รอยเตอร์ – อดอล์ฟ เมอร์คเคิล มหาเศรษฐีอันดับ 5 ของเยอรมนีและเป็นเศรษฐีอันดับ 94 ของโลกวัย 74 ปี ตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดให้รถไฟชน ในบริเวณใกล้กับเมืองบลอบิวเรน ของเยอรมนีเมื่อคืนวันจันทร์ (5) คาดหมายกันว่าเป็นเพราะเขาผิดหวังกับการขาดทุนมหาศาล จากการเก็งกำไรซื้อหุ้นโฟล์กสวาเกนอย่างผิดพลาด
“ความผิดหวังต่อสถานการณ์อันย่ำแย่ของบริษัทซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเงิน รวมทั้งความผันผวนไม่แน่นอนในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา และการที่เขาไม่มีอำนาจที่จะแก้ปัญหาอะไรได้ ทำให้เขาซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัวรู้สึกสูญเสียอย่างรุนแรงและตัดสินปลิดชีพตนเอง” แถลงการณ์ของครอบครัวเมอร์คเคิลระบุถึงสาเหตุการฆ่าตัวตายในวันอังคาร (6)
ขณะที่ทีมอัยการของรัฐจากเมืองอูล์มทางตอนใต้ของเยอรมนีระบุว่าในวันจันทร์ เมอร์คเคิลออกจากที่ทำงานไปและต่อมาก็มีผู้พบว่าเขาเสียชีวิตเพราะถูกรถไฟชนใกล้ๆ กับเมืองบลอบิวเรน โดยเขาได้ทิ้งข้อความลาตายให้กับครอบครัวด้วย ส่วนในการสืบสวนก็ไม่พบว่ามีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องกับการตายของเมอร์คเคิลแต่อย่างใด
เมอร์คเคิลเป็นเศรษฐีที่ไม่ชอบปรากฏตัวเป็นข่าวตามสื่อต่าง ๆ เขาเป็นคุณพ่อลูกสี่ซึ่งได้รับช่วงมรดกมาจากปู่ผู้มีเชื้อสายโบฮีเมียน แต่เมอร์คเคิลก็เป็นผู้สร้างธุรกิจค้าส่งเคมีภัณฑ์และขยับขึ้นมาเป็นผู้ค้าส่งยารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนีด้วย โดยในปี 2008 นิตยสารฟอร์บส์ยังได้จัดอันดับให้เขาเป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยอันดับ 94 ของโลก และอันดับ 5 ของเยอรมนี
เมอร์คเคิลชอบเล่นสกีและเป็นนักไต่เขา เขามีกิจการที่กว้างขวางใหญ่โตโดยเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีพนักงานมากมายถึงราว 100,000 คน และมียอดขายสูงถึง 30,000 ล้านยูโร (40,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ต่อปี ครอบครัวของเขาควบคุมธุรกิจสำคัญๆ ของเยอรมนีเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมทั้งกิจการผลิตซีเมนต์ “ไฮเดลเบอร์กซีเมนต์” และบริษัทยา “เรโชฟาร์ม” ด้วย
ทว่า เมื่อปีที่แล้วอาณาจักรธุรกิจของเขาต้องสะเทือนครั้งใหญ่จากการตัดสินใจเสี่ยงลงทุนผิดพลาด โดยเมอร์คเคิลต้องเสียเงินจำนวนมาก เมื่อไปเดิมพันถือหุ้นกิจการโฟล์กสวาเกนในข้างที่ไม่ถูกต้อง แล้วพอต่อมาบริษัทปอร์เช่ประกาศจะเข้าเทคโอเวอร์โฟล์ก ซึ่งสร้างความฮือฮาทำให้ราคาหุ้นของโฟล์กอย่างแรง ทำให้พวกที่ทำช็อตเซลล์ ต้องหันมาไล่ซื้อหุ้นตัวนี้จากตลาดด้วยราคาแพงลิบ
แหล่งข่าวในวงการธนาคารหลายรายเผยว่า ครอบครัวเมอร์คเคิลต้องประสบการขาดทุนไปหลายร้อยล้านยูโรจากการลงทุนด้านต่างๆ และลำพังส่วนที่เกิดจากการซื้อหุ้นโฟล์กเพียงอย่างเดียวก็สูงถึงราว 400 ล้านยูโรแล้ว
นับแต่นั้น ครอบครัวเมอร์คเคิลได้พยายามเจราจากับธนาคารหลายแห่งอยู่นานหลายสัปดาห์เพื่อขอปรับโครงสร้างเงินกู้ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ จนกระทั่งเมอร์คเคิลตัดสินใจลาโลกในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารก็ได้แจ้งในวันอังคารว่าการเสียชีวิตของเมอร์คเคิลนั้นไม่มีผลต่อข้อตกลงการกู้ยืมเงินระหว่างธนาคารกับครอบครัวเมอร์คเคิลแต่อย่างใด ขณะที่ราคาหุ้นของกิจการการไฮเดลเบอร์กซีเมนต์ก็ร่วงลงถึง 12.5 เปอร์เซ็นต์เมื่อมีข่าวการเสียชีวิตของเมอร์คเคิล ก่อนจะปิดตลาดโดยปรับตัวลดลง 6.2 เปอร์เซ็นต์
“พวกนักลงทุนหวั่นเกรงว่าจะไม่มีใครป็นผู้นำการเจรจาต่อรองกับธนาคารในช่วงที่สถานการณ์ของบริษัทกำลังย่ำแย่ขณะนี้” นักค้าในตลาดแฟรงเฟิร์ตรายหนึ่งให้ความเห็น ส่วนนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตกล่าวว่า วิกฤตการณ์การเงินครั้งนี้คงทำให้อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นอีก
ทั้งนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว เทียรี มากอง เดอ ลา วิลล์ฮูเชต์ ชาวฝรั่งเศสวัย 65 ปี ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ “แอคเซส อินเตอร์เนชันแนล” ก็เสียชีวิตในสำนักงานของเขาที่นิวยอร์ก โดยมีรายงานว่าเขาถูกเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ อดีตประธานตลาดหลักทรัพย์แนสแดค หลอกลวงให้ไปลงทุน แล้วมันกลับกลายเป็น “แชร์ลูกโซ่” ทำให้วิลล์ฮูเชต์ต้องสูญเสียเงินของลูกค้าของเขาไปถึง 1,400 ล้านดอลลาร์ และเมื่อไม่สามารถหาเงินมาใช้คืนให้ได้ เขาจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกรีดข้อมือตนเอง
“ความผิดหวังต่อสถานการณ์อันย่ำแย่ของบริษัทซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางการเงิน รวมทั้งความผันผวนไม่แน่นอนในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา และการที่เขาไม่มีอำนาจที่จะแก้ปัญหาอะไรได้ ทำให้เขาซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจครอบครัวรู้สึกสูญเสียอย่างรุนแรงและตัดสินปลิดชีพตนเอง” แถลงการณ์ของครอบครัวเมอร์คเคิลระบุถึงสาเหตุการฆ่าตัวตายในวันอังคาร (6)
ขณะที่ทีมอัยการของรัฐจากเมืองอูล์มทางตอนใต้ของเยอรมนีระบุว่าในวันจันทร์ เมอร์คเคิลออกจากที่ทำงานไปและต่อมาก็มีผู้พบว่าเขาเสียชีวิตเพราะถูกรถไฟชนใกล้ๆ กับเมืองบลอบิวเรน โดยเขาได้ทิ้งข้อความลาตายให้กับครอบครัวด้วย ส่วนในการสืบสวนก็ไม่พบว่ามีบุคคลอื่นเกี่ยวข้องกับการตายของเมอร์คเคิลแต่อย่างใด
เมอร์คเคิลเป็นเศรษฐีที่ไม่ชอบปรากฏตัวเป็นข่าวตามสื่อต่าง ๆ เขาเป็นคุณพ่อลูกสี่ซึ่งได้รับช่วงมรดกมาจากปู่ผู้มีเชื้อสายโบฮีเมียน แต่เมอร์คเคิลก็เป็นผู้สร้างธุรกิจค้าส่งเคมีภัณฑ์และขยับขึ้นมาเป็นผู้ค้าส่งยารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนีด้วย โดยในปี 2008 นิตยสารฟอร์บส์ยังได้จัดอันดับให้เขาเป็นมหาเศรษฐีร่ำรวยอันดับ 94 ของโลก และอันดับ 5 ของเยอรมนี
เมอร์คเคิลชอบเล่นสกีและเป็นนักไต่เขา เขามีกิจการที่กว้างขวางใหญ่โตโดยเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีพนักงานมากมายถึงราว 100,000 คน และมียอดขายสูงถึง 30,000 ล้านยูโร (40,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ต่อปี ครอบครัวของเขาควบคุมธุรกิจสำคัญๆ ของเยอรมนีเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมทั้งกิจการผลิตซีเมนต์ “ไฮเดลเบอร์กซีเมนต์” และบริษัทยา “เรโชฟาร์ม” ด้วย
ทว่า เมื่อปีที่แล้วอาณาจักรธุรกิจของเขาต้องสะเทือนครั้งใหญ่จากการตัดสินใจเสี่ยงลงทุนผิดพลาด โดยเมอร์คเคิลต้องเสียเงินจำนวนมาก เมื่อไปเดิมพันถือหุ้นกิจการโฟล์กสวาเกนในข้างที่ไม่ถูกต้อง แล้วพอต่อมาบริษัทปอร์เช่ประกาศจะเข้าเทคโอเวอร์โฟล์ก ซึ่งสร้างความฮือฮาทำให้ราคาหุ้นของโฟล์กอย่างแรง ทำให้พวกที่ทำช็อตเซลล์ ต้องหันมาไล่ซื้อหุ้นตัวนี้จากตลาดด้วยราคาแพงลิบ
แหล่งข่าวในวงการธนาคารหลายรายเผยว่า ครอบครัวเมอร์คเคิลต้องประสบการขาดทุนไปหลายร้อยล้านยูโรจากการลงทุนด้านต่างๆ และลำพังส่วนที่เกิดจากการซื้อหุ้นโฟล์กเพียงอย่างเดียวก็สูงถึงราว 400 ล้านยูโรแล้ว
นับแต่นั้น ครอบครัวเมอร์คเคิลได้พยายามเจราจากับธนาคารหลายแห่งอยู่นานหลายสัปดาห์เพื่อขอปรับโครงสร้างเงินกู้ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ จนกระทั่งเมอร์คเคิลตัดสินใจลาโลกในที่สุด
อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารก็ได้แจ้งในวันอังคารว่าการเสียชีวิตของเมอร์คเคิลนั้นไม่มีผลต่อข้อตกลงการกู้ยืมเงินระหว่างธนาคารกับครอบครัวเมอร์คเคิลแต่อย่างใด ขณะที่ราคาหุ้นของกิจการการไฮเดลเบอร์กซีเมนต์ก็ร่วงลงถึง 12.5 เปอร์เซ็นต์เมื่อมีข่าวการเสียชีวิตของเมอร์คเคิล ก่อนจะปิดตลาดโดยปรับตัวลดลง 6.2 เปอร์เซ็นต์
“พวกนักลงทุนหวั่นเกรงว่าจะไม่มีใครป็นผู้นำการเจรจาต่อรองกับธนาคารในช่วงที่สถานการณ์ของบริษัทกำลังย่ำแย่ขณะนี้” นักค้าในตลาดแฟรงเฟิร์ตรายหนึ่งให้ความเห็น ส่วนนักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตกล่าวว่า วิกฤตการณ์การเงินครั้งนี้คงทำให้อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้นอีก
ทั้งนี้ เมื่อเดือนที่แล้ว เทียรี มากอง เดอ ลา วิลล์ฮูเชต์ ชาวฝรั่งเศสวัย 65 ปี ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทบริหารจัดการสินทรัพย์ “แอคเซส อินเตอร์เนชันแนล” ก็เสียชีวิตในสำนักงานของเขาที่นิวยอร์ก โดยมีรายงานว่าเขาถูกเบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ อดีตประธานตลาดหลักทรัพย์แนสแดค หลอกลวงให้ไปลงทุน แล้วมันกลับกลายเป็น “แชร์ลูกโซ่” ทำให้วิลล์ฮูเชต์ต้องสูญเสียเงินของลูกค้าของเขาไปถึง 1,400 ล้านดอลลาร์ และเมื่อไม่สามารถหาเงินมาใช้คืนให้ได้ เขาจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกรีดข้อมือตนเอง