ASTVผู้จัดการออนไลน์ - "ทักษิณ"เพ้อกับนิตยสารอาหรับ ฝันได้กลับบ้านและได้เป็นนายกฯอีก ให้ร้ายประเทศไทยกับสื่อต่างชาติ ระบุรัฐประหารยังคงอยู่ แต่เปลี่ยนรูปเป็น"รัฐประหารโดยศาล" กระทบชิ่งสถาบันฯ ระบุถ้าในหลวงอยากให้กลับก็จะกลับ โดยอาจเป็นการพระราชทานอภัยโทษ อ้างคนจนรักเพราะสร้างความหวังให้คนจน ด่ารัฐบาลอังกฤษ ไม่เคารพคุณค่าประชาธิปไตย ไม่ยอมรับกรรม ระบุเสียใจกับผลที่เกิดขึ้น แต่ไม่เสียใจสักนิดกับสิ่งที่ทำ
วานนี้ (30 ธ.ค.) มีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี จากศาลฎีกาแนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารซีอีโอ ตะวันออกกลาง (CEO Middle East) ฉบับที่ 12 ประจำเดือนธันวาคม 2552 โดยปกหนังสือฉบับดังกล่าวพาดหัวระบุว่า “ผู้หนีคดี - ทักษิณ ชินวัตร ทัศนะเกี่ยวกับคน อำนาจและความยากจน (The Fugitive - Thaksin Shinawatra on people, power and poverty)”
ในหน้าที่ 44 และ 45 มีการลงภาพขนาดเต็มหน้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ และมีการพาดหัวตัวโตด้วยคำว่า Je Ne Regrette Rien อันเป็นภาษาฝรั่งเศส ที่มีความหมายว่า “ผมไม่เสียใจสักนิด (I regret nothing)” ขณะที่ผู้สื่อข่าวของนิตยสารนาม Anil Bhoyrul ซึ่งเป็นผู้สัมภาษณ์ก็อ้างว่าบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ เป็นบทสัมภาษณ์พิเศษชิ้นแรกในรอบ 18 เดือนของพ.ต.ท.ทักษิณ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการถูกออกหมายจับจากทางการไทย การถูกสหราชอาณาจักรถอนวีซ่า และรัฐบาลประเทศตะวันตกจำนวนหนึ่งตีตัวออกห่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ตอบอย่างไม่ยี่หระว่า “คุณรู้ไหมว่า ในโลกนี้มีประเทศกี่ประเทศ? มันมี 197 ประเทศ และมีเพียง 17 ประเทศที่มีสนธิสัญญา (ส่งผู้ร้ายข้ามแดน) กับไทย นอกจากนี้ เอาเข้าจริงก็มีแค่ 10 ประเทศ ที่สนธิสัญญายังมีผลบังคับใช้อยู่ ดังนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ผมยังมีอีกที่ให้อยู่อีกหลายแห่ง”
รายงานดังกล่าวได้กล่าวย้อนถึงชะตากรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ตั้งแต่การรัฐประหาร การซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี ในประเทศอังกฤษ การต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปีจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงล่าสุดคือการหย่าขาดจากภรรยา คุณหญิงพจมาน ชินวัตร พร้อมยืนยันด้วยว่าปัจจุบัน สหราชอาณาจักรได้อายัดทรัพย์สินจำนวน 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 140,000 ล้านบาท) เอาไว้
โดยในเรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะว่า “หลายเดือนมานี้ค่อนข้างยุ่ง” พร้อมระบุด้วยว่า ตนเองตั้งใจจะกลับมาเล่นการเมือง มาช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนของโลก ช่วยจัดการระบบสาธารณสุขของตะวันออกลาง และ ตั้งกองทุนช่วยเหลือประชาชนในภูมิภาคเอเชีย ที่ถูกกระทบจากวิกฤตการเงินโลก (มูลนิธิสร้างอนาคตที่ดีกว่า หรือ The Building a Better Future Foundation)
**ลั่น “คัมแบ็ก” ครองอำนาจการเมือง
“ผมไม่มีทางเลือก ตอนแรกหลังจากผมถูกขับออกจากตำแหน่ง ภรรยาผมก็บอกว่าอย่าให้ผมกลับไปเล่นการเมืองอีก เขาไม่ค่อยชอบการเมืองเท่าไหร่ อีกทั้งครอบครัวผมทั้งครอบครัวก็ประสบกับความยากลำบาก ผมจึงไม่กลับไปเล่นการเมือง แต่ตอนนี้ผมถูกต้อนเข้ามุม เพราะประเทศกำลังตกต่ำลงอย่างมาก ผู้คนไร้ความเชื่อมั่นในประเทศไทย ชุมชนต่างชาติก็ขาดความเชื่อมั่นกับประเทศไทย ผู้คนในชนบทกำลังประสบกับความยากลำบาก
ถ้าผมมีโอกาสกุมหางเสือของประเทศ ผมสามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนให้ประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว เราต้องหาหนทางที่จะให้ผมกลับประเทศให้ได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงบอกกับคุณว่า ผมจะกลับสู่แวดวงการเมือง (ไทย)” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว และระบุด้วยว่า นี่เองเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณหญิงพจมาน จึงขอหย่า
**โวต้องกลับเพราะ “คนจน” รัก
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวด้วยว่า “ผมยังอยู่ที่นี่ (ตะวันออกกลาง) ได้ ทำธุรกิจนิดหน่อย และหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้ชีวิต ... แต่ผมต้องกลับไปเพื่อประชาชนของผม และผู้สนับสนุนผม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจน หรือ ชนชั้นกลาง ในอดีตคนจนเหล่านี้มองไม่เห็นอนาคต พวกเขาเพียงมองเห็นอดีตที่ขมขื่นและปัจจุบันเท่านั้น
หลังผมขึ้นมาเป็น นายกฯ ผมมอบให้ความหวังแก่พวกเขา คืนความสดชื่นให้กับพวกเขา พวกเขามองเห็นอนาคตของลูกหลานที่จะมีโอกาสได้ไปโรงเรียน มีอนาคตในการทำกิน พวกเขามีความสุข – แม้แต่คนขับแท็กซี่ ก็มีความสุข ผมสามารถทำให้เศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติได้”
** หมิ่นศาล-กระทบชิ่งสถาบันฯ
เมื่อถามว่า แล้วจะมีโอกาสกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า “การรัฐประหารยังคงอยู่ - การรัฐประหารถูกเปลี่ยนรูปจากการรัฐประหารโดยกองทัพ เป็นการรัฐประหารโดยตุลาการ ผมจะพูดให้ชัดเจนว่า การรัฐประหารในประเทศไทยยังคงดำเนินไป
“ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับประชาชน ถ้าพวกเขารู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในภาวะลำบาก และพวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากผม ผมก็จะกลับไป ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรู้สึกว่า ผมเป็นประโยชน์ ผมก็จะกลับไป โดยพระองค์อาจจะพระราชทานอภัยโทษให้ผม แต่ถ้าพวกเขาไม่ต้องการผม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เห็นว่าผมไม่สามารถสร้างความแตกต่างอะไรได้ ผมก็จะอยู่ที่นี่ และทำธุรกิจไป ใช้ชีวิตของผมกับเพื่อนๆ”
**อัด รบ.ผู้ดี ไม่เคารพคุณค่า ปชต.
อดีตนายกฯ ไทย ผู้ซึ่งปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ที่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กล่าวถึงการถอนวีซ่าของรัฐบาลอังกฤษด้วยว่า “ผมคิดว่าสหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่ประชาธิปไตยเติบโตเต็มที่แล้ว พวกเขาต้องเข้าใจว่า ผมเป็นเหยื่อของการรัฐประหาร ผมเป็นเหยื่อของระบอบเผด็จการ แม้ว่ามันจะมีคำตัดสินของศาล แต่มันก็เหมือนกับผลไม้บนต้นไม้พิษ ที่ปลูกโดยคณะรัฐประหาร (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)) ต้นไม้ทั้งต้นเป็นต้นไม้พิษ และผมก็เป็นผลจากต้นไม้นั้น”
“อังกฤษต้องทำความเข้าใจให้มากกว่านี้ แต่โชคไม่ดีว่าพวกเขากำลังยุ่งอยู่กับปัญหาของตัวเอง - พวกเขาเลยลืมเรื่องของคุณค่าของประชาธิปไตยไป แต่ผมไม่สนใจหรอก ผมก็ต้องขอบคุณพวกเขา เพราะผมเคยไปอยู่ที่นั่น ซื้อสโมสรฟุตบอล และหาเงินได้ส่วนหนึ่งจากการขายมันไป พวกเขาให้ที่พักพิงกับผมแม้ว่ามันจะเป็นเพียงชั่วคราวก็ตาม ลูกๆ ของผมไปเรียนที่นั่น วันหนึ่งถ้าพวกเขา (อังกฤษ) เข้าใจอะไรมากกว่านี้ พวกเขาคงจะรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาทำ เพราะพวกเขาไม่เคารพคุณค่าประชาธิปไตยของพวกเขาเอง”
**อ้างนโยบายช่วยคนจนพร้อมปรับใช้กับ UAE
ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวถึงความสำเร็จในการต่อสู้กับความยากจนระหว่างที่ตนเองเป็นรัฐบาล โดยอ้างอิงถึงนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคว่า ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง
“มีประชาชนคนจนอย่างน้อย 18 ล้านคนที่ได้สวัสดิการเต็มจากระบบดังกล่าว ถ้าพวกเขาทำคลอดก็มีค่าใช้จ่ายเพียง 0.81 ดอลลาร์ (30 บาท) ทำผ่าตัดหัวใจก็จ่ายเพียง 0.81 ดอลลาร์ ผมปรับระบบการบริหารงบประมาณทางสาธารณสุขใหม่ทั้งหมด และจัดสรรมันลงไปในโรงพยาบาลทุกแห่ง เราเพิ่มอุปกรณ์ลงไป มีการตั้งหน่วยงานควบคุมคุณภาพ ตอนนี้ไม่ว่าใครจะยากจนสักเท่าไร พวกเขามีสิทธิ์ได้รับบริการสาธารณสุขเหมือนทุกคน” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว พร้อมระบุว่าพร้อมจะนำนโยบายดังกล่าวมาปรับใช้กับ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถ้ารัฐบาลสนใจ
สำหรับคำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ถือว่าเป็นความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค จริงๆ แล้วเป็นเพียงนโยบายหาเสียงของรัฐบาลทักษิณในการเลือกตั้งสมัยแรกเท่านั้น ทว่าในเวลาต่อมานโยบายดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่บุคลากรแวดวงสาธารณสุขและประชาชนว่า เป็นนโยบายที่ลดคุณภาพการให้บริการทางด้านสาธารณสุขลง อีกทั้งยังทำให้บุคลากรไม่ว่า แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขต้องทำงานหนักมาก นอกจากนี้รัฐบาลทักษิณสมัย 2 ยังไม่ใส่ใจกับนโยบายดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่า นโยบายดังกล่าวไม่สามารถใช้หาเสียงได้แล้วจึงไม่เพิ่มงบประมาณลงไป
**ขายฝันแขกต่อสู้ความยากจน
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวถึงนโยบายเพื่อต่อสู้กับความยากจนด้วยว่า เขามีแนวคิดที่จะสร้างการปล่อยสินเชื่อรายย่อยให้กับคนยากจน (Micro-loans) อย่างที่ธนาคารประชาชนในประเทศไทยเคยทำมาแล้วโดยคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 2.5 และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงก่อตั้งมูลนิธิสร้างอนาคตที่ดีกว่าขึ้น
“ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมหมายความว่ายังไง? ก็หมายความว่าคุณต้องการเงินทุนเพื่อมาสร้างความมั่งคั่ง ดังนั้นถ้าคุณไม่มีทุน แล้วคุณจะสร้างความมั่งคั่งได้ยังไง? คนจนไม่มีทางเลือก พวกเขาต้องใช้ชีวิตในวิถีของสังคมเศรษฐกิจทุนนิยม แต่พวกเขาก็ไม่มีเงินทุน พวกเขาไม่อาจเข้าถึงทุน ถ้าคุณแก้ไขสิ่งนี้ได้ ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป
ผมต้องการจะทำสิ่งดีๆ ให้กับโลก ที่ผ่านมาเรามีความเข้าใจผิดๆ กับวิธีการจัดการกับความยากจน ประเทศส่วนใหญ่ถูกบริหารงานโดยนักการเมืองเดิมๆ ที่มีเพียงประสบการณ์ทางการเมือง แต่สิ่งที่หายไปก็คือการจัดการ” อดีตนายกรัฐมนตรีไทยกล่าว
**โม้เป็นผู้นำการบริหารเชิงธุรกิจมาสู่ภาครัฐ
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคุยโวด้วยว่า ตนเป็นผู้นำของการบริหารเชิงธุรกิจ มาสู่การบริหารประเทศ แต่ตนเองกลับไม่มีโอกาสได้อยู่ครบวาระ
“การเมืองนั้นเป็นเรื่องของอำนาจและกฎหมาย - นักการเมืองไม่เข้าใจการบริหารองค์กร ในฐานะที่ผมเป็นนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ ผมคิดว่าผมนำวิธีการจัดการสมัยใหม่มาสู่รัฐบาล มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นวิธีที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย แต่พวกเขาไม่ยอมให้ผมอยู่นานขนาดนั้น ถ้าผมอยู่ครบ 8 ปี ผมคิดว่าผมจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง”
จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวถึง ชีค มานซูร์ บิน ซาเย็ด อัล นาห์ยาน และ ดร.สุไลมาน อัล ฟาฮิม แห่งอาบูดาบี โดยแสดงความขอบคุณที่ทั้งสองคนเข้ามาซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี ต่อจากตน โดยระบุว่าทั้งคู่เป็น “เพื่อนที่ยอดเยี่ยม”
ตอนท้ายของรายงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า ตนเองตั้งใจจะกลับประเทศไทย แต่ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรกับอดีต “คุณเห็นไหม ผมรักคนไทย แต่มันก็เกือบทำให้ผมต้องแลกด้วยชีวิต เพราะผมโดนลอบฆ่าหลายครั้ง ครอบครัวผมก็บ้านแตกสาแหรกขาด เราต้องใช้ชีวิตอยู่กันคนละประเทศ ผมไม่สามารถใช้ชีวิตในประเทศผมเองได้ ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่เสียใจกับสิ่งที่ผมได้ทำลงไป”
สำหรับนิตยสารซีอีโอ ตะวันออกกลาง (CEO Middle East) เป็นนิตยสารในเครือ ITP Executive Publication เช่นเดียวกับ อาราเบียน บิซิเนส (Arabian Business) ที่ก่อนหน้านี้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนเคยเผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณมาแล้ว
วานนี้ (30 ธ.ค.) มีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี จากศาลฎีกาแนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้สัมภาษณ์กับนิตยสารซีอีโอ ตะวันออกกลาง (CEO Middle East) ฉบับที่ 12 ประจำเดือนธันวาคม 2552 โดยปกหนังสือฉบับดังกล่าวพาดหัวระบุว่า “ผู้หนีคดี - ทักษิณ ชินวัตร ทัศนะเกี่ยวกับคน อำนาจและความยากจน (The Fugitive - Thaksin Shinawatra on people, power and poverty)”
ในหน้าที่ 44 และ 45 มีการลงภาพขนาดเต็มหน้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ และมีการพาดหัวตัวโตด้วยคำว่า Je Ne Regrette Rien อันเป็นภาษาฝรั่งเศส ที่มีความหมายว่า “ผมไม่เสียใจสักนิด (I regret nothing)” ขณะที่ผู้สื่อข่าวของนิตยสารนาม Anil Bhoyrul ซึ่งเป็นผู้สัมภาษณ์ก็อ้างว่าบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ เป็นบทสัมภาษณ์พิเศษชิ้นแรกในรอบ 18 เดือนของพ.ต.ท.ทักษิณ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการถูกออกหมายจับจากทางการไทย การถูกสหราชอาณาจักรถอนวีซ่า และรัฐบาลประเทศตะวันตกจำนวนหนึ่งตีตัวออกห่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ตอบอย่างไม่ยี่หระว่า “คุณรู้ไหมว่า ในโลกนี้มีประเทศกี่ประเทศ? มันมี 197 ประเทศ และมีเพียง 17 ประเทศที่มีสนธิสัญญา (ส่งผู้ร้ายข้ามแดน) กับไทย นอกจากนี้ เอาเข้าจริงก็มีแค่ 10 ประเทศ ที่สนธิสัญญายังมีผลบังคับใช้อยู่ ดังนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ผมยังมีอีกที่ให้อยู่อีกหลายแห่ง”
รายงานดังกล่าวได้กล่าวย้อนถึงชะตากรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ตั้งแต่การรัฐประหาร การซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี ในประเทศอังกฤษ การต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปีจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมถึงล่าสุดคือการหย่าขาดจากภรรยา คุณหญิงพจมาน ชินวัตร พร้อมยืนยันด้วยว่าปัจจุบัน สหราชอาณาจักรได้อายัดทรัพย์สินจำนวน 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 140,000 ล้านบาท) เอาไว้
โดยในเรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะว่า “หลายเดือนมานี้ค่อนข้างยุ่ง” พร้อมระบุด้วยว่า ตนเองตั้งใจจะกลับมาเล่นการเมือง มาช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนของโลก ช่วยจัดการระบบสาธารณสุขของตะวันออกลาง และ ตั้งกองทุนช่วยเหลือประชาชนในภูมิภาคเอเชีย ที่ถูกกระทบจากวิกฤตการเงินโลก (มูลนิธิสร้างอนาคตที่ดีกว่า หรือ The Building a Better Future Foundation)
**ลั่น “คัมแบ็ก” ครองอำนาจการเมือง
“ผมไม่มีทางเลือก ตอนแรกหลังจากผมถูกขับออกจากตำแหน่ง ภรรยาผมก็บอกว่าอย่าให้ผมกลับไปเล่นการเมืองอีก เขาไม่ค่อยชอบการเมืองเท่าไหร่ อีกทั้งครอบครัวผมทั้งครอบครัวก็ประสบกับความยากลำบาก ผมจึงไม่กลับไปเล่นการเมือง แต่ตอนนี้ผมถูกต้อนเข้ามุม เพราะประเทศกำลังตกต่ำลงอย่างมาก ผู้คนไร้ความเชื่อมั่นในประเทศไทย ชุมชนต่างชาติก็ขาดความเชื่อมั่นกับประเทศไทย ผู้คนในชนบทกำลังประสบกับความยากลำบาก
ถ้าผมมีโอกาสกุมหางเสือของประเทศ ผมสามารถเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนให้ประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว เราต้องหาหนทางที่จะให้ผมกลับประเทศให้ได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงบอกกับคุณว่า ผมจะกลับสู่แวดวงการเมือง (ไทย)” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว และระบุด้วยว่า นี่เองเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณหญิงพจมาน จึงขอหย่า
**โวต้องกลับเพราะ “คนจน” รัก
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวด้วยว่า “ผมยังอยู่ที่นี่ (ตะวันออกกลาง) ได้ ทำธุรกิจนิดหน่อย และหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้ชีวิต ... แต่ผมต้องกลับไปเพื่อประชาชนของผม และผู้สนับสนุนผม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจน หรือ ชนชั้นกลาง ในอดีตคนจนเหล่านี้มองไม่เห็นอนาคต พวกเขาเพียงมองเห็นอดีตที่ขมขื่นและปัจจุบันเท่านั้น
หลังผมขึ้นมาเป็น นายกฯ ผมมอบให้ความหวังแก่พวกเขา คืนความสดชื่นให้กับพวกเขา พวกเขามองเห็นอนาคตของลูกหลานที่จะมีโอกาสได้ไปโรงเรียน มีอนาคตในการทำกิน พวกเขามีความสุข – แม้แต่คนขับแท็กซี่ ก็มีความสุข ผมสามารถทำให้เศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติได้”
** หมิ่นศาล-กระทบชิ่งสถาบันฯ
เมื่อถามว่า แล้วจะมีโอกาสกลับมาเป็นนายกฯ อีกครั้งหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบว่า “การรัฐประหารยังคงอยู่ - การรัฐประหารถูกเปลี่ยนรูปจากการรัฐประหารโดยกองทัพ เป็นการรัฐประหารโดยตุลาการ ผมจะพูดให้ชัดเจนว่า การรัฐประหารในประเทศไทยยังคงดำเนินไป
“ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับประชาชน ถ้าพวกเขารู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในภาวะลำบาก และพวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากผม ผมก็จะกลับไป ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรู้สึกว่า ผมเป็นประโยชน์ ผมก็จะกลับไป โดยพระองค์อาจจะพระราชทานอภัยโทษให้ผม แต่ถ้าพวกเขาไม่ต้องการผม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เห็นว่าผมไม่สามารถสร้างความแตกต่างอะไรได้ ผมก็จะอยู่ที่นี่ และทำธุรกิจไป ใช้ชีวิตของผมกับเพื่อนๆ”
**อัด รบ.ผู้ดี ไม่เคารพคุณค่า ปชต.
อดีตนายกฯ ไทย ผู้ซึ่งปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่ที่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กล่าวถึงการถอนวีซ่าของรัฐบาลอังกฤษด้วยว่า “ผมคิดว่าสหราชอาณาจักรเป็นประเทศที่ประชาธิปไตยเติบโตเต็มที่แล้ว พวกเขาต้องเข้าใจว่า ผมเป็นเหยื่อของการรัฐประหาร ผมเป็นเหยื่อของระบอบเผด็จการ แม้ว่ามันจะมีคำตัดสินของศาล แต่มันก็เหมือนกับผลไม้บนต้นไม้พิษ ที่ปลูกโดยคณะรัฐประหาร (คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)) ต้นไม้ทั้งต้นเป็นต้นไม้พิษ และผมก็เป็นผลจากต้นไม้นั้น”
“อังกฤษต้องทำความเข้าใจให้มากกว่านี้ แต่โชคไม่ดีว่าพวกเขากำลังยุ่งอยู่กับปัญหาของตัวเอง - พวกเขาเลยลืมเรื่องของคุณค่าของประชาธิปไตยไป แต่ผมไม่สนใจหรอก ผมก็ต้องขอบคุณพวกเขา เพราะผมเคยไปอยู่ที่นั่น ซื้อสโมสรฟุตบอล และหาเงินได้ส่วนหนึ่งจากการขายมันไป พวกเขาให้ที่พักพิงกับผมแม้ว่ามันจะเป็นเพียงชั่วคราวก็ตาม ลูกๆ ของผมไปเรียนที่นั่น วันหนึ่งถ้าพวกเขา (อังกฤษ) เข้าใจอะไรมากกว่านี้ พวกเขาคงจะรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาทำ เพราะพวกเขาไม่เคารพคุณค่าประชาธิปไตยของพวกเขาเอง”
**อ้างนโยบายช่วยคนจนพร้อมปรับใช้กับ UAE
ต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวถึงความสำเร็จในการต่อสู้กับความยากจนระหว่างที่ตนเองเป็นรัฐบาล โดยอ้างอิงถึงนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคว่า ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง
“มีประชาชนคนจนอย่างน้อย 18 ล้านคนที่ได้สวัสดิการเต็มจากระบบดังกล่าว ถ้าพวกเขาทำคลอดก็มีค่าใช้จ่ายเพียง 0.81 ดอลลาร์ (30 บาท) ทำผ่าตัดหัวใจก็จ่ายเพียง 0.81 ดอลลาร์ ผมปรับระบบการบริหารงบประมาณทางสาธารณสุขใหม่ทั้งหมด และจัดสรรมันลงไปในโรงพยาบาลทุกแห่ง เราเพิ่มอุปกรณ์ลงไป มีการตั้งหน่วยงานควบคุมคุณภาพ ตอนนี้ไม่ว่าใครจะยากจนสักเท่าไร พวกเขามีสิทธิ์ได้รับบริการสาธารณสุขเหมือนทุกคน” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว พร้อมระบุว่าพร้อมจะนำนโยบายดังกล่าวมาปรับใช้กับ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถ้ารัฐบาลสนใจ
สำหรับคำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ถือว่าเป็นความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค จริงๆ แล้วเป็นเพียงนโยบายหาเสียงของรัฐบาลทักษิณในการเลือกตั้งสมัยแรกเท่านั้น ทว่าในเวลาต่อมานโยบายดังกล่าวเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่บุคลากรแวดวงสาธารณสุขและประชาชนว่า เป็นนโยบายที่ลดคุณภาพการให้บริการทางด้านสาธารณสุขลง อีกทั้งยังทำให้บุคลากรไม่ว่า แพทย์ พยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขต้องทำงานหนักมาก นอกจากนี้รัฐบาลทักษิณสมัย 2 ยังไม่ใส่ใจกับนโยบายดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่า นโยบายดังกล่าวไม่สามารถใช้หาเสียงได้แล้วจึงไม่เพิ่มงบประมาณลงไป
**ขายฝันแขกต่อสู้ความยากจน
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวถึงนโยบายเพื่อต่อสู้กับความยากจนด้วยว่า เขามีแนวคิดที่จะสร้างการปล่อยสินเชื่อรายย่อยให้กับคนยากจน (Micro-loans) อย่างที่ธนาคารประชาชนในประเทศไทยเคยทำมาแล้วโดยคิดดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 2.5 และด้วยเหตุนี้เองเขาจึงก่อตั้งมูลนิธิสร้างอนาคตที่ดีกว่าขึ้น
“ระบบเศรษฐกิจทุนนิยมหมายความว่ายังไง? ก็หมายความว่าคุณต้องการเงินทุนเพื่อมาสร้างความมั่งคั่ง ดังนั้นถ้าคุณไม่มีทุน แล้วคุณจะสร้างความมั่งคั่งได้ยังไง? คนจนไม่มีทางเลือก พวกเขาต้องใช้ชีวิตในวิถีของสังคมเศรษฐกิจทุนนิยม แต่พวกเขาก็ไม่มีเงินทุน พวกเขาไม่อาจเข้าถึงทุน ถ้าคุณแก้ไขสิ่งนี้ได้ ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป
ผมต้องการจะทำสิ่งดีๆ ให้กับโลก ที่ผ่านมาเรามีความเข้าใจผิดๆ กับวิธีการจัดการกับความยากจน ประเทศส่วนใหญ่ถูกบริหารงานโดยนักการเมืองเดิมๆ ที่มีเพียงประสบการณ์ทางการเมือง แต่สิ่งที่หายไปก็คือการจัดการ” อดีตนายกรัฐมนตรีไทยกล่าว
**โม้เป็นผู้นำการบริหารเชิงธุรกิจมาสู่ภาครัฐ
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคุยโวด้วยว่า ตนเป็นผู้นำของการบริหารเชิงธุรกิจ มาสู่การบริหารประเทศ แต่ตนเองกลับไม่มีโอกาสได้อยู่ครบวาระ
“การเมืองนั้นเป็นเรื่องของอำนาจและกฎหมาย - นักการเมืองไม่เข้าใจการบริหารองค์กร ในฐานะที่ผมเป็นนักธุรกิจที่มีประสบการณ์ ผมคิดว่าผมนำวิธีการจัดการสมัยใหม่มาสู่รัฐบาล มันได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นวิธีที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทย แต่พวกเขาไม่ยอมให้ผมอยู่นานขนาดนั้น ถ้าผมอยู่ครบ 8 ปี ผมคิดว่าผมจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง”
จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวถึง ชีค มานซูร์ บิน ซาเย็ด อัล นาห์ยาน และ ดร.สุไลมาน อัล ฟาฮิม แห่งอาบูดาบี โดยแสดงความขอบคุณที่ทั้งสองคนเข้ามาซื้อสโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี ต่อจากตน โดยระบุว่าทั้งคู่เป็น “เพื่อนที่ยอดเยี่ยม”
ตอนท้ายของรายงาน พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่า ตนเองตั้งใจจะกลับประเทศไทย แต่ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรกับอดีต “คุณเห็นไหม ผมรักคนไทย แต่มันก็เกือบทำให้ผมต้องแลกด้วยชีวิต เพราะผมโดนลอบฆ่าหลายครั้ง ครอบครัวผมก็บ้านแตกสาแหรกขาด เราต้องใช้ชีวิตอยู่กันคนละประเทศ ผมไม่สามารถใช้ชีวิตในประเทศผมเองได้ ผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ไม่เสียใจกับสิ่งที่ผมได้ทำลงไป”
สำหรับนิตยสารซีอีโอ ตะวันออกกลาง (CEO Middle East) เป็นนิตยสารในเครือ ITP Executive Publication เช่นเดียวกับ อาราเบียน บิซิเนส (Arabian Business) ที่ก่อนหน้านี้ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนเคยเผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณมาแล้ว