ASTVผู้จัดการรายวัน - อภิสิทธิ์ ระบุเสียง ส.ส.ที่ได้เพิ่มเพราะประชาชนต้องการให้ประเทศพ้นแตกแยก หนุนหลังรัฐบาลเดินหน้าทำงานแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ยันไม่มีปรับ ครม. พร้อมสร้างความเข้าใจ กลุ่มเสื้อแดง แต่การเคลื่อนไหวต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย ด้าน "เพื่อไทย" เสียงแข็งไม่ยอมรับแพ้เพราะ ระบอบทักษิณ เสื่อม อ้างเหตุพรรคถูกยุบ 2 รอบ ทำให้ขุนพลหาย จนเกิดสภาพหัวขาด ปลงขออยู่ไปตามมีตามเกิด เผยศาลฎีกาฯ รับคำร้องวินิจฉัยการแถลงนโยบายนอกสภาของรัฐบาล มาร์ค แล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ถึงผลการเลือกตั้งซ่อมที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.เพิ่มมากขึ้นว่า ผลการเลือกตั้งที่ไดมาไม่ได้บ่งบอกถึงอายุของรัฐบาล สิ่งแรกคืออยากแสดงความยินดีกับ ส.ส.ใหม่ทุกท่านที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา อยากขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้ง เพราะตรงนี้ถือเป็นกระบวนการสำคัญในระบอบประชาธิปไตย คิดว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมาสะท้อนสิ่งสำคัญสุดคือ เชื่อว่าประชาชนต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ต้องการเห็นความแตกแยกทั้งหลายลดลง ต้องการให้แก้ไขปัญหาโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องอื่นๆ เดินไปได้อย่างรวดเร็ว และราบรื่นที่สุด ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องอาศัยความร่วมมือจาก ส.ส.ทั้งเก่าและใหม่ด้วย
ผมจึงถือโอกาสนี้เชิญชวน ส.ส. ไม่ว่าจะอยู่พรรคไหน ฝ่ายไหน มาร่วมกันผลักดันสิ่งที่ตนจะเสนอเข้าสู่สภาใน 2 สัปดาห์แรกของสมัยประชุมนี้ คือเรื่องหนังสือสัญญาที่เกี่ยวข้องกับอาเซียนทั้งหมด กับเรื่องกฎหมายงบประมาณกลางปี เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าสมดังเจตนารมย์ตามที่ตนคิดว่าพี่น้องประชาชนได้สะท้อนออกมา
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งที่สะท้อนออกมา ส่วนหนึ่งเกิดจากผลงานที่ทำให้ประชาชนมีความหวังมากขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคงไม่ไปวิเคราะห์ในส่วน การตัดสินใจตรงนั้น แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาคือ ทุกคนอยากให้บ้านเมืองสงบและเดินไปข้างหน้า ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องรับไม้ต่อ และตนจะทำได้ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากส.ส. เมื่อถามว่า เสียงที่ออกมามองว่าเป็นแรงเหวี่ยงจากเสื้อแดง ที่ออกมาเคลื่อนไหวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอไม่วิเคราะห์ในรายละเอียด แต่คิดว่า ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาบอกว่า ต้องการให้รัฐบาลเดินหน้าทำงาน ซึ่งเป็นหน้าที่ของตนต้องสนองตอบตรงนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในทางกลับกันส.ส.อีกฝ่ายอาจมองว่า ที่รัฐบาลเดินหน้าไปได้ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีผลต่อเขาจึงอาจไม่ให้ความร่วมมือ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้สิ่งที่ประชาชนแสดงออกผ่านการเลือกตั้งคือ ไม่อยากให้นักการเมืองคิดกันในกรอบแบบนี้ และอยากให้คิดว่าขณะนี้บ้านเมืองถลำลึกเข้าสู่วิกฤติ และต้องช่วยกันพาออกจากวิกฤติให้ได้ เมื่อถามว่ามีความหวังมากน้อยแค่ไหนว่านักการเมืองจะคิดแบบนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนมีความหวังเสมอและยังเชื่อในกระบวนการประชาธิปไตย กระบวนการเลือกตั้ง และเชื่อว่าพรคการเมืองต้องสนองตอบเจตนารมย์ ของประชาชน
จากนี้ไปรัฐบาลจะเร่งรัดสิ่งที่เป็นนโยบายเร่งด่วนทั้งหลาย และถ้าได้รับความร่วมมือจากเพื่อนส.ส. มาตรการเศรษฐกิจที่สำคัญจะผ่านสภา อย่างน้อยในวาระที่ 1 และความพร้อมในข้อตกลงอาเซียนต่างๆ ก็จะคลี่คลายไป ตรงนี้ถือเป็นงานสำคัญ เชื่อว่าถ้ามี 2 ส่วนนี้ เรื่องอื่นๆ จะง่ายขึ้น เพราะเท่ากับว่าเราได้วางรากฐานแนวทาง การแก้ไขปัญหาหลักๆ เอาไว้
ส่วนตัวเลขเลือกตั้งที่ออกมาหลายฝ่ายอยากให้ปรับ ครม.นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่เป็นเหตุผลที่จะปรับครม. เพราะ พรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจกันอยู่แล้วที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งว่าโอกาสของแต่ละพรรคเป็นอย่างไร ซึ่งมีการประเมินไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่ตอนจัดตั้ง ครม. เมื่อถามว่า เสียงที่ได้เพิ่มมาจะลบคำสบประมาทที่ว่าทหารจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เสียงที่ได้มาขณะนี้เป็นสิ่งที่บอกว่า ประชาชนให้โอกาสเราทำงาน และเรามีหน้าที่ในการตอบแทนประชาชน
ส่วนที่มีคนสงสัยกันว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์ทำนายถูกต้องว่าจะได้กี่เสียง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ทำนายไว้เพราะตั้งแต่มาทำหน้าที่หัวหน้าพรรค พยายามทำระบบข้อมูล และบังเอิญการเลือกตั้งใน จังหวัดที่เราส่งสมัคร ล้วนแต่เป็นจังหวัดที่คะแนนเสียงของพรรคในระบบสัดส่วนคราวที่แล้วคะแนนดีมาก เช่นกรณีจ. ราชบุรี ซึ่งเป็นที่นั่งคนอื่น คะแนนสัดส่วนพรรคได้เป็นแสน แต่ตัวผู้สมัครของพรรคได้เพียง 4-5 หมื่น ฉะนั้นเราเอาตรงนี้เป็นเกณฑ์ แม้กรณี จ.ลำพูน จ.ลำปางก็เช่นเดียวกัน การพ่ายแพ้ของพรรคในระบบสัดส่วนคราวที่แล้วน้อยมาก แต่ตัวผู้สมัครแพ้เยอะ เราก็ปรับแนวทางนี้ตัวเลขผลการเลือกตั้งที่ออกมาหลายจังหวัดยังสะท้อนสภาพตรงนี้อยู่ ไม่มีอะไรพิเศษ ใช้วิธีทำงานแบบวิทยาศาสตร์ ไม่มีไสยศาสตร์
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการพูดคุยกับพรรคชาติไทยพัฒนาหรือไม่เพราะเป็นพรรคที่ออกมาเรียกร้องให้มีการปรับโควต้าใหม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่จริงคุยกันไว้แล้วตั้งแต่ก่อนแต่งตั้ง ครม. เวลานี้คิดว่าไม่มีความจำเป็นหากจะมีการปรับเปลี่ยนคงไม่ใช่เงื่อนไขที่เกี่ยวกับตัวเลขการเลือกตั้ง ถ้าจะมีการปรับเปลี่ยนครม. จะเป็นเหตุผลการทำงาน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีประเด็นนั้น
ส่วนที่มองกันว่ารัฐบาลนี้มีตัวช่วยเยอะ ทั้งพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ปัญหาเวลานี้กลุ่มเสื้อแดงที่ออกมาเคลื่อนไหว รัฐบาลจะทำความเข้าใจอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้ทำความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา และพยายามที่จะฟังว่าความต้องการของเขาคืออะไร ซึ่งบางประเด็นเราอาจจะเห็นต่างกันเป็นเรื่องปกติ แต่บางประเด็นที่เขาเรียกร้องแล้วมีเหตุผล เช่นเรื่องการ ปฏิรูปการเมืองที่ต้องทำต่อไป คิดว่า ควรจะสนองตอบตรงนั้น ขณะเดียวกันยืนยันว่า ตนไม่ได้ขัดข้องกับการเคลื่อนไหวที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญภายใต้กฎหมาย แต่ไม่สามารถจะให้เขาทำผิดกฎหมายไ ด้ ฉะนั้นถ้ารูปแบบการเคลื่อนไหวเขาปรับไป โดยเฉพาะภาพการทำร้ายร่างกายหรือขัดขวางการรณรงค์หาเสียงถ้าตรงนั้นหมดไป คิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
***แม้ได้ ส.ส.เพิ่มก็จะไม่เหลิงอำนาจ
ผู้สื่อข่าวถามว่าตัวเลขการเลือกตั้งซ่อมที่ออกมาเกรงกันว่ารัฐบาลจะเหลิงอำนาจ นายกรัฐมนตรกล่าวว่าเรื่องเหลิงอำนาจไม่มีตนยืนยันได้ เสียงของรัฐบาลแม้รับรองผลการเลือกตั้งตามที่ปรากฎมา ก็ไม่ได้มากกว่าฝ่ายค้าน จนถึงขนาดที่เรียกว่า จะทำให้ไปขัดขวางการตรวจสอบอะไรได้ สิ่งสำคัญคือ หลักคิดของคนที่มีอำนาจว่ายอมรับการตรวจสอบหรือไม่ ซึ่งตนได้วางเป็นแนวทางหลักการชัดเจน ว่ารัฐบาลและรัฐมนตรีทุกคนต้องยอมรับการตรวจสอบ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าไม่ห่วงที่ตัวเลขของรัฐบาลในสภามีมากจะทำให้ฝ่ายค้านไปเล่นเกมนอกสภา เพราะคิดว่าการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองและนักการเมืองต้องมีขอบเขตในตัวของมันเองและหากพรรคการเมืองจะเคลื่อนไหวจัดกิจกรรมนอกสภาก็ทำได้ แต่ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และไม่ให้มีความรุนแรง
ส่วนที่ฝ่ายค้านจะตั้งกระทู้ถามรัฐบาลเกี่ยวกับน้องสาวส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลมีเงินโอนเข้าบัญชี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบแต่เป็นสิทธิในการตรวจสอบ ผู้เกี่ยวข้องมีหน้าที่ชี้แจงเมื่อเวลามาถึง เมื่อถามว่า การเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งภาคเหนือและอีสานสะท้อนอะไรหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งสรุปอะไรเร็วเกินไป เป็นเพียงการเลือกตั้งซ่อม แต่คิดว่าโดยรวมทุกภาคทั่วประเทศส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายพยายามก้าวให้พ้นการเมืองความขัดแย้ง และต้องการให้มีการเมือง มาแก้ปัญหา ซึ่งการแก้ปัญหาตรงนี้เป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาลทำงาน ตนสรุปอย่างนี้
ส่วนผลการเลือกตั้งส่งสัญญาณแสดงว่ารัฐบาลจะเปิดประตูสู่อีสานใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคการเมืองทุกพรรคต้องการมีผู้สนับสนุนทุกพื้นที่ และตนได้ประกาศตั้งแต่วันแรกว่า ตนทำงานให้กับคนทุกภาค และเชื่อว่าทุกพรรคการเมือง ทำงานให้กับคนทุกภาค ขอให้เป็นอย่างนั้นดีกว่าที่แต่ละพรรคจะมาคิดถึงการทำงานให้เฉพาะกลุ่ม เฉพาะภาค
**เทพเทือกรับกดดันหลังได้เสียงเพิ่ม
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งนั้นมีทั้งดีใจ และหนักใจ ที่ดีใจเพราะการเลือกตั้งเมื่อวันที่11 ม.ค. เป็นการแสดงออกของประชาชน ว่าต้องการให้กำลังใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในบริหารบ้านเมืองและนำความสงบสุขกลับคืนมา ถือเป็นสิ่งเกินความคาดหมายของรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ แต่ที่หนักใจคือ ประชาชนแสดงเจตนารมณ์และตั้งความหวังอย่างนี้ถือเป็น ภาระหน้าที่ที่รัฐบาลต้องปฏิบัติให้สำเร็จ ที่หนักใจเพราะบางทีแรงใจของประชาชน มีความเร่งรัดอยู่ด้วย ต้องทำในเวลาที่จำกัด แต่ขอยืนยันว่า ทุกคนในรัฐบาลจะทำงาน อย่างเต็มขีดความสามารถด้วยความทุมเท เพื่อให้ความหวังของประชาชนเป็นจริงให้ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าเสียงของรัฐบาลเพิ่มขึ้นสุดท้ายจะเป็นการต่อรองจนรัฐบาลขาดเสถีรภาพ นายสุเทพ กล่าวว่า อยากให้มองในแง่ดีเพราะเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ทำไมต้องคิดในทางร้าย ขอให้คิดว่า การที่รัฐบาลได้เสียงเพิ่มขึ้น แสดงว่าประชาชน ให้การสนับสนุนรัฐบาลมากขึ้น และรัฐบาลเองจะทำงานในสภาฯง่ายขึ้น วันนี้ความแตกต่างระหว่างเสียงของรัฐบาลและฝ่ายค้าน อยู่ที่45-46 เสียงแล้ว เพราะฉะนั้นจะผลักดันกฏหมายต่างๆ มาเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศได้ง่ายขึ้น ยืนยันว่าไม่มีปัญหา
***ตกลงพรรคร่วมแล้วไม่ให้ รมต.เพิ่ม
นายสุเทพ ยืนยันว่าแม้พรรคร่วมรัฐบาลจะได้สงส.เพิ่มก็จะไม่มีการปรับ ครม. เพราะตอนที่ตนประสานตั้งรัฐบาลได้หารือกับแกนนพรรคต่างๆ ชัดเจนแล้วว่า เรามาช่วยกันแก้ไขปัญหาชาติใครมีความสันทัดงานในกระทรวงไหนก็ดูแลกระทรวงนั้นไป เพื่อจะได้ไม่เสียเวลามาเรียนงานใหม่ ไม่ได้คำนึงถึงว่าพรรคนั้นจะมีเสียงมาก หรือน้อย วันนี้จึงยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งพรรค ร่วมต้องเข้าใจตามนี้ด้วย
ต่อข้อถามว่า ได้หารือกับ พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ออกมาเปรยว่ามีเสียงมากขึ้นน่าจะได้โควตารัฐมนตรี เพิ่มหรือยัง นายสุเทพ กล่าว่า เป็นความเห็นของพล.ต. สนั่น แต่ไม่ใช่ความเห็น ส่วนใหญ่ และไม่ได้มีการหารือกันว่า ภายใน 3-6 เดือน จะมีการปรับเก้า รวมถึง ไม่มีแนวคิดที่จะปรับ ครม. อีกทั้งรัฐมนตรีเพิ่งเริ่มทำงาน ต้องให้รัฐมนตรี เร่งทำงานให้เร็วขึ้น
***พท.เสียงแข็งไม่รับสภาพเสื่อมถอย
ด้านนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงผลการเลือกตั้งซ่อม ที่พรรคเพื่อไทยได้เพียง 5 ที่นั่งว่า เป็นความตั้งใจของประชาชน ซึ่งพรรคเพื่อไทย เคารพเสียงของประชาชน เมื่อพิจารณาอย่างไรเรายอมรับได้ สำหรับการตรวจสอบรัฐบาลนั้น ไม่ว่าจะมีส.ส.จำนวนมากหรือน้อยก็ไม่ส่งผลต่อการตรวจสอบรัฐบาล เพราะประเด็นสำคัญอยู่ที่ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมากกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้วิเคราะห์กันหรือไม่ว่าฝ่ายค้านมีข้อบกพร่องตรงไหน หรือมีสาเหตุมาจากความเสื่อมถอยของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้ได้เสียงน้อย กว่าที่ประเมิณเอาไว้ นายยงยุทธ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับพ.ต.ท.ทักษิณ และฝ่ายค้านเองก็ไม่มีข้อบกพร่อง แต่เป็นเพราะพรรคได้ถูกยุบมาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งพรรคเพื่อไทยถือเป็นพรรคที่ 3 การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้คนที่มีความสามารถก็ติดปัญหาเรื่องการสังกัดพรรค 90 วันจึงแทบไม่มีตัวที่จะส่งลงสมัคร และตนไม่ได้มีบารมีอะไรมาก รวมไปถึงไม่มีขุนพลที่จะไปช่วยผู้สมัครส.ส.หาเสียง เหมือนในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ และนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี จึงทำให้ผู้สมัครอาจเกิดความรู้สึกว้าเหว่
ที่มีการพูดกันตามสื่อว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีหัวทำให้เกิดปัญหานั้น ยอมรับว่าใช่ เพราะพรรคนี้ศรีษะหาย แค่เดินได้และมีชีวิติอยู่รักษาตัวเองได้ก็ถือเป็นสิ่งดี มากแล้ว แต่เราคงไม่หวั่นไหวจะขออยู่ไปตามมีตามเกิด ส่วนจำนวนส.ส.ของพรรค ที่ได้เพิ่มมาเพียง 5 คนนั้น ผมถือว่าต้องกราบขอบพระคุณประชาชนที่เมตตาพรรคเพื่อไทยแล้วนายยงยุทธ กล่าว
***นัดถกผู้นำฝ่ายค้าน 13 ม.ค.นี้
นายยงยุทธ กล่าวว่า ในวันที่ 13 ม.ค.นี้ พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมส.ส. ของพรรคเพื่อหารือถึงบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งบุคคลนั้นจะต้องเป็นหัวหน้าพรรค แต่ตนไม่ได้เป็นส.ส.ทำให้เกิดความอิหลักอิเหลื่อมอยู่ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดทางให้คนที่เป็นส.ส.มาเป็นหัวหน้าพรรค แต่จะเป็นบุคคลใดนั้นขึ้นอยู่กับที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุมส.ส.ที่จะเสนอชื่อขึ้นมา แม้ว่าจะมีการหยิบยกเรื่องนี้มาพูดคุยกัน แต่ยังไม่สามารถ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคได้ เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันที่มีตนเป็นหัวหน้าพรรคยังไม่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)
นายยงยุทธ เปิดเผยว่า ในเวลา 9.30 น.ก่อนที่จะมีการประชุมส.ส. พรรคเพื่อไทยตนพร้อมด้วยนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา จะเดินทางไป ทาบทามพล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีตหัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ให้มาเป็นที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ซึ่งจากการพูดคุยเป็นการภายในพล.อ.เชษฐา ได้ตอบรับที่จะมาร่วมงานทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยแล้ว
***เสนาะเย้ยแม้รัฐบาลชนะแต่ปัญหายังมี
นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรประชาราช กล่าวว่า แม้พรรคร่วมรัฐบาลจะชนะเลือกตั้งซ่อม ส.ส. แต่เชื่อว่าปัญหาก็คงยังเกิดซ้ำซาก การเมืองก็ยังมีอุปสรรค ขวากหนามต่อไป ส่วนการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่ไร้สาระ และจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ มากขึ้น โดยแนวคิดรัฐบาลเพื่อชาติยังเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์เช่นนี้
ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย แพ้เลือกตั้ง เพราะความไม่พร้อม การหาเสียงไม่ง่ายเลยในเวลาที่สั้น ที่จะทำให้ประชาชนรู้จักพรรคเพื่อไทย และย้ายมาจากพรรคพลังประชาชน อีกทั้งมีปัญหาเรื่องการสังกัดพรรค 90 วัน จนเกิดปัญหาขึ้น แม้บางพรรคที่โดนยุบ แต่มีความแตกต่างบ้าง เช่นพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ไม่ได้แจ้งรายชื่อผู้สมัครส.ส. ให้กกต.รับทราบทุกสัปดาห์ แต่อ้างว่า สมัครมานานแล้ว แต่ก็ลงสมัครได้ ตรงนี้คือ ความได้เปรียบเสียเปรียบกัน เพราะผู้สมัครส.ส.นั้น ต้องแนะนำตัวให้ประชาชนรู้ว่าอยู่พรรคใดด้วย และการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยหาเสียงไม่ง่ายเพราะเพิ่งตั้งพรรคใหม่
***ศาลรับคำร้องแถลงนโยบายนอกสภา
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงความคืบหน้ากรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ให้วินิจฉัยกรณีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันแถลงนโยบายของรัฐบาล ที่กระทรวงการต่างประเทศ ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ว่า ขณะนี้ศาลได้รับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาแล้ว ขั้นตอนต่อไปศาลฎีกาจะเรียกประชุมเพื่อตั้งผู้ไต่สวนอิสระ ซึ่งภายหลังผู้ไต่สวนอิสระไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วจะต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด เพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณา และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลว่าบุคคลทั้งสามกระทำความผิด จะต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ทันที
นายพร้อมพงศ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลหยุดการแทรกแซงและคุกคามสื่อ โดยเฉพาะนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่จะปิดวิทยุชุมชน ซึ่งเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการลิดรอนสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและการรับรู้ของประชาชน
จากนั้น นายพิชา วิจิตรศิลป์ ตัวแทนประชาชน เข้ามามายื่นหนังสือต่อ นายมานิตย์ จิตจันทร์กลับ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เพื่อขอให้ นายมานิตย์ รวบรวมรายชื่อ ส.ส. จำนวนไม่น้อยกว่า 1ใน 4 ของสมาชิกในสภา เพื่อยื่นถอนถอน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา271อีกด้วยซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้ายื่นต่อประธานวุฒิสภา เพื่อรวบรวมรายชื่อประชาชน20,000คน เพื่อยื่นถอดถอนมาแล้ว.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ถึงผลการเลือกตั้งซ่อมที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.เพิ่มมากขึ้นว่า ผลการเลือกตั้งที่ไดมาไม่ได้บ่งบอกถึงอายุของรัฐบาล สิ่งแรกคืออยากแสดงความยินดีกับ ส.ส.ใหม่ทุกท่านที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา อยากขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่มีส่วนร่วมในกระบวนการเลือกตั้ง เพราะตรงนี้ถือเป็นกระบวนการสำคัญในระบอบประชาธิปไตย คิดว่าผลการเลือกตั้งที่ออกมาสะท้อนสิ่งสำคัญสุดคือ เชื่อว่าประชาชนต้องการให้ประเทศเดินไปข้างหน้า ต้องการเห็นความแตกแยกทั้งหลายลดลง ต้องการให้แก้ไขปัญหาโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องอื่นๆ เดินไปได้อย่างรวดเร็ว และราบรื่นที่สุด ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องอาศัยความร่วมมือจาก ส.ส.ทั้งเก่าและใหม่ด้วย
ผมจึงถือโอกาสนี้เชิญชวน ส.ส. ไม่ว่าจะอยู่พรรคไหน ฝ่ายไหน มาร่วมกันผลักดันสิ่งที่ตนจะเสนอเข้าสู่สภาใน 2 สัปดาห์แรกของสมัยประชุมนี้ คือเรื่องหนังสือสัญญาที่เกี่ยวข้องกับอาเซียนทั้งหมด กับเรื่องกฎหมายงบประมาณกลางปี เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าสมดังเจตนารมย์ตามที่ตนคิดว่าพี่น้องประชาชนได้สะท้อนออกมา
ผู้สื่อข่าวถามว่า สิ่งที่สะท้อนออกมา ส่วนหนึ่งเกิดจากผลงานที่ทำให้ประชาชนมีความหวังมากขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคงไม่ไปวิเคราะห์ในส่วน การตัดสินใจตรงนั้น แต่สิ่งที่สะท้อนออกมาคือ ทุกคนอยากให้บ้านเมืองสงบและเดินไปข้างหน้า ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องรับไม้ต่อ และตนจะทำได้ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากส.ส. เมื่อถามว่า เสียงที่ออกมามองว่าเป็นแรงเหวี่ยงจากเสื้อแดง ที่ออกมาเคลื่อนไหวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอไม่วิเคราะห์ในรายละเอียด แต่คิดว่า ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาบอกว่า ต้องการให้รัฐบาลเดินหน้าทำงาน ซึ่งเป็นหน้าที่ของตนต้องสนองตอบตรงนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในทางกลับกันส.ส.อีกฝ่ายอาจมองว่า ที่รัฐบาลเดินหน้าไปได้ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะมีผลต่อเขาจึงอาจไม่ให้ความร่วมมือ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้สิ่งที่ประชาชนแสดงออกผ่านการเลือกตั้งคือ ไม่อยากให้นักการเมืองคิดกันในกรอบแบบนี้ และอยากให้คิดว่าขณะนี้บ้านเมืองถลำลึกเข้าสู่วิกฤติ และต้องช่วยกันพาออกจากวิกฤติให้ได้ เมื่อถามว่ามีความหวังมากน้อยแค่ไหนว่านักการเมืองจะคิดแบบนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนมีความหวังเสมอและยังเชื่อในกระบวนการประชาธิปไตย กระบวนการเลือกตั้ง และเชื่อว่าพรคการเมืองต้องสนองตอบเจตนารมย์ ของประชาชน
จากนี้ไปรัฐบาลจะเร่งรัดสิ่งที่เป็นนโยบายเร่งด่วนทั้งหลาย และถ้าได้รับความร่วมมือจากเพื่อนส.ส. มาตรการเศรษฐกิจที่สำคัญจะผ่านสภา อย่างน้อยในวาระที่ 1 และความพร้อมในข้อตกลงอาเซียนต่างๆ ก็จะคลี่คลายไป ตรงนี้ถือเป็นงานสำคัญ เชื่อว่าถ้ามี 2 ส่วนนี้ เรื่องอื่นๆ จะง่ายขึ้น เพราะเท่ากับว่าเราได้วางรากฐานแนวทาง การแก้ไขปัญหาหลักๆ เอาไว้
ส่วนตัวเลขเลือกตั้งที่ออกมาหลายฝ่ายอยากให้ปรับ ครม.นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่เป็นเหตุผลที่จะปรับครม. เพราะ พรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจกันอยู่แล้วที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งว่าโอกาสของแต่ละพรรคเป็นอย่างไร ซึ่งมีการประเมินไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่ตอนจัดตั้ง ครม. เมื่อถามว่า เสียงที่ได้เพิ่มมาจะลบคำสบประมาทที่ว่าทหารจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เสียงที่ได้มาขณะนี้เป็นสิ่งที่บอกว่า ประชาชนให้โอกาสเราทำงาน และเรามีหน้าที่ในการตอบแทนประชาชน
ส่วนที่มีคนสงสัยกันว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์ทำนายถูกต้องว่าจะได้กี่เสียง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ทำนายไว้เพราะตั้งแต่มาทำหน้าที่หัวหน้าพรรค พยายามทำระบบข้อมูล และบังเอิญการเลือกตั้งใน จังหวัดที่เราส่งสมัคร ล้วนแต่เป็นจังหวัดที่คะแนนเสียงของพรรคในระบบสัดส่วนคราวที่แล้วคะแนนดีมาก เช่นกรณีจ. ราชบุรี ซึ่งเป็นที่นั่งคนอื่น คะแนนสัดส่วนพรรคได้เป็นแสน แต่ตัวผู้สมัครของพรรคได้เพียง 4-5 หมื่น ฉะนั้นเราเอาตรงนี้เป็นเกณฑ์ แม้กรณี จ.ลำพูน จ.ลำปางก็เช่นเดียวกัน การพ่ายแพ้ของพรรคในระบบสัดส่วนคราวที่แล้วน้อยมาก แต่ตัวผู้สมัครแพ้เยอะ เราก็ปรับแนวทางนี้ตัวเลขผลการเลือกตั้งที่ออกมาหลายจังหวัดยังสะท้อนสภาพตรงนี้อยู่ ไม่มีอะไรพิเศษ ใช้วิธีทำงานแบบวิทยาศาสตร์ ไม่มีไสยศาสตร์
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะมีการพูดคุยกับพรรคชาติไทยพัฒนาหรือไม่เพราะเป็นพรรคที่ออกมาเรียกร้องให้มีการปรับโควต้าใหม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่จริงคุยกันไว้แล้วตั้งแต่ก่อนแต่งตั้ง ครม. เวลานี้คิดว่าไม่มีความจำเป็นหากจะมีการปรับเปลี่ยนคงไม่ใช่เงื่อนไขที่เกี่ยวกับตัวเลขการเลือกตั้ง ถ้าจะมีการปรับเปลี่ยนครม. จะเป็นเหตุผลการทำงาน ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีประเด็นนั้น
ส่วนที่มองกันว่ารัฐบาลนี้มีตัวช่วยเยอะ ทั้งพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองค์มนตรีและรัฐบุรุษ ปัญหาเวลานี้กลุ่มเสื้อแดงที่ออกมาเคลื่อนไหว รัฐบาลจะทำความเข้าใจอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้ทำความเข้าใจอยู่ตลอดเวลา และพยายามที่จะฟังว่าความต้องการของเขาคืออะไร ซึ่งบางประเด็นเราอาจจะเห็นต่างกันเป็นเรื่องปกติ แต่บางประเด็นที่เขาเรียกร้องแล้วมีเหตุผล เช่นเรื่องการ ปฏิรูปการเมืองที่ต้องทำต่อไป คิดว่า ควรจะสนองตอบตรงนั้น ขณะเดียวกันยืนยันว่า ตนไม่ได้ขัดข้องกับการเคลื่อนไหวที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญภายใต้กฎหมาย แต่ไม่สามารถจะให้เขาทำผิดกฎหมายไ ด้ ฉะนั้นถ้ารูปแบบการเคลื่อนไหวเขาปรับไป โดยเฉพาะภาพการทำร้ายร่างกายหรือขัดขวางการรณรงค์หาเสียงถ้าตรงนั้นหมดไป คิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้น
***แม้ได้ ส.ส.เพิ่มก็จะไม่เหลิงอำนาจ
ผู้สื่อข่าวถามว่าตัวเลขการเลือกตั้งซ่อมที่ออกมาเกรงกันว่ารัฐบาลจะเหลิงอำนาจ นายกรัฐมนตรกล่าวว่าเรื่องเหลิงอำนาจไม่มีตนยืนยันได้ เสียงของรัฐบาลแม้รับรองผลการเลือกตั้งตามที่ปรากฎมา ก็ไม่ได้มากกว่าฝ่ายค้าน จนถึงขนาดที่เรียกว่า จะทำให้ไปขัดขวางการตรวจสอบอะไรได้ สิ่งสำคัญคือ หลักคิดของคนที่มีอำนาจว่ายอมรับการตรวจสอบหรือไม่ ซึ่งตนได้วางเป็นแนวทางหลักการชัดเจน ว่ารัฐบาลและรัฐมนตรีทุกคนต้องยอมรับการตรวจสอบ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าไม่ห่วงที่ตัวเลขของรัฐบาลในสภามีมากจะทำให้ฝ่ายค้านไปเล่นเกมนอกสภา เพราะคิดว่าการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองและนักการเมืองต้องมีขอบเขตในตัวของมันเองและหากพรรคการเมืองจะเคลื่อนไหวจัดกิจกรรมนอกสภาก็ทำได้ แต่ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย และไม่ให้มีความรุนแรง
ส่วนที่ฝ่ายค้านจะตั้งกระทู้ถามรัฐบาลเกี่ยวกับน้องสาวส.ส.ของพรรคร่วมรัฐบาลมีเงินโอนเข้าบัญชี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบแต่เป็นสิทธิในการตรวจสอบ ผู้เกี่ยวข้องมีหน้าที่ชี้แจงเมื่อเวลามาถึง เมื่อถามว่า การเปลี่ยนแปลงการเลือกตั้งภาคเหนือและอีสานสะท้อนอะไรหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่าเพิ่งสรุปอะไรเร็วเกินไป เป็นเพียงการเลือกตั้งซ่อม แต่คิดว่าโดยรวมทุกภาคทั่วประเทศส่งสัญญาณให้ทุกฝ่ายพยายามก้าวให้พ้นการเมืองความขัดแย้ง และต้องการให้มีการเมือง มาแก้ปัญหา ซึ่งการแก้ปัญหาตรงนี้เป็นการเปิดโอกาสให้รัฐบาลทำงาน ตนสรุปอย่างนี้
ส่วนผลการเลือกตั้งส่งสัญญาณแสดงว่ารัฐบาลจะเปิดประตูสู่อีสานใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคการเมืองทุกพรรคต้องการมีผู้สนับสนุนทุกพื้นที่ และตนได้ประกาศตั้งแต่วันแรกว่า ตนทำงานให้กับคนทุกภาค และเชื่อว่าทุกพรรคการเมือง ทำงานให้กับคนทุกภาค ขอให้เป็นอย่างนั้นดีกว่าที่แต่ละพรรคจะมาคิดถึงการทำงานให้เฉพาะกลุ่ม เฉพาะภาค
**เทพเทือกรับกดดันหลังได้เสียงเพิ่ม
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผลการเลือกตั้งนั้นมีทั้งดีใจ และหนักใจ ที่ดีใจเพราะการเลือกตั้งเมื่อวันที่11 ม.ค. เป็นการแสดงออกของประชาชน ว่าต้องการให้กำลังใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในบริหารบ้านเมืองและนำความสงบสุขกลับคืนมา ถือเป็นสิ่งเกินความคาดหมายของรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ แต่ที่หนักใจคือ ประชาชนแสดงเจตนารมณ์และตั้งความหวังอย่างนี้ถือเป็น ภาระหน้าที่ที่รัฐบาลต้องปฏิบัติให้สำเร็จ ที่หนักใจเพราะบางทีแรงใจของประชาชน มีความเร่งรัดอยู่ด้วย ต้องทำในเวลาที่จำกัด แต่ขอยืนยันว่า ทุกคนในรัฐบาลจะทำงาน อย่างเต็มขีดความสามารถด้วยความทุมเท เพื่อให้ความหวังของประชาชนเป็นจริงให้ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าเสียงของรัฐบาลเพิ่มขึ้นสุดท้ายจะเป็นการต่อรองจนรัฐบาลขาดเสถีรภาพ นายสุเทพ กล่าวว่า อยากให้มองในแง่ดีเพราะเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ทำไมต้องคิดในทางร้าย ขอให้คิดว่า การที่รัฐบาลได้เสียงเพิ่มขึ้น แสดงว่าประชาชน ให้การสนับสนุนรัฐบาลมากขึ้น และรัฐบาลเองจะทำงานในสภาฯง่ายขึ้น วันนี้ความแตกต่างระหว่างเสียงของรัฐบาลและฝ่ายค้าน อยู่ที่45-46 เสียงแล้ว เพราะฉะนั้นจะผลักดันกฏหมายต่างๆ มาเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศได้ง่ายขึ้น ยืนยันว่าไม่มีปัญหา
***ตกลงพรรคร่วมแล้วไม่ให้ รมต.เพิ่ม
นายสุเทพ ยืนยันว่าแม้พรรคร่วมรัฐบาลจะได้สงส.เพิ่มก็จะไม่มีการปรับ ครม. เพราะตอนที่ตนประสานตั้งรัฐบาลได้หารือกับแกนนพรรคต่างๆ ชัดเจนแล้วว่า เรามาช่วยกันแก้ไขปัญหาชาติใครมีความสันทัดงานในกระทรวงไหนก็ดูแลกระทรวงนั้นไป เพื่อจะได้ไม่เสียเวลามาเรียนงานใหม่ ไม่ได้คำนึงถึงว่าพรรคนั้นจะมีเสียงมาก หรือน้อย วันนี้จึงยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งพรรค ร่วมต้องเข้าใจตามนี้ด้วย
ต่อข้อถามว่า ได้หารือกับ พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ออกมาเปรยว่ามีเสียงมากขึ้นน่าจะได้โควตารัฐมนตรี เพิ่มหรือยัง นายสุเทพ กล่าว่า เป็นความเห็นของพล.ต. สนั่น แต่ไม่ใช่ความเห็น ส่วนใหญ่ และไม่ได้มีการหารือกันว่า ภายใน 3-6 เดือน จะมีการปรับเก้า รวมถึง ไม่มีแนวคิดที่จะปรับ ครม. อีกทั้งรัฐมนตรีเพิ่งเริ่มทำงาน ต้องให้รัฐมนตรี เร่งทำงานให้เร็วขึ้น
***พท.เสียงแข็งไม่รับสภาพเสื่อมถอย
ด้านนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงผลการเลือกตั้งซ่อม ที่พรรคเพื่อไทยได้เพียง 5 ที่นั่งว่า เป็นความตั้งใจของประชาชน ซึ่งพรรคเพื่อไทย เคารพเสียงของประชาชน เมื่อพิจารณาอย่างไรเรายอมรับได้ สำหรับการตรวจสอบรัฐบาลนั้น ไม่ว่าจะมีส.ส.จำนวนมากหรือน้อยก็ไม่ส่งผลต่อการตรวจสอบรัฐบาล เพราะประเด็นสำคัญอยู่ที่ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมากกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้วิเคราะห์กันหรือไม่ว่าฝ่ายค้านมีข้อบกพร่องตรงไหน หรือมีสาเหตุมาจากความเสื่อมถอยของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำให้ได้เสียงน้อย กว่าที่ประเมิณเอาไว้ นายยงยุทธ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกับพ.ต.ท.ทักษิณ และฝ่ายค้านเองก็ไม่มีข้อบกพร่อง แต่เป็นเพราะพรรคได้ถูกยุบมาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งพรรคเพื่อไทยถือเป็นพรรคที่ 3 การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้คนที่มีความสามารถก็ติดปัญหาเรื่องการสังกัดพรรค 90 วันจึงแทบไม่มีตัวที่จะส่งลงสมัคร และตนไม่ได้มีบารมีอะไรมาก รวมไปถึงไม่มีขุนพลที่จะไปช่วยผู้สมัครส.ส.หาเสียง เหมือนในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ และนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี จึงทำให้ผู้สมัครอาจเกิดความรู้สึกว้าเหว่
ที่มีการพูดกันตามสื่อว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีหัวทำให้เกิดปัญหานั้น ยอมรับว่าใช่ เพราะพรรคนี้ศรีษะหาย แค่เดินได้และมีชีวิติอยู่รักษาตัวเองได้ก็ถือเป็นสิ่งดี มากแล้ว แต่เราคงไม่หวั่นไหวจะขออยู่ไปตามมีตามเกิด ส่วนจำนวนส.ส.ของพรรค ที่ได้เพิ่มมาเพียง 5 คนนั้น ผมถือว่าต้องกราบขอบพระคุณประชาชนที่เมตตาพรรคเพื่อไทยแล้วนายยงยุทธ กล่าว
***นัดถกผู้นำฝ่ายค้าน 13 ม.ค.นี้
นายยงยุทธ กล่าวว่า ในวันที่ 13 ม.ค.นี้ พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมส.ส. ของพรรคเพื่อหารือถึงบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งบุคคลนั้นจะต้องเป็นหัวหน้าพรรค แต่ตนไม่ได้เป็นส.ส.ทำให้เกิดความอิหลักอิเหลื่อมอยู่ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดทางให้คนที่เป็นส.ส.มาเป็นหัวหน้าพรรค แต่จะเป็นบุคคลใดนั้นขึ้นอยู่กับที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคและที่ประชุมส.ส.ที่จะเสนอชื่อขึ้นมา แม้ว่าจะมีการหยิบยกเรื่องนี้มาพูดคุยกัน แต่ยังไม่สามารถ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างกรรมการบริหารพรรคได้ เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบันที่มีตนเป็นหัวหน้าพรรคยังไม่ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)
นายยงยุทธ เปิดเผยว่า ในเวลา 9.30 น.ก่อนที่จะมีการประชุมส.ส. พรรคเพื่อไทยตนพร้อมด้วยนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา จะเดินทางไป ทาบทามพล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร อดีตหัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ให้มาเป็นที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ซึ่งจากการพูดคุยเป็นการภายในพล.อ.เชษฐา ได้ตอบรับที่จะมาร่วมงานทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยแล้ว
***เสนาะเย้ยแม้รัฐบาลชนะแต่ปัญหายังมี
นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรประชาราช กล่าวว่า แม้พรรคร่วมรัฐบาลจะชนะเลือกตั้งซ่อม ส.ส. แต่เชื่อว่าปัญหาก็คงยังเกิดซ้ำซาก การเมืองก็ยังมีอุปสรรค ขวากหนามต่อไป ส่วนการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่ไร้สาระ และจะเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ มากขึ้น โดยแนวคิดรัฐบาลเพื่อชาติยังเป็นสิ่งที่เหมาะสมกับสถานการณ์เช่นนี้
ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา โฆษกส่วนตัวพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย แพ้เลือกตั้ง เพราะความไม่พร้อม การหาเสียงไม่ง่ายเลยในเวลาที่สั้น ที่จะทำให้ประชาชนรู้จักพรรคเพื่อไทย และย้ายมาจากพรรคพลังประชาชน อีกทั้งมีปัญหาเรื่องการสังกัดพรรค 90 วัน จนเกิดปัญหาขึ้น แม้บางพรรคที่โดนยุบ แต่มีความแตกต่างบ้าง เช่นพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ไม่ได้แจ้งรายชื่อผู้สมัครส.ส. ให้กกต.รับทราบทุกสัปดาห์ แต่อ้างว่า สมัครมานานแล้ว แต่ก็ลงสมัครได้ ตรงนี้คือ ความได้เปรียบเสียเปรียบกัน เพราะผู้สมัครส.ส.นั้น ต้องแนะนำตัวให้ประชาชนรู้ว่าอยู่พรรคใดด้วย และการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยหาเสียงไม่ง่ายเพราะเพิ่งตั้งพรรคใหม่
***ศาลรับคำร้องแถลงนโยบายนอกสภา
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงความคืบหน้ากรณีที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นคำร้องต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ให้วินิจฉัยกรณีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกันแถลงนโยบายของรัฐบาล ที่กระทรวงการต่างประเทศ ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ว่า ขณะนี้ศาลได้รับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาแล้ว ขั้นตอนต่อไปศาลฎีกาจะเรียกประชุมเพื่อตั้งผู้ไต่สวนอิสระ ซึ่งภายหลังผู้ไต่สวนอิสระไต่สวนข้อเท็จจริงแล้วจะต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด เพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือส่งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณา และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลว่าบุคคลทั้งสามกระทำความผิด จะต้องหยุดการปฏิบัติหน้าที่ทันที
นายพร้อมพงศ์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลหยุดการแทรกแซงและคุกคามสื่อ โดยเฉพาะนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่จะปิดวิทยุชุมชน ซึ่งเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการลิดรอนสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและการรับรู้ของประชาชน
จากนั้น นายพิชา วิจิตรศิลป์ ตัวแทนประชาชน เข้ามามายื่นหนังสือต่อ นายมานิตย์ จิตจันทร์กลับ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เพื่อขอให้ นายมานิตย์ รวบรวมรายชื่อ ส.ส. จำนวนไม่น้อยกว่า 1ใน 4 ของสมาชิกในสภา เพื่อยื่นถอนถอน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา271อีกด้วยซึ่งก่อนหน้านี้ได้เข้ายื่นต่อประธานวุฒิสภา เพื่อรวบรวมรายชื่อประชาชน20,000คน เพื่อยื่นถอดถอนมาแล้ว.