ผลการเลือกตั้งซ่อมชิง 29 ที่นั่ง อันเนื่องมาจากการยุบ 3 พรรค ปรากฏว่า พรรคร่วมรัฐบาลกวาดที่นั่งมาได้ถึง 20 ที่นั่ง ขณะที่ซีกฝ่ายค้านได้เพียง 9 ที่นั่ง
9 ที่นั่ง แบ่งเป็นพรรคเพื่อไทย 5 ที่นั่ง พรรคประชาราช 4 ที่นั่ง
และหากส่องกล้องมองลึกลงไปก็จะพบว่าในจำนวน 4 ที่นั่งของพรรคประชาราชนั้น เป็น ส.ส. “ไพ่ฝาก” ของกลุ่มเพื่อนเนวินอย่างน้อย 2 ที่นั่ง
ดังนั้นหากใครจะนับว่าจาก 29 เสียง เป็นเสียงที่หนุนรัฐบาลเสีย 22 เสียง ก็ไม่ผิด
สื่อมวลชนต่างประเทศอย่างวอลล์สตรีทเจอร์นัล และวอชิงตันโพสต์ ได้ลงข่าวทำนองว่าผลจากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.และเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. (ซึ่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ชนะ) สะท้อนว่ามนต์ขลังของคนชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังเสื่อมคลาย ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จากพรรคประชาธิปัตย์ได้รับโอกาสในการบริหารฟื้นฟูประเทศมากขึ้น...
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนว่าแม้รัฐบาลจะได้เสียงเพิ่มอีก 20 เสียงก็จะไม่เหลิงอำนาจ และเห็นว่าผลการเลือกตั้งซ่อมสะท้อนว่าประชาชนต้องการให้รัฐบาลเดินหน้าทำงาน ต้องการให้นักการเมืองนำบ้านเมืองออกจากวิกฤต
ถ้าจะให้สรุปฟันธงว่าทำไมพรรคเพื่อไทยถึงแพ้หลุดลุ่ย แม้กระทั่งสนามเขต 1 ลำพูน ที่นายขยัน วิพรหมชัย ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ ทิ้งขาดประธานที่ปรึกษากลุ่มคนเสื้อแดง “คนรักเชียงใหม่ 51” อย่างนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล และสนามปากน้ำ – สมุทรปราการ เขต1 ที่ตกเป็นของนาวสาวสรชา วีรชาติวัฒนา พรรคประชาธิปัตย์
ผมว่าน่าจะมาจาก 1)กระแสพันธมิตฯ – เอเอสทีวี –การรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องมากขึ้นของประชาชน
2) ความนิยม ความศรัทธาต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและรัฐบาล 3)พฤติกรรมถ่อยปาไข่ของคนเสื้อแดงในต่างกรรมต่างวาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปาไข่ใส่นายชวน หลีกภัย ที่เปรียบเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และ 4)ปัญหาความไม่เป็นเอกภาพ –ไม่เต็มร้อยของพรรคเพื่อไทย
ถามว่า..ผลเลือกตั้งครั้งนี้ ส่งสัญญาณว่าระบอบทักษิณหรือพรรคการเมืองของระบอบทักษิณจะสูญพันธุ์หรือยัง? ตอบได้เลยว่า..ยัง
กระแสความนิยม ความศรัทธายังไม่ได้สวิงหรือพลิกขั้วมาอยู่ที่อภิสิทธิ์และรัฐบาลแล้วอย่างสมบูรณ์แต่ประการใด..หากแต่น่าจะเป็นเพียงว่า นี่เป็นการเปิดประตูโอกาสให้กับนายอภิสิทธิ์และพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะรีบฉกฉวยต่อยอดเพื่อที่จะโดดเดี่ยวพรรคเพื่อไทย...
ถ้ารัฐบาลชุดนี้สามารถสร้างผลงานได้เข้าตาประชาชน และไม่วงแตกกันเสียก่อน พรรคเพื่อไทยก็มีโอกาสที่จะแพแตกในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้..และนั่นหมายความว่าระบอบทักษิณก็ใกล้จุดอวสาน..
สรุปว่าผลจากการเลือกตั้งซ่อมครั้งสำคัญหนนี้ นับเป็นความโชคดีมากๆ ของนายอภิสิทธิ์
ทฤษฎี สองนคราประชาธิปไตย ของ รศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่ว่าคนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล (โดยการเลือกตั้ง) แต่คนกรุงเทพฯ เป็นคนล้มรัฐบาล น่าจะใช้ไม่ได้กับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน..
เพราะทั้งต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ ล้วนแต่ร่วมด้วยช่วยกันโอบอุ้ม ให้โอกาสแก่นายกฯ ที่ชื่ออภิสิทธิ์และรัฐบาลชุดนี้อย่างค่อนข้างพร้อมเพรียง...
น่าจะกล่าวได้ว่า ความขัดแย้งของคนในชาติ (อันเนื่องจาก “ทักษิณ” เป็นต้นเหตุสำคัญ) ซึ่งยืดเยื้อยาวนานมาตั้งแต่ปี 2549 ทำให้ประชาชนจำนวนมากเหนื่อยล้าจนต้องเลือกข้าง...เลือกอภิสิทธิ์ด้วยหวังว่าบ้านเมืองจะได้ “พักหายใจ” และเดินหน้าต่อไปได้ด้วยความหวัง...
ผมเชื่อว่ายิ่งนานวัน หากประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและกระแสของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังแรงจัดในต่างจังหวัดหรือในขอบข่ายทั่วประเทศ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อาจจะต้องไปแก้ไขกลับข้างทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยเสียใหม่..
จาก คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯล้มรัฐบาล
เป็นว่า...คนกรุงเทพฯ พยายามอุ้มรัฐบาล แต่คนต่างจังหวัดล้มรัฐบาล...
ก็เป็นได้...
ถึงวันนี้ต้องยอมรับว่า...ช่องว่างทางความคิด ความตื่นตัวทางการเมืองของคนต่างจังหวัด โดยเฉพาะต่างจังหวัดเขตเมืองกับคนเมืองหลวงแทบจะไม่มีแล้ว และถ้าจะให้กล่าวอย่างถึงที่สุดก็ต้องบอกว่า...การเมืองยุคจากนี้ไป ทั้งคนต่างจังหวัดกับคนกรุงเทพฯ จะจับมือกันทั้ง ตั้งและล้มรัฐบาล...หากว่ารัฐบาลทำผิดพลาด ทุจริตโกงกิน..
“สองนคราประชาภิวัฒน์..” ต่างหากที่จะมาแทน “สองนคราประชาธิปไตย”
เป็นสองนคราที่มีจุดร่วมรวมใจอยู่ที่คำว่า...ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
เป็นสองนคราที่ยึดผลประโยชน์ชาติ ผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก อยู่เหนือผลประโยชน์ของพรรคการเมือง..
ทั้งหลายทั้งปวง..ปัจจัยชี้ขาดสำคัญก็คือ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง...
ดังนั้นหากรัฐบาลปรารถนาใคร่เห็นประชาชนต่างจังหวัดไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของนักการเมืองที่ชั่วช้าหรือระบอบอันเลวร้ายของคนบางกลุ่ม ก็ต้องจัดระเบียบสื่อที่ทะลุทะลวงด้วยข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เข้าถึงประชาชนที่ถูกเรียกว่ารากหญ้าให้เร็วที่สุดและกว้างขวางที่สุด...
ประสานกับการกระตุ้นกลไกรัฐที่ดูแลด้านความมั่นคง ให้ลุกตื่นขึ้นมาทำงานเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างเข้มแข็งกว่าเดิม..
สองนคราจึงจะประชาภิวัฒน์เป็นจริง ..!!??
9 ที่นั่ง แบ่งเป็นพรรคเพื่อไทย 5 ที่นั่ง พรรคประชาราช 4 ที่นั่ง
และหากส่องกล้องมองลึกลงไปก็จะพบว่าในจำนวน 4 ที่นั่งของพรรคประชาราชนั้น เป็น ส.ส. “ไพ่ฝาก” ของกลุ่มเพื่อนเนวินอย่างน้อย 2 ที่นั่ง
ดังนั้นหากใครจะนับว่าจาก 29 เสียง เป็นเสียงที่หนุนรัฐบาลเสีย 22 เสียง ก็ไม่ผิด
สื่อมวลชนต่างประเทศอย่างวอลล์สตรีทเจอร์นัล และวอชิงตันโพสต์ ได้ลงข่าวทำนองว่าผลจากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.และเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. (ซึ่ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ชนะ) สะท้อนว่ามนต์ขลังของคนชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กำลังเสื่อมคลาย ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จากพรรคประชาธิปัตย์ได้รับโอกาสในการบริหารฟื้นฟูประเทศมากขึ้น...
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนว่าแม้รัฐบาลจะได้เสียงเพิ่มอีก 20 เสียงก็จะไม่เหลิงอำนาจ และเห็นว่าผลการเลือกตั้งซ่อมสะท้อนว่าประชาชนต้องการให้รัฐบาลเดินหน้าทำงาน ต้องการให้นักการเมืองนำบ้านเมืองออกจากวิกฤต
ถ้าจะให้สรุปฟันธงว่าทำไมพรรคเพื่อไทยถึงแพ้หลุดลุ่ย แม้กระทั่งสนามเขต 1 ลำพูน ที่นายขยัน วิพรหมชัย ผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ ทิ้งขาดประธานที่ปรึกษากลุ่มคนเสื้อแดง “คนรักเชียงใหม่ 51” อย่างนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล และสนามปากน้ำ – สมุทรปราการ เขต1 ที่ตกเป็นของนาวสาวสรชา วีรชาติวัฒนา พรรคประชาธิปัตย์
ผมว่าน่าจะมาจาก 1)กระแสพันธมิตฯ – เอเอสทีวี –การรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องมากขึ้นของประชาชน
2) ความนิยม ความศรัทธาต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและรัฐบาล 3)พฤติกรรมถ่อยปาไข่ของคนเสื้อแดงในต่างกรรมต่างวาระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปาไข่ใส่นายชวน หลีกภัย ที่เปรียบเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และ 4)ปัญหาความไม่เป็นเอกภาพ –ไม่เต็มร้อยของพรรคเพื่อไทย
ถามว่า..ผลเลือกตั้งครั้งนี้ ส่งสัญญาณว่าระบอบทักษิณหรือพรรคการเมืองของระบอบทักษิณจะสูญพันธุ์หรือยัง? ตอบได้เลยว่า..ยัง
กระแสความนิยม ความศรัทธายังไม่ได้สวิงหรือพลิกขั้วมาอยู่ที่อภิสิทธิ์และรัฐบาลแล้วอย่างสมบูรณ์แต่ประการใด..หากแต่น่าจะเป็นเพียงว่า นี่เป็นการเปิดประตูโอกาสให้กับนายอภิสิทธิ์และพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะรีบฉกฉวยต่อยอดเพื่อที่จะโดดเดี่ยวพรรคเพื่อไทย...
ถ้ารัฐบาลชุดนี้สามารถสร้างผลงานได้เข้าตาประชาชน และไม่วงแตกกันเสียก่อน พรรคเพื่อไทยก็มีโอกาสที่จะแพแตกในการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้..และนั่นหมายความว่าระบอบทักษิณก็ใกล้จุดอวสาน..
สรุปว่าผลจากการเลือกตั้งซ่อมครั้งสำคัญหนนี้ นับเป็นความโชคดีมากๆ ของนายอภิสิทธิ์
ทฤษฎี สองนคราประชาธิปไตย ของ รศ.ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่ว่าคนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล (โดยการเลือกตั้ง) แต่คนกรุงเทพฯ เป็นคนล้มรัฐบาล น่าจะใช้ไม่ได้กับสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน..
เพราะทั้งต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ ล้วนแต่ร่วมด้วยช่วยกันโอบอุ้ม ให้โอกาสแก่นายกฯ ที่ชื่ออภิสิทธิ์และรัฐบาลชุดนี้อย่างค่อนข้างพร้อมเพรียง...
น่าจะกล่าวได้ว่า ความขัดแย้งของคนในชาติ (อันเนื่องจาก “ทักษิณ” เป็นต้นเหตุสำคัญ) ซึ่งยืดเยื้อยาวนานมาตั้งแต่ปี 2549 ทำให้ประชาชนจำนวนมากเหนื่อยล้าจนต้องเลือกข้าง...เลือกอภิสิทธิ์ด้วยหวังว่าบ้านเมืองจะได้ “พักหายใจ” และเดินหน้าต่อไปได้ด้วยความหวัง...
ผมเชื่อว่ายิ่งนานวัน หากประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและกระแสของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังแรงจัดในต่างจังหวัดหรือในขอบข่ายทั่วประเทศ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อาจจะต้องไปแก้ไขกลับข้างทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยเสียใหม่..
จาก คนต่างจังหวัดตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯล้มรัฐบาล
เป็นว่า...คนกรุงเทพฯ พยายามอุ้มรัฐบาล แต่คนต่างจังหวัดล้มรัฐบาล...
ก็เป็นได้...
ถึงวันนี้ต้องยอมรับว่า...ช่องว่างทางความคิด ความตื่นตัวทางการเมืองของคนต่างจังหวัด โดยเฉพาะต่างจังหวัดเขตเมืองกับคนเมืองหลวงแทบจะไม่มีแล้ว และถ้าจะให้กล่าวอย่างถึงที่สุดก็ต้องบอกว่า...การเมืองยุคจากนี้ไป ทั้งคนต่างจังหวัดกับคนกรุงเทพฯ จะจับมือกันทั้ง ตั้งและล้มรัฐบาล...หากว่ารัฐบาลทำผิดพลาด ทุจริตโกงกิน..
“สองนคราประชาภิวัฒน์..” ต่างหากที่จะมาแทน “สองนคราประชาธิปไตย”
เป็นสองนคราที่มีจุดร่วมรวมใจอยู่ที่คำว่า...ชาติ ศาสน์ กษัตริย์
เป็นสองนคราที่ยึดผลประโยชน์ชาติ ผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก อยู่เหนือผลประโยชน์ของพรรคการเมือง..
ทั้งหลายทั้งปวง..ปัจจัยชี้ขาดสำคัญก็คือ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง...
ดังนั้นหากรัฐบาลปรารถนาใคร่เห็นประชาชนต่างจังหวัดไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของนักการเมืองที่ชั่วช้าหรือระบอบอันเลวร้ายของคนบางกลุ่ม ก็ต้องจัดระเบียบสื่อที่ทะลุทะลวงด้วยข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง เข้าถึงประชาชนที่ถูกเรียกว่ารากหญ้าให้เร็วที่สุดและกว้างขวางที่สุด...
ประสานกับการกระตุ้นกลไกรัฐที่ดูแลด้านความมั่นคง ให้ลุกตื่นขึ้นมาทำงานเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างเข้มแข็งกว่าเดิม..
สองนคราจึงจะประชาภิวัฒน์เป็นจริง ..!!??