1 ปีแล้ว นอกจากนี้ กกต.ก็อาจมีความเสี่ยงผิดตาม พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2550 มาตรา 29 ห้ามมิให้กรรมการการเลือกตั้ง กรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัด และอนุกรรมการ กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่เพื่อเป็นคุณ หรือเป็นโทษแก่ผู้สมัครหรือพรรคการเมืองใดในการเลือกตั้ง หรือกระทำการหรือละเว้นกระทำการ โดยทุจริตหรือประพฤติมิชอบในการปฏิบัติหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้งหรือการออกเสียงประชามติ มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาทถึง 2 แสนบาท และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนด 10 ปี
**เลขาฯกกต.ยันไม่ถึงขั้นถูกยุบพรรค
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. กล่าวว่ากรณีนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ระบุว่านาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกดำเนินคดีอาญาหลังเข้าไปช่วยแจกสิ่งขณะหาเสียงให้นายธานี เทือกสุบรรณ ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฏร์ธานีนั้น เป็นเพียงกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นเท่านั้น ไม่ใช่การทำผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะเข้าตามมาตรา 237 แห่งรัฐธรรมนูญประกอบกับมาตรา 94 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่มีผลถึงขั้นยุบพรรคการเมืองได้ เพราะกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นต่างกันใช้กับ ส.ส.ไม่ได้
โดยนายสุเทพ ถูกข้อหาตามมาตรา 57 ของกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นและกฎหมายดังกล่าวก็ไม่ได้เขียนให้เป็นผลเชื่อมโยงจนพรรคถูกยุบได้ ดังนั้น การจะยุบพรรคได้ต้องทำผิดตามกฎหมายเลือกตั้งส.ส.เท่านั้น ทั้งนี้ นายสุเทพ ยังไม่ถูกดำเนินคดีอาญาในทางกฎหมายก็ให้สันนิษฐานว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่และยังต้องสู้กันต่อไปในกระบวนการหากศาลยืนตามมติกกต.
ส่วนที่ฝ่ายค้านและกลุ่มเสื้อแดงจะหยิบยกกรณีที่กกต.การดำเนินคดีอาญา นายบุญจง ล่าช้าขึ้นมาตรวจสอบ นายสุทธิพล กล่าวว่า กกต.เป็นองค์กรอิสระที่ให้คุณให้โทษกับนักการเมืองเมื่อใดที่กกต.ไม่ให้โทษ กกต.ก็จะเพลี่ยงพล้ำทุกครั้ง ทั้งนี้ ทุกยุคเมื่อเกิดปัญหาข้อโต้แย้งขึ้นมา กกต.ก็จะถูกลากเข้าไปให้ถูกตรวจสอบเสมอ
**กกต.ยันไม่ได้ดองเรื่อง”บุญจง”
นายสุทธิพล กล่าวด้วยว่าว่าการที่สื่อมวลชน ระบุว่า กกต.ดองสำนวนคดีอาญานายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ถึง 4 เดือน ก่อนมีการตั้งสำนักวินิจฉัยและคดีนั้นไม่เป็นความจริง เพราะก่อนหน้านั้นฝ่ายสืบสวนสอบสวนก็มีร่างคำวินิจฉัยสำนวนเลือกตั้งท้องถิ่นจำนวนมาก ทำให้เกิดความล่าช้า กกต.จึงตั้งสำนักวินิจฉัยและคดีขึ้นมาเมื่อเดือนกันยายน 2551 ก็เพื่อให้การจัดทำคำวินิจฉัยส่งศาลมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น แต่หลังจากมีการจัดตั้งสำนักวินิจฉัยและคดีขึ้นมาหากยังมีปัญหาอยู่ ก็ต้องหาทางปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น
ทั้งนี้ การที่สำนักกฎหมายและคดีจะดำเนินคดีอาญาโดยทันทีเลยไม่ได้ เพราะต้องรอร่างคำวินิจฉัยจากสำนักวินิจฉัยและคดีก่อน และต้องรอ กกต.ทั้ง 5 ลงนามด้วย เพื่อสั่งฟ้องต่อศาล ดังนั้น หาก กกต.ต้องการช่วยนายบุญจงจริงคงไม่ดำเนินคดีอาญา
ส่วนที่มีเอกสารระบุว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ จ.สุรินทร์ถูกให้ดำเนินคดีอาญา ตามมาตรา 59 และ 60 ในข้อหาติดแผ่นป้ายโฆษณาหาเสียงโดยไม่ระบุชื่อ ของผู้ว่าจ้าง ซึ่งไม่ใช่ตามมาตรา 53 ตามที่เลขาฯ กกต.ได้ชี้แจง นายสุทธิพล กล่าวว่า ตนไม่ได้อ้างมาตรา 53 เพราะตนแค่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ในสำนักงานเท่านั้น ซึ่งในขณะนี้ก็ติดภารกิจอยู่ต่างจังหวัดด้วยจะให้ดูเอกสารได้เลยคงเป็นไปได้ยาก และหากไม่ชี้แจงก็หาว่า กกต.หมกเม็ดอีก อีกทั้งการวินิจฉัยสำนวนคัดค้านเลือกตั้งท้องถิ่น ก็ขึ้นอยู่ที่ดุลพินิจของ กกต. เพราะถ้าหากเป็นเรื่องในระดับข้อหาหมิ่นประมาท ก็ให้ดำเนินคดีอาญาได้ ดังนั้นจึงไปก้าวล่วงดุลพินิจของ กกต.ไม่ได้ และตามมาตรา 59 และ 60 ก็ยังสามารถถูกดำเนินคดีอาญาได้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับเลือกตั้ง และไม่ใช่แค่ มาตรา 53 เท่านั้น ซึ่งมาตราอื่นในกฎหมายเดียวดันก็ถูกให้ใบเหลือง หรือใบแดง ได้หากเกิดการเลือกตั้งไม่สุจริตหรือเที่ยงธรรมตามมาตรา 111 ก็เป็นเหตุให้ส่งศาลฎีกาได้เหมือนกัน
นายสุทธิพล กล่าวว่า การที่สื่อบอกว่า กกต.มี 2 เสียงให้ใบแดงนายบุญจงนั้น ที่ตนได้ชี้แจงก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงได้รับรายงานเข้ามายังไม่เห็นเอกสารมติดังกล่าวเลย และก็ทราบมาว่า กกต.มีมติเอกฉันท์ให้ดำเนินคดีอาญานายบุญจงด้วย แต่ ก็เข้าใจว่าอาจมี 2 เสียงของ กกต.ตามที่เป็นข่าวที่ยังให้ใบแดงนายบุญจงไปพร้อมกัน
นายสุเมธ อุปนิสากร กกต. ด้านกิจการการมีส่วนร่วม กล่าวถึงกรณีที่ กกต. เคยมีมติให้ดำเนินคดีอาญากับ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทยว่า ตนจำไม่ได้ว่า กกต.เคยมีมติดังกล่าวไปว่าอย่างไร และยังจำไม่ได้ว่า ตนเองเคยให้ ใบแดงกับนายบุญจง หรือไม่ เพราะเวลาวินิจฉัยตนไม่ได้สนใจชื่อผู้ถูกร้องมากนัก และไม่ได้ดูว่าใครสังกัดพรรคไหน ดูเพียงว่าใครเป็นจำเลยที่ 1 หรือ จำเลยที่ 2 เท่านั้น อีกทั้ง ตอน กกต.วินิจฉัยสำนวนของนายบุญจงนั้น นายบุญจงเป็นผู้สมัครที่สอบตก จึงไม่ให้ความสนใจ และไม่คิดว่านายบุญจงจะได้มาเป็นรัฐมนตรีในอนาคต ทั้งนี้ ยืนยันว่า กกต.ไม่ได้อุ้มนายบุญจงตามที่เป็นข่าวอย่างแน่นอน
“ใครจะไปอุ้มคุณบุญจง ยืนยันได้ว่าไม่มีใครมาล็อบบี้ กกต. แน่นอน และในวันนี้ (2 ก.พ.) นี้ ผมจะไปถามข้อเท็จจริงจากสำนักวินิจฉัยและคดี ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบกรณีดังกล่าวว่า กกต. เคยมีมติออกมาเป็นอย่างไร ส่วนข้อกล่าวหาว่า กกต. ดองเรื่องนี้ไว้ทั้งๆ ที่ กกต.มีมติให้ดำเนินคดีอาญากับนายบุญจงตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. 2551 นั้น ขอเรียนว่าในขณะนั้นเรื่องดังกล่าวอยู่ที่ฝ่ายสืบสวนสอบสวน และช่วงเวลาดังกล่าวมีเรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้งเข้ามาเป็นจำนวนมาก จึงทำให้การทำสำนวนต่างๆ ล่าช้า กระทั่งเมื่อเดือน ก.ย.2551 กกต.มีคำสั่งแต่งตั้งสำนักวินิจฉัยและคดีขึ้นมา ซึ่งที่ประชุม กกต.ก็มอบหมายให้ผมเป็นผู้ควบคุมสำนักดังกล่าว โดยโอนสำนวนที่ค้างอยู่ในสำนักสืบสวนสอบสวน มาให้สำนักวินิจฉัยและคดีเป็นผู้ดูแลแทน ทั้งนี้ ผมจะเร่งรัดดำเนินการโดยเร็ว”นายสุเมธกล่าว