เชื่อว่าภาพเหตุการณ์ที่คนระดับ นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ถูกกลุ่มเสื้อแดง “คุกคาม” ระหว่างการนำ นายมัธยม นิภาเกษม ลูกพรรคหาเสียงเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดลำปาง ทั้งในรูปของการเข้าไปตะโกนต่อว่า และขับไล่ในระยะประชิดทันทีที่อดีตนายกรัฐมนตรีเท้าแตะสนามบิน หรือที่ถูกทำร้ายเพราะโดนมือ (ไม่) ดีปาไข่ไก่ใส่เข้าเต็มหน้า บนรถหาเสียงเคลื่อนที่
สองภาพนี้ น่าจะสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อยให้กับคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศทั้งที่เป็นและไม่เป็นแฟนคลับของประชาธิปัตย์ เหตุเพราะเป้าของการถูก “คุกคาม” ครั้งนี้ไม่ใช่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับเป็นตัวประธานที่ปรึกษาพรรคซึ่งไม่ได้มี “ตำแหน่งทางการเมืองใดๆ เลยในรัฐบาลชุดนี้” จึงไม่อาจมองได้ว่า เป็นการแก้แค้นการเมือง หรือเป็นการแสดงออกซึ่งความไม่ยอมรับในรัฐบาลชุดนี้
อีกทั้งข้อแก้ตัวที่ว่า คนเสื้อแดงพยายามย้อนศรการกระทำคนเสื้อเหลืองก็น่าจะฟังไม่ขึ้น เพราะนอกจากคนเสื้อเหลืองไม่เคยปาไข่ใส่หน้าใครแล้ว (แม้จิตใต้สำนึก หรือ id อยากจะทำก็ตาม แต่ superego ได้มาห้ามเอาไว้) ตัวนายชวน หลีกภัย ก็ยังถือเป็นหนึ่งในผู้ที่เคยออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับปรากฏการณ์ มือตบอาละวาดไล่อดีตนายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรืออดีตรัฐมนตรีของพรรคพลังประชาชน ในอดีตด้วย
น่าสังเกตว่า ตีนตบของกลุ่มเสื้อแดง แม้จะมีอิทธิฤทธิ์ไปในทางที่เน้นกระทำรุนแรงจนกลายเป็นการคุกคาม ทำร้ายร่างกายมากกว่าจะอ้างเป็นสิทธิในการแสดงออกของประชาชน แต่ถ้ามองในแง่ของขอบเขตอานุภาพ เชื่อเถอะว่า ตีนตบเหล่านี้จะออกอาละวาดได้ในพื้นที่จำกัด นั่นคือเฉพาะในพื้นที่ฐานกำลังของตนเองเท่านั้น ไล่ตั้งแต่ หน้าทำเนียบฯ รัฐสภา พื้นที่ปริมณฑล และมีการกระจายตัวหนาแน่นในพื้นที่โซนภาคเหนือเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยอยู่ในขบวนการ “จัดให้” ของกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51, คนรักลำพูน, คนรักลำปาง แต่ไม่รักชาติ ที่มี นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล และบรรดาดีเจจากคลื่นวิทยุชุมชน คอยปลุกระดมเกณฑ์คนออกมา
แต่เชื่อเถอะว่า อานุภาพของ ตีนตบจะไปไม่ได้ไกลกว่านี้ ไอ้ที่จะไปเห็นภาพตีนตบตามไปตบในพื้นที่อย่างจังหวัดตรัง สุราษฎร์ธานี หรือแม้แต่สงขลา หาดใหญ่ คงจะไม่มีเป็นแน่ เพราะถ้าตีนตบออกมา คงไม่พ้นเจอตีนจริงของคนในพื้นที่ตามบดขยี้จมธรณี ซึ่งตรงนี้ต่างจากกรณีอานุภาพมือตบของสาวเสื้อเหลือง จำได้หรือไม่ว่า เคยก่อวีรกรรมวัดใจ ถึงขั้นวิ่งเข้าไปตบไล่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ในเขตบ้านเมียสมชาย ที่เชียงราย เชียงใหม่มาแล้ว แม้จะเป็นลักษณะของการบุกเดี่ยวโดยมือตบสาววัยกลางคนก็ตาม และจำได้ว่า พันธมิตรฯ สาวท่านนั้นถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไปดำเนินคดีอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย
แต่แม้ว่างานนี้นายหัวชวน จะถือคติ เวรระงับด้วยการไม่จองเวร และห้ามปรามมิให้ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ลงดาบจัดการกับพ่อเมือง หรือนายตำรวจระดับผู้บังคับบัญชา ทั้งที่เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน ที่ปล่อยให้เรื่องร้ายเกิดขึ้นในพื้นที่ของตน แต่ดูเหมือน “กรรมติดไข่” จะมาไวกว่า “กรรมติดจรวด”
เพราะทันทีที่สามเกลอหัวขวด แกนนำคนเสื้อแดงลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ช่วยลูกพรรคเพื่อไทยหาเสียงบ้าง ก็เป็นคิวของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 200 คน ที่ใส่เสื้อแดงมานั่งปะปนฟังปราศรัย ระดมปาไข่เน่าใส่หน้าเฮียตู่กันอย่างต่อเนื่อง เป็นชุด ...ข่าวรายงานว่า จังหวะที่ไข่เน่านับร้อยกระทบหน้าพี่ตู่ เป็นนาทีหลังจากพี่ตู่ปากเสีย ปราศรัยโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และยังพาดพิงไปถึงนายเนวิน ชิดชอบ และนายทรงศักดิ์ ทองศรีพอดิบพอดี งานนี้บอกได้เลยไม่ต้องถึงมือคนเสื้อเหลืองที่คั่งแค้น แต่เสร็จแค่มือ “แดงกบฏ” ด้วยกันเอง
วันเดียวกับที่มีเรื่องร้ายๆ ก็พอจะมีข่าวดีอยู่บ้าง เมื่อสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2552 ในงานประกาศรางวัลเกี่ยวกับธุรกิจการท่องเที่ยวในนอร์เวย์ “Grand Travel Award 2009” ที่ กรุงออสโล นายจุลพงษ์ โนนศรีชัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้ารับรางวัล “The Best Tourist Destination” เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน และนายมานิตย์ บุญฉิม ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประจำสวีเดน และผู้แทนบริษัทการบินไทยประจำนอร์เวย์ เข้ารับรางวัล “The Best Intercontinental Airlines” เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน
เป็นเครื่องยืนยันว่า นักท่องเที่ยวตะวันตกยังมีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในฐานะเป็นจุดมุ่งหมายการท่องเที่ยวที่อยากจะเดินทางมามากที่สุด แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่นำไปสู่การปิดท่าอากาศยานฯ ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
ประกอบกับสภาวการณ์กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ทั้งในพื้นที่ท่องเที่ยวภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ หรือแม้แต่อีสานบางส่วนของไทย ก็เริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติ เตรียมกลับมาเรียกเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยวต่างชาติเหมือนทุกปีที่เคยเป็นมากันแล้ว จะน่าเสียดายก็ที่พื้นที่ท่องเที่ยวหลักในฤดูหนาวอย่าง เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ที่ไม่น่าจะถูกคนหยิบมือเดียวสกัดกั้นความเจริญ ด้วยการเคลื่อนไหวที่ป่าเถื่อนเลย
ลองคิดดูง่ายๆ ว่า จังหวัดเหล่านี้ต้องสูญเสียรายได้ สูญเสียโอกาสอันดีไปเท่าไหร่ ตั้งแต่การพลาดโอกาส ที่จะถูกใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมอาเซียนซัมมิท เพราะปากคนเสื้อแดงในพื้นที่ที่ออกมาขู่จะป่วนงาน พลาดเม็ดเงินงบประมาณอันมหาศาลที่จะถูกส่งลงไปหมุนเวียนในพื้นที่นั้นๆ และยังไม่รวมตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวที่จะหดลงต่อเนื่อง เพราะอย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติเลย คนไทยด้วยกันเห็นหน้า นายเพชรวรรตก็เบื่อ พาลจะหนีไปขึ้นเขา เที่ยวน้ำตก เที่ยวทะเลแทนแม้จะหนาวเย็นหน่อย แต่ก็อุ่นใจกว่า
สุดท้ายก็ได้แต่รอว่า จะมีกลุ่มพลังเงียบที่รักสงบ และตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินที่อดรนทนไม่ได้จะออกมาปรามคนเหล่านี้บ้างว่า คนเชียงใหม่เบื่อความวุ่นวายแล้ว หยุดทำให้บ้านเกิด (ของตรู) เสื่อมเสียสักที...
สองภาพนี้ น่าจะสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจไม่น้อยให้กับคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศทั้งที่เป็นและไม่เป็นแฟนคลับของประชาธิปัตย์ เหตุเพราะเป้าของการถูก “คุกคาม” ครั้งนี้ไม่ใช่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับเป็นตัวประธานที่ปรึกษาพรรคซึ่งไม่ได้มี “ตำแหน่งทางการเมืองใดๆ เลยในรัฐบาลชุดนี้” จึงไม่อาจมองได้ว่า เป็นการแก้แค้นการเมือง หรือเป็นการแสดงออกซึ่งความไม่ยอมรับในรัฐบาลชุดนี้
อีกทั้งข้อแก้ตัวที่ว่า คนเสื้อแดงพยายามย้อนศรการกระทำคนเสื้อเหลืองก็น่าจะฟังไม่ขึ้น เพราะนอกจากคนเสื้อเหลืองไม่เคยปาไข่ใส่หน้าใครแล้ว (แม้จิตใต้สำนึก หรือ id อยากจะทำก็ตาม แต่ superego ได้มาห้ามเอาไว้) ตัวนายชวน หลีกภัย ก็ยังถือเป็นหนึ่งในผู้ที่เคยออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับปรากฏการณ์ มือตบอาละวาดไล่อดีตนายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรืออดีตรัฐมนตรีของพรรคพลังประชาชน ในอดีตด้วย
น่าสังเกตว่า ตีนตบของกลุ่มเสื้อแดง แม้จะมีอิทธิฤทธิ์ไปในทางที่เน้นกระทำรุนแรงจนกลายเป็นการคุกคาม ทำร้ายร่างกายมากกว่าจะอ้างเป็นสิทธิในการแสดงออกของประชาชน แต่ถ้ามองในแง่ของขอบเขตอานุภาพ เชื่อเถอะว่า ตีนตบเหล่านี้จะออกอาละวาดได้ในพื้นที่จำกัด นั่นคือเฉพาะในพื้นที่ฐานกำลังของตนเองเท่านั้น ไล่ตั้งแต่ หน้าทำเนียบฯ รัฐสภา พื้นที่ปริมณฑล และมีการกระจายตัวหนาแน่นในพื้นที่โซนภาคเหนือเสียเป็นส่วนใหญ่ โดยอยู่ในขบวนการ “จัดให้” ของกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51, คนรักลำพูน, คนรักลำปาง แต่ไม่รักชาติ ที่มี นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล และบรรดาดีเจจากคลื่นวิทยุชุมชน คอยปลุกระดมเกณฑ์คนออกมา
แต่เชื่อเถอะว่า อานุภาพของ ตีนตบจะไปไม่ได้ไกลกว่านี้ ไอ้ที่จะไปเห็นภาพตีนตบตามไปตบในพื้นที่อย่างจังหวัดตรัง สุราษฎร์ธานี หรือแม้แต่สงขลา หาดใหญ่ คงจะไม่มีเป็นแน่ เพราะถ้าตีนตบออกมา คงไม่พ้นเจอตีนจริงของคนในพื้นที่ตามบดขยี้จมธรณี ซึ่งตรงนี้ต่างจากกรณีอานุภาพมือตบของสาวเสื้อเหลือง จำได้หรือไม่ว่า เคยก่อวีรกรรมวัดใจ ถึงขั้นวิ่งเข้าไปตบไล่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งที่ในเขตบ้านเมียสมชาย ที่เชียงราย เชียงใหม่มาแล้ว แม้จะเป็นลักษณะของการบุกเดี่ยวโดยมือตบสาววัยกลางคนก็ตาม และจำได้ว่า พันธมิตรฯ สาวท่านนั้นถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไปดำเนินคดีอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย
แต่แม้ว่างานนี้นายหัวชวน จะถือคติ เวรระงับด้วยการไม่จองเวร และห้ามปรามมิให้ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ลงดาบจัดการกับพ่อเมือง หรือนายตำรวจระดับผู้บังคับบัญชา ทั้งที่เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน ที่ปล่อยให้เรื่องร้ายเกิดขึ้นในพื้นที่ของตน แต่ดูเหมือน “กรรมติดไข่” จะมาไวกว่า “กรรมติดจรวด”
เพราะทันทีที่สามเกลอหัวขวด แกนนำคนเสื้อแดงลงพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ช่วยลูกพรรคเพื่อไทยหาเสียงบ้าง ก็เป็นคิวของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์กว่า 200 คน ที่ใส่เสื้อแดงมานั่งปะปนฟังปราศรัย ระดมปาไข่เน่าใส่หน้าเฮียตู่กันอย่างต่อเนื่อง เป็นชุด ...ข่าวรายงานว่า จังหวะที่ไข่เน่านับร้อยกระทบหน้าพี่ตู่ เป็นนาทีหลังจากพี่ตู่ปากเสีย ปราศรัยโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และยังพาดพิงไปถึงนายเนวิน ชิดชอบ และนายทรงศักดิ์ ทองศรีพอดิบพอดี งานนี้บอกได้เลยไม่ต้องถึงมือคนเสื้อเหลืองที่คั่งแค้น แต่เสร็จแค่มือ “แดงกบฏ” ด้วยกันเอง
วันเดียวกับที่มีเรื่องร้ายๆ ก็พอจะมีข่าวดีอยู่บ้าง เมื่อสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2552 ในงานประกาศรางวัลเกี่ยวกับธุรกิจการท่องเที่ยวในนอร์เวย์ “Grand Travel Award 2009” ที่ กรุงออสโล นายจุลพงษ์ โนนศรีชัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงออสโล ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้ารับรางวัล “The Best Tourist Destination” เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน และนายมานิตย์ บุญฉิม ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประจำสวีเดน และผู้แทนบริษัทการบินไทยประจำนอร์เวย์ เข้ารับรางวัล “The Best Intercontinental Airlines” เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน
เป็นเครื่องยืนยันว่า นักท่องเที่ยวตะวันตกยังมีความเชื่อมั่นต่อประเทศไทยในฐานะเป็นจุดมุ่งหมายการท่องเที่ยวที่อยากจะเดินทางมามากที่สุด แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่นำไปสู่การปิดท่าอากาศยานฯ ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา
ประกอบกับสภาวการณ์กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ทั้งในพื้นที่ท่องเที่ยวภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ หรือแม้แต่อีสานบางส่วนของไทย ก็เริ่มกลับคืนสู่สภาวะปกติ เตรียมกลับมาเรียกเงินจากกระเป๋านักท่องเที่ยวต่างชาติเหมือนทุกปีที่เคยเป็นมากันแล้ว จะน่าเสียดายก็ที่พื้นที่ท่องเที่ยวหลักในฤดูหนาวอย่าง เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ที่ไม่น่าจะถูกคนหยิบมือเดียวสกัดกั้นความเจริญ ด้วยการเคลื่อนไหวที่ป่าเถื่อนเลย
ลองคิดดูง่ายๆ ว่า จังหวัดเหล่านี้ต้องสูญเสียรายได้ สูญเสียโอกาสอันดีไปเท่าไหร่ ตั้งแต่การพลาดโอกาส ที่จะถูกใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมอาเซียนซัมมิท เพราะปากคนเสื้อแดงในพื้นที่ที่ออกมาขู่จะป่วนงาน พลาดเม็ดเงินงบประมาณอันมหาศาลที่จะถูกส่งลงไปหมุนเวียนในพื้นที่นั้นๆ และยังไม่รวมตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวที่จะหดลงต่อเนื่อง เพราะอย่าว่าแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติเลย คนไทยด้วยกันเห็นหน้า นายเพชรวรรตก็เบื่อ พาลจะหนีไปขึ้นเขา เที่ยวน้ำตก เที่ยวทะเลแทนแม้จะหนาวเย็นหน่อย แต่ก็อุ่นใจกว่า
สุดท้ายก็ได้แต่รอว่า จะมีกลุ่มพลังเงียบที่รักสงบ และตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินที่อดรนทนไม่ได้จะออกมาปรามคนเหล่านี้บ้างว่า คนเชียงใหม่เบื่อความวุ่นวายแล้ว หยุดทำให้บ้านเกิด (ของตรู) เสื่อมเสียสักที...