ASTV ผู้จัดการรายวัน – โกลว์ พลังงาน ลงนามสัญญาเงินกู้เงินมูลค่า 3 พันล้านบาทกับแบงก์ไทยพาณิชย์ กำหนดชำระคืน 7 ปี เพื่อรองรับโครงการธุรกิจผลิตไฟฟ้าและไอน้ำร่วม ระบุปี 54 ผลักดันกำลังการผลิตเพิ่มกว่า 50% ด้านผู้บริหารมั่นใจศักยภาพการจัดหาแหล่งเงินทุนท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจ-สภาพคล่องการเงินหดตัว
นายเอซ่า เฮสคาเน่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) ในเครือของกลุ่มบริษัทโกลว์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มูลค่า 3,000 ล้านบาท ระยะเวลาชำระคืน 7 ปี เพื่อนำเงินทุนไปใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใช้ถ่านหินบิทูมินัสเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิต 115 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและไอน้ำ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิต 382 เมกะวัตต์เทียบเท่า
ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนกำลังการผลิต 115 เมกะวัตต์ ใช้ถ่านหินบิทูมินัสเป็นเชื้อเพลิงจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในสิ้นปี 2552 และสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและไอน้ำ กำลังการผลิต 382 เมกะวัตต์เทียบเท่า จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4 ปี 2554 เช่นเดียวกับโครงการโรงไฟฟ้า IPP ขนาด 660 เมกะวัตต์
จากโครงการทั้ง 3 โครงการดังกล่าว จะส่งผลให้กลุ่มบริษัทโกลว์มีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 ในปี 2554 โดยโครงการขยายโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ทั้ง 3 โครงการนี้กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง
นายเฮสคาเน่น กล่าวว่า กลุ่มบริษัทโกลว์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการจัดหาแหล่งเงินทุนมาใช้ในการขยายกิจการ หลังจากครึ่งปีแรกได้จัดหาเงินทุนได้แล้ว 8 พันล้านบาท ประกอบด้วย จากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินแบบ Syndicated Loan มูลค่า 4,000 ล้านบาท และการออกหุ้นกู้เป็นระยะเวลา 7 และ 10 ปี อีกมูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท
“ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย และสถานการณ์ของตลาดเงิน ตลาดทุนในปัจจุบัน และการกู้ยืมเงินทุนครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จอีกครั้งของกลุ่มบริษัทโกลว์ เพราะจะลดปริมาณเงินทุนที่ต้องจัดหาในปี 52 ลงได้อย่างมีนัยสำคัญและทำให้บริษัทขยายธุรกิจได้อย่างมั่นคง”
สำหรับโครงการที่ดำเนินการในช่วงที่ผ่านมานั้น เมื่อเดือนตุลาคม 51 บริษัท เก็คโค่-วัน จำกัด (บริษัทย่อยที่ GLOW ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 60%) ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการโรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิต 660 เมกกะวัตต์ วงเงินประมาณ 26,000 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ 20.5 ปี และเมื่อเกิดวิกฤติภาคการเงิน ได้ตัดสินใจดำเนินการจัดหาเงินทุนสำหรับสำรองความต้องการใช้เงินในปี 52 ซึ่งการหาเงินกู้ดังกล่าวได้สะท้อนถึงพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและฐานะการเงินดี
นายเอซ่า เฮสคาเน่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) ในเครือของกลุ่มบริษัทโกลว์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มูลค่า 3,000 ล้านบาท ระยะเวลาชำระคืน 7 ปี เพื่อนำเงินทุนไปใช้ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใช้ถ่านหินบิทูมินัสเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิต 115 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและไอน้ำ ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง กำลังการผลิต 382 เมกะวัตต์เทียบเท่า
ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนกำลังการผลิต 115 เมกะวัตต์ ใช้ถ่านหินบิทูมินัสเป็นเชื้อเพลิงจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในสิ้นปี 2552 และสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมและไอน้ำ กำลังการผลิต 382 เมกะวัตต์เทียบเท่า จะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4 ปี 2554 เช่นเดียวกับโครงการโรงไฟฟ้า IPP ขนาด 660 เมกะวัตต์
จากโครงการทั้ง 3 โครงการดังกล่าว จะส่งผลให้กลุ่มบริษัทโกลว์มีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 ในปี 2554 โดยโครงการขยายโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ทั้ง 3 โครงการนี้กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างและตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง
นายเฮสคาเน่น กล่าวว่า กลุ่มบริษัทโกลว์ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการจัดหาแหล่งเงินทุนมาใช้ในการขยายกิจการ หลังจากครึ่งปีแรกได้จัดหาเงินทุนได้แล้ว 8 พันล้านบาท ประกอบด้วย จากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินแบบ Syndicated Loan มูลค่า 4,000 ล้านบาท และการออกหุ้นกู้เป็นระยะเวลา 7 และ 10 ปี อีกมูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท
“ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย และสถานการณ์ของตลาดเงิน ตลาดทุนในปัจจุบัน และการกู้ยืมเงินทุนครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จอีกครั้งของกลุ่มบริษัทโกลว์ เพราะจะลดปริมาณเงินทุนที่ต้องจัดหาในปี 52 ลงได้อย่างมีนัยสำคัญและทำให้บริษัทขยายธุรกิจได้อย่างมั่นคง”
สำหรับโครงการที่ดำเนินการในช่วงที่ผ่านมานั้น เมื่อเดือนตุลาคม 51 บริษัท เก็คโค่-วัน จำกัด (บริษัทย่อยที่ GLOW ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 60%) ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้สำหรับโครงการโรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิต 660 เมกกะวัตต์ วงเงินประมาณ 26,000 ล้านบาท โดยมีระยะเวลาชำระคืนเงินกู้ 20.5 ปี และเมื่อเกิดวิกฤติภาคการเงิน ได้ตัดสินใจดำเนินการจัดหาเงินทุนสำหรับสำรองความต้องการใช้เงินในปี 52 ซึ่งการหาเงินกู้ดังกล่าวได้สะท้อนถึงพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและฐานะการเงินดี