ASTVผู้จัดการรายวัน – เชสเตอร์ กริลล์ ส่งเมนูประหยัด-สุขภาพ รับมือวิกฤตเศรษฐกิจ กระทบพฤติกรรมการกินอาหารนอกบ้านวูบ หั่นราคาอาหาร 8 ชุดเปิดตัวทุกไตรมาส ชี้ปีวัวตลาดฟาสต์ฟูดแข่งสงครามราคา โปรโมชันเดือด ชิงลูกค้า ตั้งเป้า 5 ปี ขยาย 300 แห่ง สิ้นปีนี้โกย 1,400 ล้านบาท โต 20% ด้านนมซีพี-เมจิลดไซซ์รับกำลังซื้อหด
นายสุวัฒน์ ทรงพัฒนะโยธิน รองกรรมการผู้จัดการ ด้านปฏิบัติ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ผู้ดูแลรับผิดชอบธุรกิจร้านอาหารเชสเตอร์ กริลล์และเชสเตอร์ คอฟฟี่ เปิดเผยว่า กลยุทธ์ทางการตลาดในปี 2552 จะชูเรื่องของสุขภาพและความคุ้มค่าเป็นหลัก โดยมีแผนเปิดตัวชุดอาหารลดราคาประมาณ 8 ชุด โดยแบ่งเป็นไตรมาสละ 2 ชุด รวมทั้งมีการจัดชุดอาหารแบบคุ้มค่า 4 รายการ แบ่งเป็นไตรมาสละ 1 รายการ จากปัจจุบันผู้บริโภคที่ซื้อชุดคอมโบเฉลี่ยอยู่ที่บิลละ 100-110 บาท โดยราคาเฉลี่ยชุดละประมาณ 70-90 บาท
ปีที่ผ่านมากลุ่มอาหารทานเล่น โดยเฉพาะไก่กระเป๋ายอดขายตกลง 15-20% ดังนั้นเราจึงต้องจับตาพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และเปิดตัวเมนูประหยัดออกมา ซึ่งการปรับตัวโดยหันมาเน้นความคุ้มค่า เพื่อรองรับกับแนวโน้มการแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในปี 2552 มองว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันเรื่องของราคา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งในปีนี้บริษัทไม่มีแผนปรับราคาอาหารเพิ่มขึ้น
สำหรับการขยายสาขาปีนี้ 20 สาขาเป็นอย่างต่ำและอาจสูงสุดถึง 30 สาขาในทั่วประเทศ โดยจะเน้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 80% และต่างจังหวัด 20% ทั้งนี้ยังมีการขยายสาขาไปกับทางปั๊มน้ำมันปตท. 15 สาขา ทั้งในส่วนกรุงเทพและปริมณฑล เพื่อตอบสนองความต้องการของนักเดินทาง คาดว่าภายในปี 2556 หรืออีก 5 ปี จะสามารถขยายสาขาทั้งสิ้นเป็น 300 สาขาในทั่วประเทศ จากปัจจุบันมี 148 สาขา
นายสุวัฒน์ กล่าวต่อว่า การขยายสาขาของเชสเตอร์ กริลล์ ส่วนใหญ่จะเป็นการขายแฟรนไชส์ โดยปัจจุบันมีสัดส่วน 60% และเป็นของบริษัท 40% ทั้งนี้คาดว่าภายใน 3 ปี จะมีสัดส่วนของการขยายแฟรนไชส์ 75% และบริษัทเหลือเป็น 25% สำหรับการทำแฟรนไชส์ใช้เงินลงทุนประมาณสาขาละ 5-6 ล้านบาทต่อสาขา โดยถือเป็นการลงทุนที่เหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ทั้งนี้กลุ่มบุคคลที่ร่วมลงทุนการขยายสาขาแบบแฟรนไชส์ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีธุรกิจของตัวเองอยู่แล้ว แต่มีการเพิ่มธุรกิจเพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีการทบทวนแผนการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งพื้นที่ที่มองว่าจะลงทุนส่วนใหญ่ จะเป็นพื้นที่ที่มีฐานการผลิตของบริษัทซีพี อย่างมาเลเซีย เวียดนามและสิงค์โปร์
ผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 20% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,400 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เติบโต 18% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยการเติบโต 10% มาจากการขยายสาขาใหม่ 20 แห่ง และสาขาเดิมเติบโต 8%
**ซีพี-เมจิลดไซซ์รับกำลังซื้อหด
นายไพศาล จงบัญญัติเจริญ กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด กล่าวว่า การทำตลาดปีนี้บริษัทปรับขนาดผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ แทนที่ปรับราคาขึ้น ล่าสุดได้ปรัจากเหลือ 100 ซีซีจาก 120 ซีซี ราคากล่องละ 11.50 บาท หรือในขนาดขนาด 450 ซีซี อาจลดลงเหลือ 400 ซีซี ต่อไปจะมีการลดขนาดในไลน์สินค้าอื่นๆ
ด้านการพัฒนาสินค้าเน้นผลิตสินค้ามีคุณภาพ ตอบสนองผู้บริโภครุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพ โดยจะลดปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ของซีพีทุกรายการ เริ่มต้นจาก คัพโยเกิร์ต นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม และยังสามารถขยายตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น ส่วนไตรมาส 2 จะทยอยส่งสินค้าพรีเมียมในกลุ่มนมพาสเจอร์ไรส์
ปีนี้บริษัทใช้งบ 180 ล้านบาท แบ่งเป็น งบโฆษณาประชาสัมพันธ์ 100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 80 ล้านบาท เป็นการลงทุนไลน์การผลิตต่างๆ ภายในโรงงาน เพื่อรองรับแผนการทำตลาดที่วางไว้ว่าจะมีการส่งนวัตกรรมใหม่ออกมาทุกไตรมาส ทั้งนี้คาดว่าสิ้นปีส่วนแบ่งเพิ่มจากกว่า 51% เป็น 55% จากมูลค่าตลาดพาสเจอร์ไรส์ 3,100 ล้านบาท
นายสุวัฒน์ ทรงพัฒนะโยธิน รองกรรมการผู้จัดการ ด้านปฏิบัติ บริษัท เชสเตอร์ฟู้ด จำกัด ผู้ดูแลรับผิดชอบธุรกิจร้านอาหารเชสเตอร์ กริลล์และเชสเตอร์ คอฟฟี่ เปิดเผยว่า กลยุทธ์ทางการตลาดในปี 2552 จะชูเรื่องของสุขภาพและความคุ้มค่าเป็นหลัก โดยมีแผนเปิดตัวชุดอาหารลดราคาประมาณ 8 ชุด โดยแบ่งเป็นไตรมาสละ 2 ชุด รวมทั้งมีการจัดชุดอาหารแบบคุ้มค่า 4 รายการ แบ่งเป็นไตรมาสละ 1 รายการ จากปัจจุบันผู้บริโภคที่ซื้อชุดคอมโบเฉลี่ยอยู่ที่บิลละ 100-110 บาท โดยราคาเฉลี่ยชุดละประมาณ 70-90 บาท
ปีที่ผ่านมากลุ่มอาหารทานเล่น โดยเฉพาะไก่กระเป๋ายอดขายตกลง 15-20% ดังนั้นเราจึงต้องจับตาพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และเปิดตัวเมนูประหยัดออกมา ซึ่งการปรับตัวโดยหันมาเน้นความคุ้มค่า เพื่อรองรับกับแนวโน้มการแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดในปี 2552 มองว่าจะเป็นเรื่องของการแข่งขันเรื่องของราคา เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งในปีนี้บริษัทไม่มีแผนปรับราคาอาหารเพิ่มขึ้น
สำหรับการขยายสาขาปีนี้ 20 สาขาเป็นอย่างต่ำและอาจสูงสุดถึง 30 สาขาในทั่วประเทศ โดยจะเน้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 80% และต่างจังหวัด 20% ทั้งนี้ยังมีการขยายสาขาไปกับทางปั๊มน้ำมันปตท. 15 สาขา ทั้งในส่วนกรุงเทพและปริมณฑล เพื่อตอบสนองความต้องการของนักเดินทาง คาดว่าภายในปี 2556 หรืออีก 5 ปี จะสามารถขยายสาขาทั้งสิ้นเป็น 300 สาขาในทั่วประเทศ จากปัจจุบันมี 148 สาขา
นายสุวัฒน์ กล่าวต่อว่า การขยายสาขาของเชสเตอร์ กริลล์ ส่วนใหญ่จะเป็นการขายแฟรนไชส์ โดยปัจจุบันมีสัดส่วน 60% และเป็นของบริษัท 40% ทั้งนี้คาดว่าภายใน 3 ปี จะมีสัดส่วนของการขยายแฟรนไชส์ 75% และบริษัทเหลือเป็น 25% สำหรับการทำแฟรนไชส์ใช้เงินลงทุนประมาณสาขาละ 5-6 ล้านบาทต่อสาขา โดยถือเป็นการลงทุนที่เหมาะกับสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
ทั้งนี้กลุ่มบุคคลที่ร่วมลงทุนการขยายสาขาแบบแฟรนไชส์ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีธุรกิจของตัวเองอยู่แล้ว แต่มีการเพิ่มธุรกิจเพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีการทบทวนแผนการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งพื้นที่ที่มองว่าจะลงทุนส่วนใหญ่ จะเป็นพื้นที่ที่มีฐานการผลิตของบริษัทซีพี อย่างมาเลเซีย เวียดนามและสิงค์โปร์
ผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 20% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,400 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เติบโต 18% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท โดยการเติบโต 10% มาจากการขยายสาขาใหม่ 20 แห่ง และสาขาเดิมเติบโต 8%
**ซีพี-เมจิลดไซซ์รับกำลังซื้อหด
นายไพศาล จงบัญญัติเจริญ กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีพี-เมจิ จำกัด กล่าวว่า การทำตลาดปีนี้บริษัทปรับขนาดผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับกำลังซื้อผู้บริโภคที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ แทนที่ปรับราคาขึ้น ล่าสุดได้ปรัจากเหลือ 100 ซีซีจาก 120 ซีซี ราคากล่องละ 11.50 บาท หรือในขนาดขนาด 450 ซีซี อาจลดลงเหลือ 400 ซีซี ต่อไปจะมีการลดขนาดในไลน์สินค้าอื่นๆ
ด้านการพัฒนาสินค้าเน้นผลิตสินค้ามีคุณภาพ ตอบสนองผู้บริโภครุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพ โดยจะลดปริมาณน้ำตาลในผลิตภัณฑ์ของซีพีทุกรายการ เริ่มต้นจาก คัพโยเกิร์ต นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม และยังสามารถขยายตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น ส่วนไตรมาส 2 จะทยอยส่งสินค้าพรีเมียมในกลุ่มนมพาสเจอร์ไรส์
ปีนี้บริษัทใช้งบ 180 ล้านบาท แบ่งเป็น งบโฆษณาประชาสัมพันธ์ 100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 80 ล้านบาท เป็นการลงทุนไลน์การผลิตต่างๆ ภายในโรงงาน เพื่อรองรับแผนการทำตลาดที่วางไว้ว่าจะมีการส่งนวัตกรรมใหม่ออกมาทุกไตรมาส ทั้งนี้คาดว่าสิ้นปีส่วนแบ่งเพิ่มจากกว่า 51% เป็น 55% จากมูลค่าตลาดพาสเจอร์ไรส์ 3,100 ล้านบาท