เอเอฟพี - 2 "ที่ปรึกษาหญิง" ของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช นั่นคือ ลอรา บุช สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐฯ และคอนโดลีซซา ไรซ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ เดินสายให้สัมภาษณ์รายการโทรทัศน์ที่เผยแพร่ในวันอาทิตย์(28) โต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า บุชเป็นประธานาธิบดียอดแย่คนหนึ่งของอเมริกา
"มันน่าหัวเราะเยาะ" ไรซ์ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสในรายการที่บันทึกเทปไว้ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ (22) "อีกไม่นานคนรุ่นต่างๆ จะเริ่มรู้สึกขอบคุณท่านประธานาธิบดีในสิ่งที่ท่านทำไป คนรุ่นนี้แหละก็จะขอบคุณด้วยเช่นกัน"
ทั้งไรซ์และลอรา บุชกล่าวโจมตีพาดหัวข่าวในสื่อต่างๆ ว่าไม่มีความหมายใดๆ ต่อการภารกิจการบริหารประเทศ โดยลอรา บุช ยังได้ตอบคำถามที่ว่าผู้สื่อข่าวไม่เป็นธรรมกับสามีของเธอแบบเรียบๆ ว่า
"ดิฉันคิดว่าสื่อเป็นธรรมรึเปล่าหรือคะ ไม่เป็นธรรมค่ะ ไม่เป็นธรรมอย่างที่สุดเลย" ลอรา บุช ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ นิวส์ ซึ่งบันทึกเทปตั้งแต่วันจันทร์(22)เช่นกัน โดยจะแพร่ภาพในระหว่างที่ประธานาธิบดีบุชกลับไปยังบ้านไร่ของเขาในมลรัฐเทกซัสต้นปีหน้า
เมื่อถูกถามเรื่องที่พวกนักวิจารณ์เห็นว่าประธานาธิบดีบุชทำงานล้มเหลว ลอรา บุช ตอบว่า "ดิฉันรู้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าจะต้องตอบโต้กับคนที่มีความเห็นแบบนั้น" เธอบอกอีกว่า "ดิฉันคิดว่าประวัติศาสตร์จะตัดสินเรื่องนี้เอง แล้วเราจะได้เห็นกันตอนนั้น"
ส่วนไรซ์ก็กล่าวว่า "รัฐบาลชุดนี้จะได้รับการตัดสินในทางดี ดิฉันจะรอดูคำพิพากษาของประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ดูจากพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ในวันนี้"
การให้สัมภาษณ์ของสตรีทั้งสองบังเกิดขึ้น ท่ามกลางความพยายามที่ดำเนินมาราว 1 เดือนแล้ว ในการแก้ภาพลักษณ์ของประธานาธิบดีบุชที่ตกต่ำลงอย่างมากจากวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เขาทิ้งไว้ก่อนอำลาตำแหน่ง รวมทั้งนโยบายในเรื่องสงครามอิรักที่ทำให้ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯเสื่อมเสียในสายตาชาวโลก
ทั้งลอราและไรซ์ต่างก็ยกตัวอย่างเหมือนๆ กันในเรื่องความสำเร็จของคณะรัฐบาลบุช ซึ่งก็คือ การโค่นระบอบการปกครองของพวกตอลิบานในอัฟกานิสถาน และการโค่นซัดดัม ฮุสเซนในอิรัก อีกทั้งยังมีการปรับปรุงและขยายการให้ความช่วยเหลือของสหรัฐฯต่อแอฟริกาครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในเรื่องการต่อสู้กับเอชไอวี/เอดส์
"ท่านเป็นคนที่มีแก่นแท้ภายในและมี ความเชื่อในเรื่องเสรีภาพ ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่ใช่เพียงเสรีภาพจากทรราชย์ แต่รวมถึงเสรีภาพจากโรคภัยไข้เจ็บและการไม่รู้หนังสือด้วย และทั้งหมดนี้ก็เป็นคุณค่าแบบอเมริกันโดยพื้นฐาน นั่นคือสิ่งที่ดิฉันคิดว่าท่านแสดงให้เห็นมาตลอดในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี" สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งกล่าวเสริม
"คุณลองดูที่จำนวนของประเทศและจำนวนของประชาชนที่ประธานาธิบดีท่านนี้ได้ปลดปล่อยให้เป็นอิสระก็แล้วกัน ดิฉันเป็นคนหนึ่งล่ะที่เชื่อว่าเราไม่ต้องไปสนใจพวดหัวข่าวหนังสือพิมพ์วันนี้เลย" ไรซ์กล่าว
นอกจากนั้น ไรซ์ยังเปรียบเทียบระหว่างประธานาธิบดีบุชกับประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมน (ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 1945-1953) ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่ลงจากตำแหน่งไปในขณะที่มีคะแนนนิยมตกต่ำอย่างมาก แต่ต่อมาก็ได้รับการประเมินตัดสินจากนักประวัติศาสตร์ว่า ได้สร้างคุณูปการในเรื่องการปรับปรุงยกเครื่องสถาบันด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเอาชนะสงครามเย็นในเวลาต่อมา
ไรซ์ยังบอกอีกว่า นักประวัติศาสตร์ที่วิพากษ์วิจารณ์บุช "ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ที่เก่งกาจมากมายหรอก" เธอกล่าวว่า "นักประวัติศาสตร์ที่เก่งยังคงเขียนหนังสือเกี่ยวกับจอร์จ วอชิงตัน และนักประวัติศาสตร์ที่เก่งก็จะต้องเขียนเรื่องเกี่ยวกับแฮร์รี ทรูแมนอยู่"
ทั้งนี้ ไรซ์ยังได้ปกป้องบุชในเรื่องนโยบายต่อตะวันออกกลางด้วยว่ามีแนวโน้มที่ดี "เรากำลังจะอำลาตำแหน่งไปโดยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าเดิม และมีเวทีเจรจาซึ่งชาวปาเลสไตน์และชาวอิสราเอลบอกว่าพวกเขามั่นใจว่าจะบรรลุข้อตกลงกันได้"
ทว่า การสัมภาษณ์นี้มีขึ้นก่อนที่อิสราเอลจะเปิดฉากถล่มกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาอย่างรุนแรง
"มันน่าหัวเราะเยาะ" ไรซ์ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสในรายการที่บันทึกเทปไว้ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ (22) "อีกไม่นานคนรุ่นต่างๆ จะเริ่มรู้สึกขอบคุณท่านประธานาธิบดีในสิ่งที่ท่านทำไป คนรุ่นนี้แหละก็จะขอบคุณด้วยเช่นกัน"
ทั้งไรซ์และลอรา บุชกล่าวโจมตีพาดหัวข่าวในสื่อต่างๆ ว่าไม่มีความหมายใดๆ ต่อการภารกิจการบริหารประเทศ โดยลอรา บุช ยังได้ตอบคำถามที่ว่าผู้สื่อข่าวไม่เป็นธรรมกับสามีของเธอแบบเรียบๆ ว่า
"ดิฉันคิดว่าสื่อเป็นธรรมรึเปล่าหรือคะ ไม่เป็นธรรมค่ะ ไม่เป็นธรรมอย่างที่สุดเลย" ลอรา บุช ให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ นิวส์ ซึ่งบันทึกเทปตั้งแต่วันจันทร์(22)เช่นกัน โดยจะแพร่ภาพในระหว่างที่ประธานาธิบดีบุชกลับไปยังบ้านไร่ของเขาในมลรัฐเทกซัสต้นปีหน้า
เมื่อถูกถามเรื่องที่พวกนักวิจารณ์เห็นว่าประธานาธิบดีบุชทำงานล้มเหลว ลอรา บุช ตอบว่า "ดิฉันรู้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ดังนั้นจึงไม่รู้สึกว่าจะต้องตอบโต้กับคนที่มีความเห็นแบบนั้น" เธอบอกอีกว่า "ดิฉันคิดว่าประวัติศาสตร์จะตัดสินเรื่องนี้เอง แล้วเราจะได้เห็นกันตอนนั้น"
ส่วนไรซ์ก็กล่าวว่า "รัฐบาลชุดนี้จะได้รับการตัดสินในทางดี ดิฉันจะรอดูคำพิพากษาของประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ดูจากพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ในวันนี้"
การให้สัมภาษณ์ของสตรีทั้งสองบังเกิดขึ้น ท่ามกลางความพยายามที่ดำเนินมาราว 1 เดือนแล้ว ในการแก้ภาพลักษณ์ของประธานาธิบดีบุชที่ตกต่ำลงอย่างมากจากวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เขาทิ้งไว้ก่อนอำลาตำแหน่ง รวมทั้งนโยบายในเรื่องสงครามอิรักที่ทำให้ภาพลักษณ์ของสหรัฐฯเสื่อมเสียในสายตาชาวโลก
ทั้งลอราและไรซ์ต่างก็ยกตัวอย่างเหมือนๆ กันในเรื่องความสำเร็จของคณะรัฐบาลบุช ซึ่งก็คือ การโค่นระบอบการปกครองของพวกตอลิบานในอัฟกานิสถาน และการโค่นซัดดัม ฮุสเซนในอิรัก อีกทั้งยังมีการปรับปรุงและขยายการให้ความช่วยเหลือของสหรัฐฯต่อแอฟริกาครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในเรื่องการต่อสู้กับเอชไอวี/เอดส์
"ท่านเป็นคนที่มีแก่นแท้ภายในและมี ความเชื่อในเรื่องเสรีภาพ ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่ใช่เพียงเสรีภาพจากทรราชย์ แต่รวมถึงเสรีภาพจากโรคภัยไข้เจ็บและการไม่รู้หนังสือด้วย และทั้งหมดนี้ก็เป็นคุณค่าแบบอเมริกันโดยพื้นฐาน นั่นคือสิ่งที่ดิฉันคิดว่าท่านแสดงให้เห็นมาตลอดในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี" สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งกล่าวเสริม
"คุณลองดูที่จำนวนของประเทศและจำนวนของประชาชนที่ประธานาธิบดีท่านนี้ได้ปลดปล่อยให้เป็นอิสระก็แล้วกัน ดิฉันเป็นคนหนึ่งล่ะที่เชื่อว่าเราไม่ต้องไปสนใจพวดหัวข่าวหนังสือพิมพ์วันนี้เลย" ไรซ์กล่าว
นอกจากนั้น ไรซ์ยังเปรียบเทียบระหว่างประธานาธิบดีบุชกับประธานาธิบดีแฮร์รี ทรูแมน (ดำรงตำแหน่งในช่วงปี 1945-1953) ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่ลงจากตำแหน่งไปในขณะที่มีคะแนนนิยมตกต่ำอย่างมาก แต่ต่อมาก็ได้รับการประเมินตัดสินจากนักประวัติศาสตร์ว่า ได้สร้างคุณูปการในเรื่องการปรับปรุงยกเครื่องสถาบันด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการเอาชนะสงครามเย็นในเวลาต่อมา
ไรซ์ยังบอกอีกว่า นักประวัติศาสตร์ที่วิพากษ์วิจารณ์บุช "ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ที่เก่งกาจมากมายหรอก" เธอกล่าวว่า "นักประวัติศาสตร์ที่เก่งยังคงเขียนหนังสือเกี่ยวกับจอร์จ วอชิงตัน และนักประวัติศาสตร์ที่เก่งก็จะต้องเขียนเรื่องเกี่ยวกับแฮร์รี ทรูแมนอยู่"
ทั้งนี้ ไรซ์ยังได้ปกป้องบุชในเรื่องนโยบายต่อตะวันออกกลางด้วยว่ามีแนวโน้มที่ดี "เรากำลังจะอำลาตำแหน่งไปโดยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าเดิม และมีเวทีเจรจาซึ่งชาวปาเลสไตน์และชาวอิสราเอลบอกว่าพวกเขามั่นใจว่าจะบรรลุข้อตกลงกันได้"
ทว่า การสัมภาษณ์นี้มีขึ้นก่อนที่อิสราเอลจะเปิดฉากถล่มกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาอย่างรุนแรง