กลายเป็นความจงใจที่ต้องการขยายผลเพื่อหวังผลทางการเมืองมาถล่มรัฐบาล โดยลากกรณีการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดทำเนียบรัฐบาล สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ มาเป็นเป้า
พยายามตั้งคำถามกันเชิงไร้เดียงสาพาซื่อในทำนองว่าทำไมรัฐบาลไม่เร่งดำเนินคดี หรือนำไปเปรียบเทียบกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือแกนนำเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีในหลายคดี
หรือเลือกปฏิบัติคือเร่งรัดดำเนินคดีเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงเท่านั้นหลังจากที่เปลี่ยนขั้วมาเป็นฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล กลายเป็นข้อเรียกร้องกดดันพุ่งเข้าใส่รัฐบาล และสร้างภาพลบให้กับพันธมิตรฯตลอดเวลา
สื่อหลายสื่อที่ไม่ชอบขี้หน้าพันธมิตรฯเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เนื่องจากถูกเปิดโปงว่ารับใช้ระบอบทักษิณอย่างหมดเปลือก ก็ยิ่งประโคมข่าว จงใจบิดเบือนให้สังคมเข้าใจผิด
เพราะถ้ามองแบบ “ตัดตอน” มันก็สามารถคล้อยตามได้ไม่ยาก
แต่ถ้าอธิบายแบบซ้ำซากทั้งปรากฏการณ์ และพฤติกรรมแห่งคดีระหว่างการชุมนุมของคนสองกลุ่มมันล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าให้เน้นย้ำกันอีกครั้งมันก็ย่อมมี “ความเหมือนที่แตกต่าง”
อย่างแรกเห็นได้ชัดคือการชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯมีเป้าหมายเพื่อส่วนรวม ต่อต้านรัฐบาลหุ่นเชิดของ “ระบอบทักษิณ” ที่ฉ้อฉล มีพฤติกรรมที่กระทำผิดรัฐธรรมนูญ กรณีปราสาทพระวิหาร กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับตัวเอง
ต่อต้านผู้นำที่ทำผิดกฎหมาย ผิดจริยธรรม และต่อมาทั้งศาลปกครองสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ตัดสินว่ามีความผิด จนนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน และส่งผลให้ สมัคร สุนทรเวช และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในที่สุด
การชุมนุมที่ยืดเยื้อยาวนาน 193 วันหรือกว่า ครึ่งปี มีมวลชนทุกอาชีพเข้าร่วมนับแสนคนต้องยกระดับความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันฝ่ายพันธมิตรฯยังถูกอำนาจรัฐอันป่าเถื่อนใช้อาวุธสงครามทำร้าย ทำลายชีวิต จนล้มตายนับ 10 คน ได้รับบาดเจ็บกว่า 500 คน มีหลายคนต้องสูญเสียอวัยวะ ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกมากมาย
และที่สำคัญกลุ่มพันธมิตรฯไม่ใช่ชุมนุมเพื่อสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำพันธมิตรฯไม่เคยเดินสายไปหาเสียงเลือกตั้งซ่อมให้กับพรรคประชาธิปัตย์ หรือไปขัดขวางการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย!!
ไม่เคยปาไข่ทำร้ายนักการเมือง หรือขว้างอิฐตัวหนอนใส่ ส.ส.แบบมีเจตนาทำร้ายร่างกาย อย่างมากก็แค่ส่งเสียงโห่หรือใช้มือตบขับไล่นายกฯหรือรัฐมนตรีที่เห็นว่าทำผิดกฎหมาย ไร้จริยธรรม เท่านั้น
ขณะที่หันมาทางด้านกลุ่มคนเสื้อแดงมีเป้าหมายชุมนุมเพื่อคนเพียงคนเดียวคือเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิด
นาทีนี้ถ้าถามกันอย่างตรงไปตรงมาว่าการชุมนุมแล้วมีการยึดทำเนียบฯ สนามบิน มีความผิดหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าผิด ต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาในองค์ประกอบอื่นๆพร้อมกันไปด้วย เช่นสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ตามรัฐธรรมนูญ
การจะพิจารณาตัดตอนมองเฉพาะความเสียหายเฉพาะหน้าอย่างเดียว เพียงคำนวณเป็นรายวันว่ายึด 1 วันเสียหายกี่พันล้านกี่หมื่นล้านแม้จะถูกต้อง แต่รับรองว่าไม่ใช่ถูกต้องทั้งหมด ต้องพิจารณาที่มาที่ไปให้รอบด้านอย่างเป็นธรรมด้วย
ล่าสุด พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะผู้รับผิดชอบคดีทั้งฝ่ายพันธมิตรฯและกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ได้แสดงมาตรฐานเฉพาะตัวให้เห็นแล้วว่าจะต้องดำเนินคดี
ก็ให้ว่ากันไปตามกฎหมาย พิสูจน์กันในศาลยุติธรรม
ที่ผ่านมาหากว่ากันตามข้อเท็จจริงบรรดาแกนนำพันธมิตรฯก็ได้ถูกดำเนินคดี ถูกสั่งฟ้องหลายสิบคดีจนนับไม่ถ้วนทั้งอาญาและแพ่งเรียกค่าเสียหายไม่รู้กี่หมื่นล้านบาท จำกันไม่หวาดไม่ไหว
ยกตัวอย่างง่ายๆที่หลุดมาจากปาก พล.ต.อ.จงรัก ก็บอกเองว่าคดีบุกยึดทำเนียบฯก็ได้มีการสรุปสำนวนส่งถึงอัยการเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ขณะที่คดีที่บุกยึดสนามบินก็ยังขยันจะทำคดีให้เสร็จภายใน 3 สัปดาห์พร้อมทั้งจะมีการเรียกค่าเสียหายอีกกว่า 2 หมื่นล้าน
นี่ยังไม่นับกรณีสำนักปลัดสำนักนายกฯไปแจ้งความดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายอีกเกือบ 19 ล้านบาทกรณียึดทำเนียบฯ
ตั้งท่าพ่วงคดีอีกร้อยแปด ทำเหมือนกับว่าตั้งข้อหาไปก่อนแล้วค่อยหาหลักฐานตามหลัง !!
ขณะเดียวกันเมื่อหันมาพิจารณาในมาตรฐานในการดำเนินคดีกับแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ถามว่ามีกี่คดีที่มีการสั่งฟ้องไปแล้วบ้าง ยกตัวอย่างคดีบุกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผ่านมา 2 ปีกว่าจนบัดนี้ยังไม่ส่งฟ้อง หรือคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงก็ดำเนินไปอย่างยืดยาด
ดังนั้นถ้าพิจารณาเปรียบเทียบมันมีความแตกต่างกันหรือไม่ ใครกันแน่ที่ถูกเลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตามทุกอย่างก็ต้องไปจบลงที่ศาลยุติธรรม ผิดถูกอย่างไรก็ต้องยอมรับ
ไม่ใช่โวยวาย ร้องแรกแหกกระเชอ ดิสเครดิตศาล เหมือนพฤติกรรมของคนบางคนที่หลบหนีคดีในต่างแดนเช่นทุกวันนี้ !!
พยายามตั้งคำถามกันเชิงไร้เดียงสาพาซื่อในทำนองว่าทำไมรัฐบาลไม่เร่งดำเนินคดี หรือนำไปเปรียบเทียบกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือแกนนำเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีในหลายคดี
หรือเลือกปฏิบัติคือเร่งรัดดำเนินคดีเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงเท่านั้นหลังจากที่เปลี่ยนขั้วมาเป็นฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล กลายเป็นข้อเรียกร้องกดดันพุ่งเข้าใส่รัฐบาล และสร้างภาพลบให้กับพันธมิตรฯตลอดเวลา
สื่อหลายสื่อที่ไม่ชอบขี้หน้าพันธมิตรฯเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เนื่องจากถูกเปิดโปงว่ารับใช้ระบอบทักษิณอย่างหมดเปลือก ก็ยิ่งประโคมข่าว จงใจบิดเบือนให้สังคมเข้าใจผิด
เพราะถ้ามองแบบ “ตัดตอน” มันก็สามารถคล้อยตามได้ไม่ยาก
แต่ถ้าอธิบายแบบซ้ำซากทั้งปรากฏการณ์ และพฤติกรรมแห่งคดีระหว่างการชุมนุมของคนสองกลุ่มมันล้วนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งถ้าให้เน้นย้ำกันอีกครั้งมันก็ย่อมมี “ความเหมือนที่แตกต่าง”
อย่างแรกเห็นได้ชัดคือการชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯมีเป้าหมายเพื่อส่วนรวม ต่อต้านรัฐบาลหุ่นเชิดของ “ระบอบทักษิณ” ที่ฉ้อฉล มีพฤติกรรมที่กระทำผิดรัฐธรรมนูญ กรณีปราสาทพระวิหาร กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับตัวเอง
ต่อต้านผู้นำที่ทำผิดกฎหมาย ผิดจริยธรรม และต่อมาทั้งศาลปกครองสูงสุดและศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ตัดสินว่ามีความผิด จนนำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน และส่งผลให้ สมัคร สุนทรเวช และ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในที่สุด
การชุมนุมที่ยืดเยื้อยาวนาน 193 วันหรือกว่า ครึ่งปี มีมวลชนทุกอาชีพเข้าร่วมนับแสนคนต้องยกระดับความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันฝ่ายพันธมิตรฯยังถูกอำนาจรัฐอันป่าเถื่อนใช้อาวุธสงครามทำร้าย ทำลายชีวิต จนล้มตายนับ 10 คน ได้รับบาดเจ็บกว่า 500 คน มีหลายคนต้องสูญเสียอวัยวะ ยังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอีกมากมาย
และที่สำคัญกลุ่มพันธมิตรฯไม่ใช่ชุมนุมเพื่อสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำพันธมิตรฯไม่เคยเดินสายไปหาเสียงเลือกตั้งซ่อมให้กับพรรคประชาธิปัตย์ หรือไปขัดขวางการหาเสียงของพรรคเพื่อไทย!!
ไม่เคยปาไข่ทำร้ายนักการเมือง หรือขว้างอิฐตัวหนอนใส่ ส.ส.แบบมีเจตนาทำร้ายร่างกาย อย่างมากก็แค่ส่งเสียงโห่หรือใช้มือตบขับไล่นายกฯหรือรัฐมนตรีที่เห็นว่าทำผิดกฎหมาย ไร้จริยธรรม เท่านั้น
ขณะที่หันมาทางด้านกลุ่มคนเสื้อแดงมีเป้าหมายชุมนุมเพื่อคนเพียงคนเดียวคือเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิด
นาทีนี้ถ้าถามกันอย่างตรงไปตรงมาว่าการชุมนุมแล้วมีการยึดทำเนียบฯ สนามบิน มีความผิดหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าผิด ต้องดำเนินคดีไปตามกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพิจารณาในองค์ประกอบอื่นๆพร้อมกันไปด้วย เช่นสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ตามรัฐธรรมนูญ
การจะพิจารณาตัดตอนมองเฉพาะความเสียหายเฉพาะหน้าอย่างเดียว เพียงคำนวณเป็นรายวันว่ายึด 1 วันเสียหายกี่พันล้านกี่หมื่นล้านแม้จะถูกต้อง แต่รับรองว่าไม่ใช่ถูกต้องทั้งหมด ต้องพิจารณาที่มาที่ไปให้รอบด้านอย่างเป็นธรรมด้วย
ล่าสุด พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะผู้รับผิดชอบคดีทั้งฝ่ายพันธมิตรฯและกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ได้แสดงมาตรฐานเฉพาะตัวให้เห็นแล้วว่าจะต้องดำเนินคดี
ก็ให้ว่ากันไปตามกฎหมาย พิสูจน์กันในศาลยุติธรรม
ที่ผ่านมาหากว่ากันตามข้อเท็จจริงบรรดาแกนนำพันธมิตรฯก็ได้ถูกดำเนินคดี ถูกสั่งฟ้องหลายสิบคดีจนนับไม่ถ้วนทั้งอาญาและแพ่งเรียกค่าเสียหายไม่รู้กี่หมื่นล้านบาท จำกันไม่หวาดไม่ไหว
ยกตัวอย่างง่ายๆที่หลุดมาจากปาก พล.ต.อ.จงรัก ก็บอกเองว่าคดีบุกยึดทำเนียบฯก็ได้มีการสรุปสำนวนส่งถึงอัยการเพื่อพิจารณาสั่งฟ้องไปตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ขณะที่คดีที่บุกยึดสนามบินก็ยังขยันจะทำคดีให้เสร็จภายใน 3 สัปดาห์พร้อมทั้งจะมีการเรียกค่าเสียหายอีกกว่า 2 หมื่นล้าน
นี่ยังไม่นับกรณีสำนักปลัดสำนักนายกฯไปแจ้งความดำเนินคดีเรียกค่าเสียหายอีกเกือบ 19 ล้านบาทกรณียึดทำเนียบฯ
ตั้งท่าพ่วงคดีอีกร้อยแปด ทำเหมือนกับว่าตั้งข้อหาไปก่อนแล้วค่อยหาหลักฐานตามหลัง !!
ขณะเดียวกันเมื่อหันมาพิจารณาในมาตรฐานในการดำเนินคดีกับแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ถามว่ามีกี่คดีที่มีการสั่งฟ้องไปแล้วบ้าง ยกตัวอย่างคดีบุกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ผ่านมา 2 ปีกว่าจนบัดนี้ยังไม่ส่งฟ้อง หรือคดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงก็ดำเนินไปอย่างยืดยาด
ดังนั้นถ้าพิจารณาเปรียบเทียบมันมีความแตกต่างกันหรือไม่ ใครกันแน่ที่ถูกเลือกปฏิบัติ อย่างไรก็ตามทุกอย่างก็ต้องไปจบลงที่ศาลยุติธรรม ผิดถูกอย่างไรก็ต้องยอมรับ
ไม่ใช่โวยวาย ร้องแรกแหกกระเชอ ดิสเครดิตศาล เหมือนพฤติกรรมของคนบางคนที่หลบหนีคดีในต่างแดนเช่นทุกวันนี้ !!